วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568

เพลง : คำมั่นที่หายไป



(Verse 1) https://suno.com/s/lKnUVyjvLLTLc4xP

สัตยาบรรณที่เคยให้ไว้ต่อหน้า
คำสัญญาที่ประชาชนเฝ้ารอ
แต่เมื่อกาลผ่าน ความจริงกลับแปรผัน
เหลือเพียงความฝัน ที่ลอยหายไป

 (Verse 2)
อำนาจผลประโยชน์ซ่อนอยู่ทุกมุมใจ
เสียงที่เคยพูดไว้ กลับกลายเป็นเงา
สัจจะการเมือง เหลือเพียงลมพร่าเบา
ทำให้ผู้คนสิ้นศรัทธา

(Hook)
คำมั่นที่หายไป ใครจะรับผิดชอบ
เมื่อสัญญาถูกลบเลือนด้วยอำนาจ
ความเชื่อใจของผู้คน กำลังพร่าลงทุกขณะ
การเมืองจะเดินไปทางใด หากไร้สัจจะ

(Bridge)
ถ้าสัญญาเป็นเพียงเกมเพื่อชัยชนะ
แล้วประชาธิปไตยจะเหลือค่าเพียงใด
ถึงเวลาแล้วที่ต้องยืนหยัด รักษาคำที่เคยให้
เพื่อพาประเทศก้าวไปสู่วันใหม่

(Hook)
คำมั่นที่หายไป ใครจะรับผิดชอบ
เมื่อสัญญาถูกลบเลือนด้วยอำนาจ
หากการเมืองไม่คืนสัจจะ

ศรัทธาประชาชน…ก็คงไม่หวนมา 

วิเคราะห์การลงสัตยาบรรณถูกตระบัดสัตย์ในการเมืองไทย

“สัตยาบรรณ” หมายถึง คำมั่นสัญญาที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลให้ไว้ต่อสาธารณะ หรือเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างคู่กรณีทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความไว้วางใจและความมั่นคงทางการเมือง แต่ในบริบทการเมืองไทย ปรากฏการณ์ “การตระบัดสัตย์” หรือการไม่ปฏิบัติตามสัตยาบรรณที่ได้ให้ไว้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตย


การลงสัตยาบรรณในทางการเมือง

การลงสัตยาบรรณมักปรากฏในสองลักษณะสำคัญ ได้แก่

  1. สัตยาบรรณก่อนการเลือกตั้ง

    • นักการเมืองหรือพรรคการเมืองประกาศนโยบาย คำมั่นสัญญา หรือข้อตกลงทางการเมืองกับประชาชน เช่น การประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับบางพรรค หรือการรับปากว่าจะผลักดันกฎหมายสำคัญบางฉบับ

  2. สัตยาบรรณภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล

    • เป็นข้อตกลงทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หรือการจัดสรรตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี

สัตยาบรรณเหล่านี้มีคุณค่าทางสัญลักษณ์และจริยธรรมการเมืองสูง เนื่องจากสะท้อนถึง “ความน่าเชื่อถือ” ของผู้นำและพรรคการเมือง


การตระบัดสัตย์และผลกระทบ

แม้สัตยาบรรณจะเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น แต่ในทางปฏิบัติ การเมืองไทยกลับมีตัวอย่างการตระบัดสัตย์อยู่เสมอ เช่น

  • พรรคการเมืองที่เคยประกาศจะไม่ร่วมรัฐบาลกับอีกฝ่าย แต่ภายหลังกลับเข้าร่วมเพื่อแลกกับอำนาจและตำแหน่ง

  • การให้คำมั่นต่อประชาชนว่าจะผลักดันนโยบายเร่งด่วน แต่กลับไม่สามารถดำเนินการได้จริง

  • การโหวตสวนมติพรรค ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ร่วมลงสัตยาบรรณในการสนับสนุนจุดยืนเดียวกัน

ผลกระทบสำคัญ ได้แก่

  1. ความเสื่อมศรัทธาของประชาชน – ประชาชนมองว่านักการเมืองไม่รักษาสัจจะ ขาดความจริงใจ

  2. การลดทอนมาตรฐานคุณธรรมทางการเมือง – การตระบัดสัตย์กลายเป็นเรื่องปกติทางการเมือง

  3. วิกฤติความชอบธรรมของรัฐบาล – รัฐบาลที่เกิดจากการละเมิดสัตยาบรรณมักเผชิญแรงเสียดทานและความไม่ไว้วางใจจากสังคม

  4. ความไม่มั่นคงของระบอบประชาธิปไตย – เมื่อสัญญาทางการเมืองไม่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาธิปไตยจะถูกตั้งคำถามถึงความจริงแท้


การวิเคราะห์เชิงทฤษฎี

  1. ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) – รัฐบาลและนักการเมืองเปรียบเสมือนผู้ทำสัญญากับประชาชน หากไม่รักษาสัญญา ย่อมเป็นการละเมิดข้อตกลงพื้นฐานที่ทำให้ประชาชนยินยอมให้ปกครอง

  2. ทฤษฎีทุนทางสังคม (Social Capital) – การตระบัดสัตย์บั่นทอนความไว้วางใจ (trust) และบั่นทอนเครือข่ายทางการเมืองในระยะยาว

  3. ทฤษฎีเกม (Game Theory) – การเมืองไทยมักสะท้อนพฤติกรรม “เชิงกลยุทธ์” มากกว่าคุณค่าทางจริยธรรม ทำให้การรักษาสัตยาบรรณไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เฉพาะหน้า


บทสรุป

การลงสัตยาบรรณแต่ถูกตระบัดสัตย์เป็นปัญหาเชิงวัฒนธรรมทางการเมืองไทยที่สะสมมายาวนาน ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการขาดวัฒนธรรมการเมืองเชิงสถาบัน (institutional political culture) แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตย

การป้องกันไม่ให้เกิดการตระบัดสัตย์ซ้ำซาก ควรดำเนินการใน 3 มิติ ได้แก่

  1. สร้างกลไกตรวจสอบและบทลงโทษ สำหรับการผิดสัญญาทางการเมือง

  2. เสริมสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบยึดมั่นในอุดมการณ์ มากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้า

  3. พัฒนาความตื่นตัวของประชาชน ให้สามารถติดตาม ตรวจสอบ และลงโทษทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง


ท้ายที่สุด หากนักการเมืองไทยยังคงเพิกเฉยต่อ “คำมั่นสัญญา” การเมืองไทยก็จะติดอยู่ในวงจรความไม่ไว้วางใจ และประชาธิปไตยจะไม่สามารถหยั่งรากลึกได้อย่างแท้จริง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...