วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568

สามสิบหกกลศึกกับการเมืองไทยยุคเอไอ

“สามสิบหกกลศึก” (Thirty-Six Stratagems) เป็นตำรากลยุทธ์จีนโบราณที่สืบทอดมาหลายร้อยปี แม้จะปรากฏอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเพียงในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่แก่นความคิดได้ฝังรากลึกในวัฒนธรรมการเมือง การทหาร และการบริหารอำนาจ ตำรานี้ไม่ได้เพียงสอนวิธีเอาชนะศัตรูด้วยกำลัง หากยังเผยให้เห็นศิลปะแห่งการหลอกลวง การพลิกแพลง และการใช้จิตวิทยามนุษย์เป็นเครื่องมือสำคัญของอำนาจ

ในยุค “เอไอ” หรือปัญญาประดิษฐ์ซึ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทยอย่างรวดเร็ว “สามสิบหกกลศึก” จึงกลับมามีความหมายอีกครั้ง การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) การสื่อสารออนไลน์ และอัลกอริทึมของ AI ได้เปิดพื้นที่ใหม่ให้การเมืองที่อิงทั้งกลยุทธ์โบราณและเทคโนโลยีสมัยใหม่ผสานกันอย่างแนบเนียน


กรอบแนวคิด: สามสิบหกกลศึกในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์การเมือง

“36” ไม่ได้หมายถึงตัวเลขตายตัว หากเป็นสำนวนที่สื่อถึง “กลยุทธ์มากมาย” โดยมีรากฐานจากคติอี้จิง (易經) ที่เลข 6 เป็นพลังแห่งหยิน เมื่อยกกำลังสองจึงหมายถึงกลยุทธ์ลึกซึ้งนับไม่ถ้วน กลศึกเหล่านี้ถูกแบ่งเป็นหกหมวดหมู่ แต่ละหมวดมีหกกล ได้แก่

  1. กลเพื่อชัยชนะ (Winning Stratagems) เช่น อำพรางฟ้าข้ามทะเล, ยืมมีดฆ่าคน

  2. กลรับมือศัตรู (Enemy Dealing Stratagems) เช่น สร้างของจากความว่างเปล่า, ซ่อนมีดในรอยยิ้ม

  3. กลเชิงรุก (Offensive Stratagems) เช่น ตีหญ้าให้งูตื่น, ยืมศพคืนวิญญาณ

  4. กลผสมผสาน (Mixed Warfare) เช่น ชักฟืนใต้หม้อ, คบไกลตีใกล้

  5. กลประสาน (Combined Stratagems) เช่น ขโมยคานสับเสา, แขกกลายเป็นเจ้าบ้าน

  6. กลแห่งความพ่ายแพ้ (Defeat Stratagems) เช่น เมืองว่างเปล่า, กลโซ่ต่อเนื่อง, หนีคือยอดกล

หากมองผ่านเลนส์ปรัชญาการเมืองไทยยุคดิจิทัล กลศึกเหล่านี้สะท้อนทั้งวิธีการต่อรอง อำนาจนิยม การสื่อสารเชิงอำนาจ และการบริหารภาพลักษณ์ที่ปรับตัวเข้ากับโลกออนไลน์


สามสิบหกกลศึกกับการเมืองไทยยุคเอไอ

1. อำพรางฟ้าข้ามทะเล: การเมืองในยุคดิจิทัล

ในโลกโซเชียลมีเดีย “การอำพราง” คือการสร้าง ความปกติเทียม ผ่านแคมเปญสื่อที่ทำซ้ำจนคนเชื่อว่าจริง การใช้ AI-generated content, bot network และ deepfake ทำให้ “ม่านควัน” เข้มข้นกว่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

2. ยืมมีดฆ่าคน: การใช้พันธมิตรและข้อมูล

การเมืองไทยยุคใหม่มักเห็นการ “ยืมมีด” ผ่าน สื่ออิสระ, อินฟลูเอนเซอร์ หรือแม้แต่ AI platform ในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยผู้เล่นการเมืองไม่ต้องเปื้อนเลือดเอง แต่ใช้คนอื่นหรือเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ

3. นิ่งสงบรอศัตรูหมดแรง: AI กับจังหวะทางการเมือง

AI วิเคราะห์ Big Data ได้แม่นยำ การเมืองไทยจึงไม่จำเป็นต้องรีบโจมตีคู่แข่ง แต่รอจนอีกฝ่ายเสียพลังไปกับการตอบโต้กระแสออนไลน์หรือข่าวปลอมที่ถูกออกแบบมา “ให้เหนื่อย”

4. ปล้นสะดมบ้านไฟไหม้: ฉกฉวยวิกฤต

วิกฤตโรคระบาดหรือความวุ่นวายทางเศรษฐกิจถูกใช้เป็นโอกาสทางการเมืองเสมอ การเมืองยุค AI ทำให้การฉกฉวย “เร็วขึ้น” เช่น ใช้ real-time analytics เพื่ออ่านอารมณ์สาธารณะ แล้วปรับยุทธศาสตร์หาเสียงหรือการสื่อสารฉับพลัน

