ภายใต้การแถลงนโยบายรัฐบาลครั้งล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้เสนอแผนปฏิบัติการเร่งด่วนระยะ 4 เดือน เพื่อรับมือความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการค้าของไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการส่งออก ปกป้องผู้ประกอบการไทย สนับสนุนเกษตรกร SME และลดภาระค่าครองชีพของประชาชน บทความนี้จะวิเคราะห์นโยบายดังกล่าวในเชิงวิชาการ โดยแยกเป็นประเด็นหลัก ได้แก่ การเจรจาการค้า การคุ้มครองผู้ประกอบการ การลดค่าครองชีพ การดูแลสินค้าเกษตร และการสนับสนุน SME
วัตถุประสงค์ของนโยบายเร่งด่วน
นโยบายเร่งด่วน 4 เดือนภายใต้การนำของศุภจี มีวัตถุประสงค์สำคัญ 5 ด้าน ได้แก่
-
ส่งเสริมการส่งออกและเจรจาการค้า: การเจรจาข้อตกลงการค้า (Agreement on Reciprocal Trade; ART) กับสหรัฐฯ และเร่งรัดการทำข้อตกลง FTA ไทย–สหภาพยุโรป และไทย–เกาหลีใต้
-
ปกป้องผู้ประกอบการไทย: การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD), มาตรการหลบเลี่ยง (AC), มาตรการปกป้อง (SG) และป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพและธุรกิจนอมินี
-
ลดภาระค่าครองชีพประชาชน: จัดโครงการมหกรรมธงฟ้า ลดราคาสินค้าและยา พร้อมสร้างความโปร่งใสในการเข้าถึงเวชภัณฑ์
-
ดูแลสินค้าเกษตรสำคัญ: ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ผ่านมาตรการสินเชื่อ การกำหนดราคา และการสร้างตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
-
สนับสนุน SME: การขยายตลาด พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ เพิ่มช่องทางการค้า มูลค่าสินค้า การเข้าถึงแหล่งทุน และปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัล
กลยุทธ์และมาตรการปฏิบัติการ
1. การเจรจาการค้าและถิ่นกำเนิดสินค้า
เพื่อสร้างความชัดเจนด้านกติกาการค้าและปกป้องผู้ส่งออกไทย กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) สำหรับการส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวังจาก 45 เป็น 65 รายการ ใช้เทคโนโลยี AI ตรวจสอบและป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร ทำให้การปลอมแปลง Form C/O ลดลงจาก 168 ฉบับในปี 2566 เหลือ 5 ฉบับในปี 2567 และไม่มีพบในปี 2568
2. การปกป้องผู้ประกอบการ
มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด การหลบเลี่ยงและมาตรการปกป้องสินค้า ถูกปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่
-
ลดระยะเวลาการรับคำร้องจาก 4 เดือน เหลือ 1 เดือน
-
ใช้ AI วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูล
-
ลดเวลาการไต่สวนจาก 12 เดือน เหลือ 9 เดือน
นอกจากนี้ยังดำเนินมาตรการเข้มงวดต่อสินค้าด้อยคุณภาพและธุรกิจนอมินี ร่วมกับ 16 หน่วยงาน ปัจจุบันดำเนินคดีไปแล้ว 81,719 คดี มูลค่าความเสียหาย 3,541.89 ล้านบาท และตรวจสอบนอมินี 7 ประเภทธุรกิจ พบการดำเนินคดี 475 ราย มูลค่าเสียหาย 2,873 ล้านบาท
3. การลดค่าครองชีพ
มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่
-
จัดโครงการมหกรรมธงฟ้า กว่า 1,300 ครั้ง ลดค่าใช้จ่ายประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท
-
ให้ประชาชนซื้อยาได้จากร้านภายนอกโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท
-
ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น ลดภาระเพิ่มเติม 1,100 ล้านบาท
4. การดูแลสินค้าเกษตรสำคัญ
แผนรับมือระยะสั้นและระยะยาว
-
ระยะสั้น: โครงการธงเขียวลดราคาปุ๋ยเคมี สนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกร ช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ผลักดันส่งออกข้าวจีทูจีไปจีน 2.8 แสนตัน และเพิ่มอีก 2.2 แสนตัน
-
ระยะยาว: ปรับปรุงพันธุ์ข้าว เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ปลูกพืชมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโด และข้าวอินทรีย์ในยุโรป ข้าวหอมมะลิในสหรัฐฯ
5. การสนับสนุน SME
เสริมศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย 6 ด้าน
-
ขยายตลาดใหม่: เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา
-
พัฒนาศักยภาพ: คอนเทนต์ออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูล
-
เพิ่มช่องทางการค้า: ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
-
เพิ่มมูลค่าสินค้า: GI, Thai SELECT, Thailand Trust Mark
-
เข้าถึงแหล่งทุน: สินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงิน
-
ปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัล “ม็อกฟองดู”
6. การช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการชายแดน
สำหรับ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา จัดงานธงฟ้าราคาประหยัด เพิ่มช่องทางตลาดผ่านมหกรรมการค้าชายแดนและจำหน่ายออนไลน์ พร้อมช่วยผู้ส่งออกหาช่องทางใหม่และลดต้นทุนโลจิสติกส์
การเร่งรัด FTA
นโยบายเน้นการเจรจา FTA ไทย–สหภาพยุโรป และไทย–เกาหลีใต้ พร้อมสนับสนุนเอกชนให้ใช้สิทธิประโยชน์จริง เพื่อเพิ่มผลประโยชน์ทางการค้า
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
-
การส่งออกมีความชัดเจนและปกป้องผู้ประกอบการไทย
-
สินค้าด้อยคุณภาพและธุรกิจนอมินีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
-
ค่าครองชีพประชาชนลดลง และเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น
-
เกษตรกรและ SME เพิ่มโอกาสทางการค้าและเข้าถึงตลาดใหม่
-
FTA สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม
สรุป
นโยบายเร่งด่วนพาณิชย์ 4 เดือน ภายใต้การนำของศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นตัวอย่างของการวางแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมตั้งแต่การส่งออก การปกป้องผู้ประกอบการ การลดค่าครองชีพ การดูแลสินค้าเกษตร และการสนับสนุน SME โดยใช้เทคโนโลยีและมาตรการบริหารเชิงรุก บทวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนและยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น