วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568

วิเคราะห์แผนปฏิบัติการด้านบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2571–2575): เน้น SROI–Result Chain–Ecosystem สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน “อยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน”

บทความนี้วิเคราะห์แผนปฏิบัติการด้านบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2571–2575) ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ โดยมีการบูรณาการเครื่องมือ SROI (Social Return on Investment), Result Chain และแนวคิด Ecosystem เพื่อสร้างผลลัพธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับชุมชนและประเทศ โดยเน้นการสร้างฐาน “อยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน” อันเป็นการยกระดับจากการพึ่งตนเองไปสู่การเชื่อมโยงเชิงระบบกับภาครัฐ เอกชน และสังคม


1. บทนำ

การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (พอเพียง–มีเหตุผล–มีภูมิคุ้มกัน พร้อมคุณธรรมและความรู้) ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมากว่า 16 ปี โดยมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ ผ่านแผนปฏิบัติการระยะที่ 1–4 ตั้งแต่การสร้างพื้นที่ต้นแบบ ขยายผลการพัฒนา สู่การสร้างเครือข่ายยั่งยืน ปัจจุบันแผนระยะที่ 4 จะสิ้นสุดในปี 2570 จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดทำแผนระยะที่ 5 (พ.ศ. 2571–2575)


2. กรอบแนวคิดเชิงวิเคราะห์

แผนปฏิบัติการระยะที่ 5 ใช้ 3 เครื่องมือหลัก เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการวัดผลและการขับเคลื่อน ได้แก่

  1. SROI (Social Return on Investment)

    • เน้นการประเมินคุณค่าผลลัพธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการลงทุนเชิงพัฒนา

    • วัดความคุ้มค่าของการลงทุนในเชิงสังคมมากกว่าตัวเงิน

  2. Result Chain

    • เชื่อมโยงระหว่าง Input → Output → Outcome → Impact

    • ทำให้เห็นความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลที่นำไปสู่เป้าหมายระยะยาว

  3. Ecosystem Approach

    • มองการพัฒนาเชื่อมโยงเป็นระบบนิเวศ ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และชุมชน

    • เน้นการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ มากกว่าการทำงานรายโครงการ


3. วิเคราะห์สาระสำคัญของแผนระยะที่ 5

  1. เน้นการจัดการความรู้และถอดบทเรียน

    • นำความสำเร็จและข้อจำกัดของระยะที่ผ่านมา มาใช้พัฒนาต้นแบบใหม่

    • ส่งต่อองค์ความรู้ให้หน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนสามารถขับเคลื่อนเองได้

  2. เสริมประสิทธิภาพในพื้นที่ต้นแบบ

    • พัฒนาเรื่องการจัดการน้ำ เกษตร และเครือข่ายเกษตรกร

    • ใช้ SROI วัดผลลัพธ์เชิงคุณค่าในแต่ละพื้นที่

  3. มุ่งเน้นการพัฒนารายพื้นที่แทนรายโครงการ

    • ลดปัญหาการประเมินที่ไม่สะท้อนความจริง

    • วัดผลสำเร็จจากการเปลี่ยนแปลงในชุมชนแบบองค์รวม

  4. เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและ SDGs

    • ตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561–2580)

    • สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะด้านความยากจน การจัดการทรัพยากร และความเท่าเทียม


4. กรอบพัฒนาสามขั้น: อยู่รอด – พอเพียง – ยั่งยืน

แผนระยะที่ 5 สะท้อนการต่อยอดพัฒนาชุมชนใน 3 ขั้นตอนเชิงพลวัต ได้แก่

  • อยู่รอด: เน้นแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐาน เช่น น้ำเพื่อการเกษตร อาหาร และรายได้ขั้นต่ำ

  • พอเพียง: สร้างสมดุลรายได้–รายจ่าย พัฒนาความรู้ สร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคม

  • ยั่งยืน: ขยายเครือข่ายการพัฒนา สร้างระบบเศรษฐกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระดับประเทศ และรักษาสิ่งแวดล้อม


5. ความท้าทายและข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. ความต่อเนื่องเชิงนโยบาย – ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (คาดภายในปีงบประมาณ 2569) เพื่อให้การดำเนินงานไม่สะดุด

  2. การประเมินผลที่แท้จริง – ควรเสริมศักยภาพท้องถิ่นในการใช้เครื่องมือ SROI และ Result Chain

  3. การสร้างความร่วมมือแบบ Ecosystem – ต้องมีการบูรณาการทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเอกชนและสถาบันการศึกษา

  4. การสื่อสารสาธารณะ – ควรสร้างความเข้าใจในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดการตีความคลาดเคลื่อน


