พุทธศาสนาเถรวาทในเอเชียใต้มิได้มีพัฒนาการในเส้นทางเดียว หากแต่เกิดการถ่ายโอน แลกเปลี่ยน และฟื้นฟูอยู่เสมอ หนึ่งในกระแสที่สำคัญที่สุดคือ พุทธศาสนาลังกาวงศ์ ซึ่งเข้ามามีบทบาทอย่างสูงในประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลังกา สร้างรูปแบบการสืบทอดพระธรรมวินัยที่เข้มแข็ง ในขณะที่ สยามวงศ์ ซึ่งถือกำเนิดในศรีลังกาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2295) โดยคณะสงฆ์นำโดยพระอุบาลี ได้กลับไปเผยแผ่และฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา กลายเป็นสะพานเชื่อมสำคัญระหว่างสองดินแดน
การพัฒนาของสองสายวงศ์นี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา หากยังเป็นกระจกเงาที่สะท้อนความเสื่อมถอย ความขัดแย้ง และการปรับตัวตามกระแสโลกยุคใหม่ อันเป็นประเด็นที่ควรศึกษาเชิงลึกทั้งในแง่พัฒนาการ แนวโน้มอนาคต ความเจริญ และปัจจัยแห่งความเสื่อม
พัฒนาการของลังกาวงศ์และสยามวงศ์
ตามคำอธิบายของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ในหนังสือ พระพุทธศาสนาในเอเชีย การเข้ามาของลังกาวงศ์ในสยามราว พ.ศ. 1800 ได้ช่วยสร้างความเป็นเอกภาพทางพระวินัย และยกระดับมาตรฐานการอุปสมบท ขณะเดียวกัน เมื่อสยามวงศ์ถูกสถาปนาขึ้นในศรีลังกาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงถือได้ว่าเป็นการ “ส่งคืนความศรัทธา” ให้แก่ดินแดนต้นกำเนิดพระพุทธศาสนาเถรวาทสายเก่า
ในช่วงเวลาต่อมา ทั้งสองสายวงศ์มีบทบาทเป็นแกนกลางของการศึกษาพระพุทธศาสนาและการสร้างเครือข่ายสงฆ์ระหว่างประเทศ ยืนยันถึงความเป็นพุทธศาสนจักรที่มิได้ถูกจำกัดด้วยเขตแดนรัฐชาติ
แนวโน้ม ความเจริญ และความท้าทาย
1. ความเจริญ
-
การสืบทอดพระธรรมวินัย: การกำหนดมาตรฐานการอุปสมบทและการธำรงพระวินัยอย่างเข้มแข็งในลังกาวงศ์และสยามวงศ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงความบริสุทธิ์ของพระศาสนา
-
ความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ: การจัดงานฉลอง 250 ปี สยามวงศ์ที่แคนดี้ (พ.ศ. 2547) และการมีพระสงฆ์จากศรีลังกามาศึกษาในประเทศไทย เช่น กรณีของพระปิยรัตนะ รองศาสตราจารย์แห่ง มจร สะท้อนถึงพลังแห่งความร่วมมือเชิงวิชาการและศาสนธรรม
-
การยกระดับทางวิชาการ: การที่พระสงฆ์ศรีลังกาสามารถเข้ามาศึกษาจนถึงระดับปริญญาเอกในไทย เป็นสัญลักษณ์ของการยกระดับการศึกษาและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
2. ความท้าทายและร่องรอยเสื่อมถอย
-
การแตกนิกายย่อย: แม้รัฐบาลศรีลังกาจะรับรองนิกายหลัก 3 คือ สยามวงศ์ รามัญนิกาย และอมรปุระ แต่ความจริงคือมีการแยกย่อยเป็นสิบ ๆ นิกาย สะท้อนถึงความขัดแย้งและความหลากหลายที่อาจนำไปสู่การเสื่อมศรัทธา
-
ความขัดแย้งเชิงตีความพระธรรมคำสอน: กรณีพระสงฆ์บางรูปในสยามวงศ์อ้างว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ศรีลังกา และถูกขับออกจากคณะจนไปตั้งนิกายใหม่ เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตทางความคิดและความสามัคคี
-
แรงกดดันจากสิทธิมนุษยชน: การตั้งนิกายใหม่โดยอ้างสิทธิมนุษยชน เป็นประเด็นที่ท้าทายการรักษาความเป็นเอกภาพของพระพุทธศาสนาในบริบทสากล
-
ผลกระทบจากโลกสมัยใหม่: การผสมผสานระหว่างความศรัทธาดั้งเดิมกับความคิดสมัยใหม่ ทำให้พระพุทธศาสนาต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก
บทสรุป
สถานการณ์พุทธศาสนาลังกาวงศ์และสยามวงศ์ในปัจจุบันสะท้อนภาพที่ซับซ้อน คือในด้านหนึ่งยังคงความเจริญในเชิงเครือข่าย การศึกษา และการธำรงพระธรรมวินัย แต่อีกด้านหนึ่งกลับปรากฏความท้าทายจากการแตกนิกาย การตีความใหม่ที่อาจบั่นทอนเอกภาพ และแรงกดดันจากสิทธิมนุษยชนและกระแสโลกสมัยใหม่
การวิเคราะห์ดังกล่าวนำไปสู่ข้อเสนอว่า อนาคตของพุทธศาสนาลังกาวงศ์และสยามวงศ์จะต้องอาศัยทั้งการธำรงหลักพระธรรมวินัยที่มั่นคง และการเปิดพื้นที่วิชาการเพื่อการสนทนาและความร่วมมือระหว่างประเทศ การจัดสัมมนานานาชาติพุทธในอุษาคเนย์จึงเป็นเวทีสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้าใจร่วม และนำพาพระพุทธศาสนาให้คงความมั่นคงและความทันสมัยไปพร้อมกัน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น