การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับองค์กรยุคใหม่ในการเผชิญความท้าทายจากโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความกำกวม (VUCA World) งาน Thailand KM Network Forum 2025 ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) ร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วน ถือเป็นเวทีที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ KM ในการสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) และการปรับตัวเชิงนวัตกรรมสำหรับองค์กรไทยในอนาคต
เนื้อหาเชิงวิเคราะห์
1. ความจำเป็นของ KM ในการดำรงอยู่ขององค์กร
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ OKMD ชี้ว่า หากองค์กรใดขาดการจัดการความรู้ องค์กรนั้นจะ “อยู่ยาก” ในอนาคต เนื่องจากความรู้คือทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่เพียงด้านเศรษฐกิจ แต่รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบจึงเปรียบเสมือนเสาหลักที่ทำให้องค์กรสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง
2. องค์กร KM แห่งอนาคตในบริบทโลกใหม่
รศ.ดร.วินเซนต์ ริเบียร์ (IKI-SEA) เน้นย้ำว่า องค์กรยุคปัจจุบันต้องเผชิญสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการเรียนรู้ การเลิกยึดติด และการเรียนรู้ใหม่ จึงเป็นทักษะที่จำเป็น การสร้างระบบ KM ที่ยืดหยุ่นและคล่องตัวจะทำให้องค์กรสามารถใช้ความรู้เพื่อฝ่าวิกฤติ และเปลี่ยนความไม่แน่นอนให้เป็นโอกาส
นอกจากนี้ การจำลองสถานการณ์ “เกมการจัดการความรู้” ในงาน Forum ยังสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายจริงของผู้จัดการความรู้ (Knowledge Manager) ในการรักษาและต่อยอดทุนความรู้ภายใต้แรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียบุคลากรสำคัญ (Brain Drain) หรือการแข่งขันเชิงธุรกิจ
3. บทบาทของเทคโนโลยีและ AI ในการพัฒนา KM
ดร.อัมพร แสงมณี (TRIS) ชี้ให้เห็นว่า ขอบเขตการจัดการความรู้กำลังถูกพลิกโฉมด้วยการผสานกันระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งช่วยขยายมุมมองและสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่เชิงลึกที่มนุษย์หรือ AI เพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถทำได้ การจัดการความรู้แห่งอนาคตจึงไม่ใช่เพียงการจัดเก็บและถ่ายทอดข้อมูล แต่คือการสร้างนวัตกรรมจากการบูรณาการ “ประสบการณ์มนุษย์” เข้ากับ “ศักยภาพเชิงวิเคราะห์ของ AI”
4. KM ในฐานะคลังความรู้ที่มีชีวิต
รศ.ดร.บวร ปภัสราทร (KNIT) มองว่า KM คือ “คลังความรู้ที่มีชีวิต” ขององค์กร ซึ่งไม่เพียงสะสมและจัดเก็บ แต่ยังต้องหมุนเวียนและต่อยอดอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่น (Organizational Resilience) การจัดการความรู้ที่ดีทำให้องค์กรไม่เพียงสามารถรับมือกับความผันผวน แต่ยังมีศักยภาพกำหนดอนาคตของตนเอง
5. การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัลเพื่อ KM ที่เข้าถึงได้
ดร.อภิชาติ ประเสริฐ (OKMD) ย้ำถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่าย เช่น ChatGPT และแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อทำให้ความรู้มีรูปแบบที่ชัดเจน เข้าถึงได้ และน่าติดตาม ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญในการทำให้ KM ไม่เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับผู้บริหาร แต่เป็นวัฒนธรรมที่ทุกคนในองค์กรสามารถเข้ามามีส่วนร่วม
บทสรุป
องค์กร KM แห่งอนาคตจะต้องเป็นองค์กรที่สามารถ ผสานความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง องค์กรเหล่านี้จะไม่เพียงมีความสามารถในการ “อยู่รอด” แต่ยังสามารถ “เติบโต” ได้ในโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤติและความไม่แน่นอน การลงทุนในระบบ KM จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ ที่จะชี้ชะตาความมั่นคงและความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น