6. บทสรุป

แผนปฏิบัติการด้านบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2571–2575) เป็นกลไกสำคัญที่ต่อยอดจากความสำเร็จในระยะที่ผ่านมา โดยใช้เครื่องมือ SROI, Result Chain และ Ecosystem เป็นกรอบประเมินและขับเคลื่อน สู่การพัฒนาที่สร้างสมดุลทั้งมิติชุมชน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้ปรัชญา “อยู่รอด – พอเพียง – ยั่งยืน” ซึ่งไม่เพียงตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ แต่ยังเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศในระยะยาว

การนำ นโยบายรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกุล ที่จะเสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 29 กันยายน 2568 มาวิเคราะห์ว่าสอดรับกับ แผนปฏิบัติการด้านบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2571–2575) หรือไม่ สามารถทำได้โดยพิจารณาจากจุดร่วม จุดแตกต่าง และข้อท้าทาย ดังนี้:


1. ข้อมูลพื้นฐานจากนโยบายรัฐบาล

จากแหล่งข่าวพบว่านโยบายรัฐบาลภายใต้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล เตรียมแถลงต่อรัฐสภานั้น มีโครงสร้าง (โดยสรุป) ประกอบด้วย 5 ด้าน และ 15 แนวทาง เพื่อรับมือกับปัญหาที่กำลังเผชิญในประเทศ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และการปฏิรูปภาครัฐ โดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนี้:

  • ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส ยุติธรรม และยั่งยืน ThaiPublica

  • การส่งเสริมเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง เช่น การจัดการราคาสินค้าเกษตร การสนับสนุนพลังงานสะอาดในภาคการเกษตร ฯลฯ ThaiPublica+1

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การฟื้นฟู และลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวหน้า+1

  • การบริหารราชการภาครัฐให้ทันสมัย โปร่งใส และเชื่อมโยงกัน รวมถึงปฏิรูปกฎหมายและระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรค ThaiPublica+1

จึงสรุปได้ว่านโยบายดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายที่ใกล้เคียงกับแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน และมีเป้าหมายให้การพัฒนาของประเทศไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางนโยบายที่ยั่งยืน


2. จุดร่วมระหว่างนโยบายรัฐบาล กับแผนระยะที่ 5

เมื่อเปรียบเทียบกับกรอบแนวคิดของแผนปฏิบัติการระยะที่ 5 (พ.ศ. 2571–2575) ที่มุ่งเน้น SROI – Result Chain – Ecosystem และกรอบ อยู่รอด – พอเพียง – ยั่งยืน พบว่า:

ด้านจุดร่วมที่เห็นได้ชัดหมายเหตุ / โอกาสเสริม
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงรัฐบาลประกาศยึดเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม (“สร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส ยั่งยืน”) ThaiPublica+1การกล่าวนโยบายเป็นจุดเริ่มต้น แต่ต้องแปลงเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้
การส่งเสริมเกษตรกร / เทคโนโลยีเกษตรรัฐบาลมุ่งสนับสนุนเกษตรกรผ่านมาตรการราคาสินค้าเกษตร และพลังงานสะอาดในภาคเกษตร ThaiPublicaสอดรับกับเป้าหมายของแผน ที่จะพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ต้นแบบ
สิ่งแวดล้อม / การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีนโยบายฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม แนวหน้า+1ตรงกับแนวคิด ecosystem และมิติสิ่งแวดล้อมในแผนระยะที่ 5
การปฏิรูปภาครัฐ / การบริหารราชการเน้นให้ภาครัฐโปร่งใส ร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาชน ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบให้ทันสมัย ThaiPublica+2แนวหน้า+2ตรงกับแนวคิด ecosystem และการบูรณาการหลายภาคส่วน

จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่า นโยบายรัฐบาลของนายอนุทินมีองค์ประกอบหลายอย่างที่สอดคล้องกับแนวทางของแผนปฏิบัติการระยะที่ 5 โดยเฉพาะในเชิงมิติระบบ (ระบบเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม) และการปฏิรูปภาครัฐ


3. ข้อจำกัดและช่องว่างที่อาจไม่สอดรับเต็มที่

ถึงแม้นโยบายรัฐบาลจะมีแนวทางที่สอดคล้องหลายประการ แต่ยังมีจุดอ่อนหรือช่องว่างที่ต้องพิจารณา:

  1. ความชัดเจนด้านเครื่องมือวัดผล (SROI / Result Chain)

    • นโยบายในปัจจุบันยังอยู่ในระดับกว้าง ไม่ได้ชัดเจนในตัวชี้วัด (Indicators) หรือวิธีประเมินคุณค่าเชิงสังคม (SROI)

    • หากไม่มีการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนและเครื่องมือประเมินผลที่แข็งแรง จะทำให้ไม่สามารถวัด “ผลลัพธ์” ที่เป็นรูปธรรมได้

