วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568

เพลง: ฝ่ายค้าน-ค้ำ-แค้น

(Verse 1) https://suno.com/s/LJWwu0mfuMphdRVv

เสียงประชาธิปไตยยังดังอยู่ในสภา
แต่ใครเล่าจะกล้าพูดแทนความจริงทั้งหมด
ฝ่ายค้านยืนตรวจสอบด้วยแรงศรัทธา
แม้ถูกล้อมด้วยกฎกรอบที่ไม่เคยปรับปรุง

(Verse 2) https://suno.com/s/UmIxq9mmc622aldC
ฝ่ายค้ำยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างข้าง
ถือไม้ค้ำยันอำนาจแลกผลประโยชน์
วันหนึ่งช่วย วันหนึ่งเปลี่ยนข้าง
ทำให้เสถียรภาพคือเงาที่เปราะบาง

(Chorus)
ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้ำ ฝ่ายแค้น
เสียงแตกแยกก้องดังทั่วแผ่นดิน
ใครคุมอำนาจ ใครถือความฝัน
สุดท้ายประชาชนยังรอวันพรุ่งนี้

(Verse 3)
ฝ่ายแค้นเก็บแผลจากวันเก่า ๆ
เดินออกถนน เปล่งเสียงผ่านโลกออนไลน์
ไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่คือหัวใจที่ไม่ยอมเงียบ
แต่รอยแค้นก็ปิดทางการประนีประนอม

(Chorus)
ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้ำ ฝ่ายแค้น
สามเหลี่ยมการเมืองยังไม่มั่นคง
ใครจะพาประเทศพ้นวังวน
ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ไม่ใช่เพียงคนในสภา

(Outro)
หากวันหนึ่ง “ค้ำ” เปลี่ยนเป็น “พลังร่วม”
“แค้น” เปลี่ยนเป็น “แรงฝันใหม่”
“ฝ่ายค้าน” จะยืนอย่างสง่างาม
แล้วประชาธิปไตยไทยจะหายใจได้อีกครั้ง...

การเมืองไทย 2568: ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้ำ ฝ่ายแค้น

บทนำ

การเมืองไทยในปี พ.ศ. 2568 อยู่ในห้วงเปลี่ยนผ่านที่สะท้อนพลวัตของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งไม่ได้มีเพียงความสัมพันธ์เชิง “รัฐบาล–ฝ่ายค้าน” ตามครรลองปกติเท่านั้น แต่ยังปรากฏมิติใหม่ที่นักวิชาการและสังคมเรียกกันว่า “ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้ำ และฝ่ายแค้น” อันเป็นสัญลักษณ์ของการจัดวางตำแหน่งทางการเมืองภายใต้แรงกดดันของผลประโยชน์ทางอำนาจ เงื่อนไขเชิงโครงสร้าง และประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ

1. ฝ่ายค้าน: พลังตรวจสอบท่ามกลางข้อจำกัด

ฝ่ายค้านยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามกลไกรัฐสภา แต่ปัญหาสำคัญคือ ข้อจำกัดเชิงสถาบัน เช่น ระบบเลือกตั้งที่เอื้อต่อพรรคขนาดกลางและการจัดตั้งรัฐบาลผสม การตีความรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นเอกภาพ และบทบาทของวุฒิสภาที่ลดทอนอำนาจการต่อรองของฝ่ายค้านในบางมิติ ส่งผลให้แม้ฝ่ายค้านจะมีน้ำหนักทางการเมือง แต่กลับไม่สามารถกำหนดวาระสาธารณะได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านยังคงเป็นพื้นที่หลักในการผลักดัน นโยบายทางเลือก และสร้าง “วาระคู่ขนาน” เช่น การปฏิรูปสถาบันการศึกษา เศรษฐกิจดิจิทัล หรือสิทธิเสรีภาพ ทำให้แม้จะมีข้อจำกัดทางโครงสร้าง แต่ฝ่ายค้านยังเป็น “ตัวแปรถ่วงดุล” ที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวัง

2. ฝ่ายค้ำ: เส้นบาง ๆ ระหว่างสนับสนุนกับต่อรอง

คำว่า “ฝ่ายค้ำ” สะท้อนกลุ่มการเมืองที่แม้ไม่ได้อยู่ในรัฐบาลเต็มตัว แต่เลือกใช้ยุทธศาสตร์ “ค้ำยัน” หรือ supporter bloc เพื่อแลกกับอำนาจ ทรัพยากร หรือตำแหน่งทางการเมือง จุดเด่นของฝ่ายนี้คือ ความลื่นไหลทางอุดมการณ์ เน้นการเอาตัวรอดและหาผลประโยชน์ระยะสั้น มากกว่าการยึดมั่นในนโยบายหรือหลักการ

ฝ่ายค้ำทำให้การเมืองไทยเกิด เสถียรภาพเชิงเปราะบาง (fragile stability) คือรัฐบาลสามารถยืนอยู่ได้ด้วยเสียงสนับสนุนที่ไม่มั่นคง และพร้อมจะเปลี่ยนขั้วหากเงื่อนไขผลประโยชน์เปลี่ยนไป ส่งผลให้การเมืองไทยปี 2568 มีลักษณะ “รัฐบาลผสมที่ถูกต่อรองทุกวัน” มากกว่าจะเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งจากฉันทามติประชาชน

3. ฝ่ายแค้น: เงาของความขัดแย้งทางการเมืองไทย

ในอีกด้านหนึ่ง “ฝ่ายแค้น” คือพลังทางการเมืองที่ไม่ได้เพียงตรวจสอบหรือต่อรอง แต่ดำรงอยู่ด้วยความทรงจำของความขัดแย้งในอดีต เช่น การรัฐประหาร ความไม่เป็นธรรมทางการเมือง หรือการตัดสิทธิ์ทางเลือกของประชาชน ทำให้การเคลื่อนไหวของฝ่ายนี้มีลักษณะ การเมืองเชิงอารมณ์ มากกว่าการเมืองเชิงนโยบาย

ฝ่ายแค้นมีผลต่อการเมืองในสองลักษณะ คือ

  1. สร้างแรงกดดันทางสังคม ผ่านการเคลื่อนไหวนอกสภา เช่น การชุมนุม การใช้สื่อสังคมออนไลน์ และการรณรงค์เชิงสัญลักษณ์

  2. ปิดประตูการประนีประนอม เพราะความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งเชิงประวัติศาสตร์ ทำให้แม้จะมีข้อเสนอปฏิรูปที่ตรงกันบางประเด็น แต่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

4. พลวัต “ฝ่ายค้าน–ฝ่ายค้ำ–ฝ่ายแค้น”

ความสัมพันธ์ของทั้งสามฝ่ายทำให้การเมืองไทยปี 2568 มีลักษณะ “สามเหลี่ยมอำนาจ” ที่ไม่เสถียร

  • ฝ่ายค้านมีพลังตรวจสอบ แต่ถูกจำกัดด้วยโครงสร้าง

  • ฝ่ายค้ำเป็นตัวแปรชี้ชะตารัฐบาล แต่ไร้เสถียรภาพทางหลักการ

  • ฝ่ายแค้นเป็นพลังทางสังคมที่กระทุ้งการเมือง แต่สร้างแรงกดดันเชิงแตกแยก

เมื่อทั้งสามปฏิสัมพันธ์กัน จึงเกิด การเมืองแบบ “ดุลยภาพชั่วคราว” ที่รัฐบาลต้องคอยรักษาความสมดุลระหว่างแรงกดดันในสภาและแรงกดดันนอกสภา โดยมีต้นทุนคือความไม่ต่อเนื่องของนโยบายและความไม่มั่นคงเชิงสถาบัน

สรุป

การเมืองไทยปี 2568 สะท้อนภาพการจัดวางอำนาจที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายด้วยกรอบ “รัฐบาล–ฝ่ายค้าน” แบบเดิม การปรากฏของ ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้ำ และฝ่ายแค้น ชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยไทยกำลังอยู่ในภาวะ เปราะบางแต่ไม่ล่มสลาย (resilient yet fragile) หากสามารถเปลี่ยน “ฝ่ายค้าน” ให้มีพลังตรวจสอบจริง “ฝ่ายค้ำ” ให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์แทนการต่อรอง และ “ฝ่ายแค้น” ให้กลายเป็นพลังเสนอทางออกมากกว่าการปิดกั้น ก็อาจนำไปสู่การเมืองที่สร้างสถาปนาใหม่ของความไว้วางใจและความร่วมมือในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...