“สามสิบหกกลศึก” (Thirty-Six Stratagems) เป็นตำรากลยุทธ์จีนโบราณที่สืบทอดมาหลายร้อยปี แม้จะปรากฏอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเพียงในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่แก่นความคิดได้ฝังรากลึกในวัฒนธรรมการเมือง การทหาร และการบริหารอำนาจ ตำรานี้ไม่ได้เพียงสอนวิธีเอาชนะศัตรูด้วยกำลัง หากยังเผยให้เห็นศิลปะแห่งการหลอกลวง การพลิกแพลง และการใช้จิตวิทยามนุษย์เป็นเครื่องมือสำคัญของอำนาจ
ในยุค “เอไอ” หรือปัญญาประดิษฐ์ซึ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทยอย่างรวดเร็ว “สามสิบหกกลศึก” จึงกลับมามีความหมายอีกครั้ง การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) การสื่อสารออนไลน์ และอัลกอริทึมของ AI ได้เปิดพื้นที่ใหม่ให้การเมืองที่อิงทั้งกลยุทธ์โบราณและเทคโนโลยีสมัยใหม่ผสานกันอย่างแนบเนียน
กรอบแนวคิด: สามสิบหกกลศึกในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์การเมือง
“36” ไม่ได้หมายถึงตัวเลขตายตัว หากเป็นสำนวนที่สื่อถึง “กลยุทธ์มากมาย” โดยมีรากฐานจากคติอี้จิง (易經) ที่เลข 6 เป็นพลังแห่งหยิน เมื่อยกกำลังสองจึงหมายถึงกลยุทธ์ลึกซึ้งนับไม่ถ้วน กลศึกเหล่านี้ถูกแบ่งเป็นหกหมวดหมู่ แต่ละหมวดมีหกกล ได้แก่
-
กลเพื่อชัยชนะ (Winning Stratagems) เช่น อำพรางฟ้าข้ามทะเล, ยืมมีดฆ่าคน
-
กลรับมือศัตรู (Enemy Dealing Stratagems) เช่น สร้างของจากความว่างเปล่า, ซ่อนมีดในรอยยิ้ม
-
กลเชิงรุก (Offensive Stratagems) เช่น ตีหญ้าให้งูตื่น, ยืมศพคืนวิญญาณ
-
กลผสมผสาน (Mixed Warfare) เช่น ชักฟืนใต้หม้อ, คบไกลตีใกล้
-
กลประสาน (Combined Stratagems) เช่น ขโมยคานสับเสา, แขกกลายเป็นเจ้าบ้าน
-
กลแห่งความพ่ายแพ้ (Defeat Stratagems) เช่น เมืองว่างเปล่า, กลโซ่ต่อเนื่อง, หนีคือยอดกล
หากมองผ่านเลนส์ปรัชญาการเมืองไทยยุคดิจิทัล กลศึกเหล่านี้สะท้อนทั้งวิธีการต่อรอง อำนาจนิยม การสื่อสารเชิงอำนาจ และการบริหารภาพลักษณ์ที่ปรับตัวเข้ากับโลกออนไลน์
สามสิบหกกลศึกกับการเมืองไทยยุคเอไอ
1. อำพรางฟ้าข้ามทะเล: การเมืองในยุคดิจิทัล
ในโลกโซเชียลมีเดีย “การอำพราง” คือการสร้าง ความปกติเทียม ผ่านแคมเปญสื่อที่ทำซ้ำจนคนเชื่อว่าจริง การใช้ AI-generated content, bot network และ deepfake ทำให้ “ม่านควัน” เข้มข้นกว่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
2. ยืมมีดฆ่าคน: การใช้พันธมิตรและข้อมูล
การเมืองไทยยุคใหม่มักเห็นการ “ยืมมีด” ผ่าน สื่ออิสระ, อินฟลูเอนเซอร์ หรือแม้แต่ AI platform ในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยผู้เล่นการเมืองไม่ต้องเปื้อนเลือดเอง แต่ใช้คนอื่นหรือเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ
3. นิ่งสงบรอศัตรูหมดแรง: AI กับจังหวะทางการเมือง
AI วิเคราะห์ Big Data ได้แม่นยำ การเมืองไทยจึงไม่จำเป็นต้องรีบโจมตีคู่แข่ง แต่รอจนอีกฝ่ายเสียพลังไปกับการตอบโต้กระแสออนไลน์หรือข่าวปลอมที่ถูกออกแบบมา “ให้เหนื่อย”
4. ปล้นสะดมบ้านไฟไหม้: ฉกฉวยวิกฤต