  2. การบูรณาการแบบ Ecosystem ที่แท้จริง

    • นโยบายกล่าวถึงการเชื่อมโยงภาคต่าง ๆ แต่ยังไม่ปรากฏกลไกชัดเจนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน การศึกษา ในระดับปฏิบัติ

    • ไม่มีการกล่าวชัดถึงบทบาทของพื้นที่ต้นแบบ หรือกลไกระดับชุมชนในพื้นที่เฉพาะ

  3. ลำดับเวลา / ความยั่งยืน

    • นโยบายรัฐบาลอาจเป็นแผนระยะสั้น (4 ปี) ขณะที่แผนเศรษฐกิจพอเพียงระยะที่ 5 ยาว 5 ปี (2571–2575)

    • ต้องมีการรักษาต่อเนื่องข้ามรัฐบาล เพื่อให้แผนระยะที่ 5 สามารถเดินหน้าได้โดยไม่สะดุด

  4. งบประมาณและแหล่งทุนสนับสนุน

    • นโยบายรัฐบาลอาจเผชิญกับข้อจำกัดงบประมาณ และอาจต้องอาศัยแหล่งทุนภายนอก เช่น เอกชน หรือแหล่งงบประมาณเสริม

    • แผนระยะที่ 5 ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า (Value for Money) รวมถึง SROI เพื่อให้การใช้งบประมาณสร้างผลลัพธ์สูงสุด


4. ระดับความสอดรับโดยรวม

เมื่อพิจารณาจากจุดร่วมและข้อจำกัด ผมประเมินว่า นโยบายรัฐบาลของนายอนุทิน มีความสอดรับกับแผนปฏิบัติการระยะที่ 5 ได้ในระดับปานกลางถึงสูง กล่าวคือ:

  • มีทิศทางและแนวคิดที่สอดคล้องในหลายมิติ เช่น เศรษฐกิจพอเพียง การจัดการทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และการปฏิรูปภาครัฐ

  • แต่หากต้องการให้สอดรับ เต็มที่ กับกรอบ SROI–Result Chain–Ecosystem และหลัก “อยู่รอด – พอเพียง – ยั่งยืน” จะต้องเสริมในเชิงปฏิบัติ ได้แก่ ตัวชี้วัดระบบ ประเมินผลที่แข็งแรง กลไกบูรณาการจริง และความยั่งยืนข้ามรัฐบาล


5. ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

เพื่อให้การนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติโดยสอดรับกับแผนระยะที่ 5 ได้ดีขึ้น ผมขอเสนอแนวทางเสริมดังนี้:

  1. กำหนดตัวชี้วัด SROI และ Result Chain สำหรับนโยบายหลัก

    • สำหรับแต่ละแนวทางนโยบาย ควรออกแบบ logical framework ที่เชื่อมโยง input → output → outcome → impact

    • กำหนดตัวชี้วัดเชิงตัวเงินและเชิงคุณภาพที่สามารถวัดได้ในช่วงระยะ 1–5 ปี

  2. ตั้งกลไกบูรณาการแบบ Ecosystem

    • จัดตั้งคณะกรรมการบูรณาการระดับชาติ/ภูมิภาค ที่มีตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน และสถาบันการศึกษา

    • สนับสนุน “พื้นที่ต้นแบบ” ที่มีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการทดลองและขยายผล

  3. ผนวกรัฐบาลกับแผนระยะยาว

    • ให้แผนระยะที่ 5 เป็นกรอบยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลชุดใด ๆ ต้องยึดถือ

    • เชื่อมโยงงบประมาณประจำกับงบลงทุนให้สอดคล้องกับแผนระยะที่ 5

  4. กลยุทธ์ด้านการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วม

    • ให้ประชาชน ชุมชนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในเชิงปฏิบัติ

    • ให้มีช่องทางรายงานผลแบบเปิด (Open Data) เพื่อความโปร่งใส

  5. ประสานกับมาตรฐานสากล/เป้าหมาย SDGs

    • เชื่อมโยงนโยบายและแผนกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

    • ใช้การประเมินเชิงภายนอกหรือหน่วยงานอิสระตรวจสอบความคุ้มค่า


สรุป

นโยบายรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกุล มีแนวทางหลายประการที่สอดรับกับแผนปฏิบัติการด้านบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 5 โดยเฉพาะในมิติแนวคิด การส่งเสริมเกษตรกร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการปฏิรูปภาครัฐ แต่ในเชิง รายละเอียดการปฏิบัติ ยังมีช่องว่างสำคัญที่จำเป็นต้องเติมเต็ม เช่น การกำหนดตัวชี้วัดที่แข็งแรง การสร้างกลไกบูรณาการจริง และการรักษาความต่อเนื่องข้ามรัฐบาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...