บทความนี้มุ่งวิเคราะห์พัฒนาการของวิชาพุทธศาสน์ศึกษาในประเทศไทย จากฐานราก “ภาษาบาลี” ในระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ ไปสู่การจัดตั้งเชิงสถาบันในระดับอุดมศึกษา ภายใต้นโยบายของรัฐและมาตรฐานวิชาการสากล พร้อมทั้งสะท้อนความท้าทายใหม่ในบริบท “ยุคเอไอ” ที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การศึกษาและการวิจัยอย่างสิ้นเชิง ข้อเสนอสำคัญคือ การพัฒนากรอบพุทธศาสน์ศึกษาเชิงวิพากษ์ (Critical Buddhist Pedagogy) ที่บูรณาการพลังแห่งพระไตรปิฎกกับความต้องการของสังคมสมัยใหม่ ทั้งในมิติการศึกษา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และจริยธรรมโลกดิจิทัล
1. บทนำ
กว่า 100 ปีที่ผ่านมา พุทธศาสน์ศึกษาในประเทศไทยได้เติบโตภายใต้สองกรอบใหญ่ คือ (1) การศึกษาพระบาลีและคัมภีร์ในวัดวาอาราม และ (2) การสถาปนาวิชาการในมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ เช่น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิได้เป็นเพียงการพัฒนาเชิงวิชาการ แต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง “พระพุทธศาสนา–รัฐ–สังคม” ซึ่งซับซ้อนและแฝงไว้ด้วยพลวัตอำนาจ
2. จากบาลีสู่การสถาปนาเชิงสถาบัน
-
บาลีเป็นรากฐาน: ระบบการศึกษาของสงฆ์ไทยเริ่มจากการท่องจำ สวดมนต์ และการถกเถียงพระธรรมวินัย (ธัมมสากัจฉา) เพื่อการพัฒนาทั้งปัญญาและคุณธรรม
-
การปฏิรูปโดยรัฐ: ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 และ 5 รัฐไทยได้ผลักดันให้พระพุทธศาสนาสอดรับกับวิทยาการสมัยใหม่ ก่อตั้งสถาบันสงฆ์ระดับอุดมศึกษา และต่อมามีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ
-
การเข้าสู่กรอบมหาวิทยาลัยสมัยใหม่: เมื่อเข้าสู่ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา มจร และ มมร ได้รับการรับรองในฐานะมหาวิทยาลัยเต็มรูปแบบ เปิดหลักสูตรตั้งแต่ปริญญาตรี–เอก และกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการศึกษาพระกับศาสตร์โลก
3. ความท้าทายของพุทธศาสน์ศึกษาไทย
-
ข้อจำกัดเชิงนโยบาย: หลักสูตรต้องสอดคล้องกับกรอบ OBE (Outcome-Based Education) และการประเมินคุณภาพ ทำให้การวิจัยเชิงสมถะ–วิปัสสนามักถูกลดทอนคุณค่า
-
ความตึงเครียดระหว่างศาสนากับรัฐ: สถาบันสงฆ์ต้องตอบสนองทั้งฝ่ายมหาเถรสมาคมและฝ่ายนโยบายรัฐ ซึ่งบางครั้งมีทิศทางที่ไม่สอดคล้องกัน
-
ความเหลื่อมล้ำระหว่างโลกท้องถิ่นกับสากล: งานวิจัยไทยยังขาดการบูรณาการเข้ากับเวทีวิชาการนานาชาติ ทั้งด้านภาษาอังกฤษ มหายาน–วัชรยาน และประเด็นร่วมสมัย เช่น สิ่งแวดล้อม–สันติภาพ
-
คุณค่าตลาดแรงงาน: บัณฑิตพุทธศาสน์ศึกษามักประสบปัญหาการยอมรับในตลาดงาน เนื่องจากไม่ถูกมองว่ามี “มูลค่าทางเศรษฐกิจ”
4. พุทธศาสน์ศึกษาในยุคเอไอ
ยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายใหม่ ได้แก่
-
การวิจัยดิจิทัล: AI สามารถช่วยวิเคราะห์พระไตรปิฎก คัมภีร์บาลี–สันสกฤต และเอกสารโบราณได้อย่างแม่นยำ เร่งความเร็วการเข้าถึงองค์ความรู้
-
การเรียนการสอนออนไลน์: แพลตฟอร์มดิจิทัลทำให้พุทธศาสน์ศึกษาเข้าถึงคนรุ่นใหม่ทั่วโลก แต่ก็ต้องรักษาความถูกต้องและจริยธรรมของเนื้อหา
-
บูรณาการพุทธกับเทคโนโลยี: การใช้หลักพุทธธรรม เช่น อริยมรรค หรือสติปัฏฐาน เป็นกรอบวิเคราะห์ผลกระทบทางจริยธรรมของ AI ต่อสังคม
5. แนวทางการพัฒนา
-
กรอบพุทธศาสน์ศึกษาเชิงวิพากษ์ (Critical Buddhist Pedagogy): ผสมผสานความลุ่มลึกทางคัมภีร์กับความร่วมสมัย เช่น นโยบายสาธารณะ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพจิต
-
หลักสูตรสหวิทยาการ: บูรณาการพุทธศาสน์กับศาสตร์ใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์เชิงจริยธรรม และการจัดการความขัดแย้ง
-
การวิจัยแบบร่วมมือ (Collaborative Research): ระหว่างมหาวิทยาลัยสงฆ์และมหาวิทยาลัยฆราวาส เพื่อสร้างเครือข่ายวิชาการเข้มแข็ง
-
การส่งเสริมความหลากหลาย: เปิดพื้นที่ให้กับเถรวาท มหายาน วัชรยาน และการศึกษาเชิงเปรียบเทียบกับศาสนาอื่น
6. สรุป
เส้นทาง “จากภาษาบาลีสู่เชิงนโยบาย” มิใช่เพียงพัฒนาการเชิงวิชาการ แต่คือการสร้างสะพานเชื่อมระหว่าง ภูมิปัญญาดั้งเดิม–รัฐชาติ–เวทีโลก ในยุคที่เทคโนโลยีและเอไอท้าทายทุกมิติของการศึกษา หากประเทศไทยสามารถพัฒนาพุทธศาสน์ศึกษาให้ “ลุ่มลึกทางคัมภีร์ เข้มแข็งทางวิชาการ และร่วมสมัยกับโลกดิจิทัล” ก็จะทำให้ศาสตร์นี้ยังคงความหมายทั้งในฐานะผู้พิทักษ์มรดก และเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคตการศึกษาไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น