วิกฤตโรคระบาดหรือความวุ่นวายทางเศรษฐกิจถูกใช้เป็นโอกาสทางการเมืองเสมอ การเมืองยุค AI ทำให้การฉกฉวย “เร็วขึ้น” เช่น ใช้ real-time analytics เพื่ออ่านอารมณ์สาธารณะ แล้วปรับยุทธศาสตร์หาเสียงหรือการสื่อสารฉับพลัน
5. ซ่อนมีดในรอยยิ้ม: การเมืองภาพลักษณ์
ในยุคที่ AI ช่วยสร้างบุคลิกสาธารณะ นักการเมืองอาจ “ยิ้มในที่แจ้ง แต่ซ่อนผลประโยชน์ไว้ข้างใน” รอยยิ้มที่ถูกทำให้สมจริงด้วย PR และ social media campaign เป็นเครื่องมือทรงพลัง แต่ก็เสี่ยงหากถูกเปิดโปงด้วยเทคโนโลยีตรวจสอบ
6. ชักฟืนใต้หม้อ: ทำลายฐานอำนาจ
AI สามารถวิเคราะห์ “รากฐาน” ของคู่แข่ง เช่น เครือข่ายทุน ฐานเสียง หรือ narrative หลัก แล้วเจาะจงบ่อนทำลาย เช่น ปล่อยข่าวที่ลดความน่าเชื่อถือ หรือทำให้ฐานสนับสนุนเสื่อมศรัทธาทีละน้อย
7. เมืองว่างเปล่า: การใช้ความสงบเป็นกลยุทธ์
เมื่อข้อมูลมากเกินไป ผู้ที่เลือก “นิ่งเงียบ” กลับอาจได้เปรียบ การเมืองไทยในยุค AI มีกรณีที่การนิ่งเฉยต่อการโจมตีออนไลน์ ทำให้คู่แข่งลังเล ไม่แน่ใจว่านิ่งเพราะแข็งแกร่ง หรือเพราะซ่อนบางสิ่งไว้
8. กลโซ่ต่อเนื่อง: กลยุทธ์ลูกโซ่ AI
ยุทธศาสตร์การเมืองปัจจุบันมักใช้หลายกลผสานกัน เช่น ปล่อยข่าวลือ → ใช้ bot ปั่นกระแส → สร้าง meme → ผลิตข่าวในสื่อหลัก วงจรนี้คือ chain stratagems แบบดิจิทัล ที่ AI สามารถออกแบบและปรับแต่งได้แทบเรียลไทม์
การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์
การเมืองไทยยุคเอไอที่ใช้ “สามสิบหกกลศึก” อาจทำให้เกิด ความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ แต่อีกด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิด ปัญหาทางจริยธรรม และ วิกฤติความเชื่อมั่นทางการเมือง
-
ความจริงถูกบิดเบือน: กลศึกอย่าง “สร้างของจากความว่างเปล่า” เมื่อผสมกับ AI news generator จะทำให้ fake news มีพลังทำลายสูง
-
การเมืองเชิงภาพแทนความจริง: “ประดับดอกไม้เทียมบนต้นไม้” สะท้อนการใช้ AI สร้างภาพลักษณ์มากกว่าพัฒนานโยบายจริง
-
ความเสี่ยงต่อประชาธิปไตย: หากใช้ “ขโมยคานสับเสา” โดยแทรกแซงโครงสร้างข้อมูลหรือระบบเลือกตั้งดิจิทัล อาจบ่อนทำลายความชอบธรรมในระยะยาว
-
การหนีคือยอดกล: ในการเมืองไทย ผู้เล่นบางฝ่ายเลือก “ถอนตัว” ชั่วคราวจากสนามสื่อสาธารณะ แต่กลับมาด้วยพลังใหม่ นี่สะท้อนกลยุทธ์ที่ AI สามารถช่วยออกแบบเส้นทางถอยเพื่อคืนเวทีในเวลาที่เหมาะสม
บทสรุป
“สามสิบหกกลศึก” เป็นตำรากลยุทธ์ที่สะท้อนความจริงทางการเมืองอันดิบเถื่อน ทั้งการหักหลัง การหลอกลวง และการเอาตัวรอด เมื่อผนวกกับ ยุค AI บทเรียนโบราณเหล่านี้ไม่ได้หายไป แต่กลับถูกเสริมพลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างภาพลวง และการจัดการกระแสสังคม
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ เราจะหยิบใช้กลยุทธ์เหล่านี้อย่างไรโดยไม่ทำลายหลักคุณธรรมและประชาธิปไตย เพราะดังที่ตำราเตือน “อำนาจสูงสุดไม่ได้สร้างจากดาบพันเล่ม แต่มาจากการหักหลังพันครั้ง” — หากการเมืองไทยยุคเอไอเดินไปในทิศทางที่ใช้แต่ “กล” โดยปราศจาก “ธรรม” สิ่งที่เหลืออาจไม่ใช่ชัยชนะของชาติ แต่เป็นความพ่ายแพ้เชิงศีลธรรมที่ยากจะกู้คืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น