5. ซ่อนมีดในรอยยิ้ม: การเมืองภาพลักษณ์

ในยุคที่ AI ช่วยสร้างบุคลิกสาธารณะ นักการเมืองอาจ “ยิ้มในที่แจ้ง แต่ซ่อนผลประโยชน์ไว้ข้างใน” รอยยิ้มที่ถูกทำให้สมจริงด้วย PR และ social media campaign เป็นเครื่องมือทรงพลัง แต่ก็เสี่ยงหากถูกเปิดโปงด้วยเทคโนโลยีตรวจสอบ

6. ชักฟืนใต้หม้อ: ทำลายฐานอำนาจ

AI สามารถวิเคราะห์ “รากฐาน” ของคู่แข่ง เช่น เครือข่ายทุน ฐานเสียง หรือ narrative หลัก แล้วเจาะจงบ่อนทำลาย เช่น ปล่อยข่าวที่ลดความน่าเชื่อถือ หรือทำให้ฐานสนับสนุนเสื่อมศรัทธาทีละน้อย

7. เมืองว่างเปล่า: การใช้ความสงบเป็นกลยุทธ์

เมื่อข้อมูลมากเกินไป ผู้ที่เลือก “นิ่งเงียบ” กลับอาจได้เปรียบ การเมืองไทยในยุค AI มีกรณีที่การนิ่งเฉยต่อการโจมตีออนไลน์ ทำให้คู่แข่งลังเล ไม่แน่ใจว่านิ่งเพราะแข็งแกร่ง หรือเพราะซ่อนบางสิ่งไว้

8. กลโซ่ต่อเนื่อง: กลยุทธ์ลูกโซ่ AI

ยุทธศาสตร์การเมืองปัจจุบันมักใช้หลายกลผสานกัน เช่น ปล่อยข่าวลือ → ใช้ bot ปั่นกระแส → สร้าง meme → ผลิตข่าวในสื่อหลัก วงจรนี้คือ chain stratagems แบบดิจิทัล ที่ AI สามารถออกแบบและปรับแต่งได้แทบเรียลไทม์


การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์

การเมืองไทยยุคเอไอที่ใช้ “สามสิบหกกลศึก” อาจทำให้เกิด ความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ แต่อีกด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิด ปัญหาทางจริยธรรม และ วิกฤติความเชื่อมั่นทางการเมือง

  1. ความจริงถูกบิดเบือน: กลศึกอย่าง “สร้างของจากความว่างเปล่า” เมื่อผสมกับ AI news generator จะทำให้ fake news มีพลังทำลายสูง

  2. การเมืองเชิงภาพแทนความจริง: “ประดับดอกไม้เทียมบนต้นไม้” สะท้อนการใช้ AI สร้างภาพลักษณ์มากกว่าพัฒนานโยบายจริง

  3. ความเสี่ยงต่อประชาธิปไตย: หากใช้ “ขโมยคานสับเสา” โดยแทรกแซงโครงสร้างข้อมูลหรือระบบเลือกตั้งดิจิทัล อาจบ่อนทำลายความชอบธรรมในระยะยาว

  4. การหนีคือยอดกล: ในการเมืองไทย ผู้เล่นบางฝ่ายเลือก “ถอนตัว” ชั่วคราวจากสนามสื่อสาธารณะ แต่กลับมาด้วยพลังใหม่ นี่สะท้อนกลยุทธ์ที่ AI สามารถช่วยออกแบบเส้นทางถอยเพื่อคืนเวทีในเวลาที่เหมาะสม


บทสรุป

“สามสิบหกกลศึก” เป็นตำรากลยุทธ์ที่สะท้อนความจริงทางการเมืองอันดิบเถื่อน ทั้งการหักหลัง การหลอกลวง และการเอาตัวรอด เมื่อผนวกกับ ยุค AI บทเรียนโบราณเหล่านี้ไม่ได้หายไป แต่กลับถูกเสริมพลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างภาพลวง และการจัดการกระแสสังคม

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ เราจะหยิบใช้กลยุทธ์เหล่านี้อย่างไรโดยไม่ทำลายหลักคุณธรรมและประชาธิปไตย เพราะดังที่ตำราเตือน “อำนาจสูงสุดไม่ได้สร้างจากดาบพันเล่ม แต่มาจากการหักหลังพันครั้ง” — หากการเมืองไทยยุคเอไอเดินไปในทิศทางที่ใช้แต่ “กล” โดยปราศจาก “ธรรม” สิ่งที่เหลืออาจไม่ใช่ชัยชนะของชาติ แต่เป็นความพ่ายแพ้เชิงศีลธรรมที่ยากจะกู้คืน

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...