วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

วิเคราะห์สถานการณ์พุทธศาสนาลังกาวงศ์และสยามวงศ์: พัฒนาการ แนวโน้ม ความเจริญ และเสื่อมถอย


พุทธศาสนาเถรวาทในเอเชียใต้มิได้มีพัฒนาการในเส้นทางเดียว หากแต่เกิดการถ่ายโอน แลกเปลี่ยน และฟื้นฟูอยู่เสมอ หนึ่งในกระแสที่สำคัญที่สุดคือ พุทธศาสนาลังกาวงศ์ ซึ่งเข้ามามีบทบาทอย่างสูงในประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลังกา สร้างรูปแบบการสืบทอดพระธรรมวินัยที่เข้มแข็ง ในขณะที่ สยามวงศ์ ซึ่งถือกำเนิดในศรีลังกาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2295) โดยคณะสงฆ์นำโดยพระอุบาลี ได้กลับไปเผยแผ่และฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา กลายเป็นสะพานเชื่อมสำคัญระหว่างสองดินแดน

การพัฒนาของสองสายวงศ์นี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา หากยังเป็นกระจกเงาที่สะท้อนความเสื่อมถอย ความขัดแย้ง และการปรับตัวตามกระแสโลกยุคใหม่ อันเป็นประเด็นที่ควรศึกษาเชิงลึกทั้งในแง่พัฒนาการ แนวโน้มอนาคต ความเจริญ และปัจจัยแห่งความเสื่อม


พัฒนาการของลังกาวงศ์และสยามวงศ์

ตามคำอธิบายของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ในหนังสือ พระพุทธศาสนาในเอเชีย การเข้ามาของลังกาวงศ์ในสยามราว พ.ศ. 1800 ได้ช่วยสร้างความเป็นเอกภาพทางพระวินัย และยกระดับมาตรฐานการอุปสมบท ขณะเดียวกัน เมื่อสยามวงศ์ถูกสถาปนาขึ้นในศรีลังกาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงถือได้ว่าเป็นการ “ส่งคืนความศรัทธา” ให้แก่ดินแดนต้นกำเนิดพระพุทธศาสนาเถรวาทสายเก่า

ในช่วงเวลาต่อมา ทั้งสองสายวงศ์มีบทบาทเป็นแกนกลางของการศึกษาพระพุทธศาสนาและการสร้างเครือข่ายสงฆ์ระหว่างประเทศ ยืนยันถึงความเป็นพุทธศาสนจักรที่มิได้ถูกจำกัดด้วยเขตแดนรัฐชาติ


แนวโน้ม ความเจริญ และความท้าทาย

1. ความเจริญ

  • การสืบทอดพระธรรมวินัย: การกำหนดมาตรฐานการอุปสมบทและการธำรงพระวินัยอย่างเข้มแข็งในลังกาวงศ์และสยามวงศ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงความบริสุทธิ์ของพระศาสนา

  • ความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ: การจัดงานฉลอง 250 ปี สยามวงศ์ที่แคนดี้ (พ.ศ. 2547) และการมีพระสงฆ์จากศรีลังกามาศึกษาในประเทศไทย เช่น กรณีของพระปิยรัตนะ รองศาสตราจารย์แห่ง มจร สะท้อนถึงพลังแห่งความร่วมมือเชิงวิชาการและศาสนธรรม

  • การยกระดับทางวิชาการ: การที่พระสงฆ์ศรีลังกาสามารถเข้ามาศึกษาจนถึงระดับปริญญาเอกในไทย เป็นสัญลักษณ์ของการยกระดับการศึกษาและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้

2. ความท้าทายและร่องรอยเสื่อมถอย

  • การแตกนิกายย่อย: แม้รัฐบาลศรีลังกาจะรับรองนิกายหลัก 3 คือ สยามวงศ์ รามัญนิกาย และอมรปุระ แต่ความจริงคือมีการแยกย่อยเป็นสิบ ๆ นิกาย สะท้อนถึงความขัดแย้งและความหลากหลายที่อาจนำไปสู่การเสื่อมศรัทธา

  • ความขัดแย้งเชิงตีความพระธรรมคำสอน: กรณีพระสงฆ์บางรูปในสยามวงศ์อ้างว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ศรีลังกา และถูกขับออกจากคณะจนไปตั้งนิกายใหม่ เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตทางความคิดและความสามัคคี

  • แรงกดดันจากสิทธิมนุษยชน: การตั้งนิกายใหม่โดยอ้างสิทธิมนุษยชน เป็นประเด็นที่ท้าทายการรักษาความเป็นเอกภาพของพระพุทธศาสนาในบริบทสากล

  • ผลกระทบจากโลกสมัยใหม่: การผสมผสานระหว่างความศรัทธาดั้งเดิมกับความคิดสมัยใหม่ ทำให้พระพุทธศาสนาต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก


บทสรุป

สถานการณ์พุทธศาสนาลังกาวงศ์และสยามวงศ์ในปัจจุบันสะท้อนภาพที่ซับซ้อน คือในด้านหนึ่งยังคงความเจริญในเชิงเครือข่าย การศึกษา และการธำรงพระธรรมวินัย แต่อีกด้านหนึ่งกลับปรากฏความท้าทายจากการแตกนิกาย การตีความใหม่ที่อาจบั่นทอนเอกภาพ และแรงกดดันจากสิทธิมนุษยชนและกระแสโลกสมัยใหม่

การวิเคราะห์ดังกล่าวนำไปสู่ข้อเสนอว่า อนาคตของพุทธศาสนาลังกาวงศ์และสยามวงศ์จะต้องอาศัยทั้งการธำรงหลักพระธรรมวินัยที่มั่นคง และการเปิดพื้นที่วิชาการเพื่อการสนทนาและความร่วมมือระหว่างประเทศ การจัดสัมมนานานาชาติพุทธในอุษาคเนย์จึงเป็นเวทีสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้าใจร่วม และนำพาพระพุทธศาสนาให้คงความมั่นคงและความทันสมัยไปพร้อมกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...