เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2566 วานนี้ (5 ต.ค.66) นางรสนา โตสิตระกูล อดีตสว.กรุงเทพมหานครและนักเคลื่อนไหวทางสังคมชื่อได้ ได้โพสต์ข้อความในเฟชบุ๊คส่วนตัวเรียกร้องรอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โปรดเอ็นดูต้นไม้ด้านหลังพุทธมณฑล อย่าตัดต้นไม้ให้เหี้ยนเตียนเหมือนปี 2564 อีกเลย โดยมีความละเอียดดังนี้ 5 ตุลาคม 2566
ถนนอ้อมหลังพุทธมณฑลที่เรียกว่าถนนสาย ก ข ค เป็นถนนที่มีความยาวประมาณ 6-7 กิโลเมตร สองข้างทางมีทิวไม้นนทรีที่ให้ร่มเงา บางช่วงแลดูเป็นอุโมงค์ต้นไม้ สวยงามมาก เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกหายากนานาชนิด มีนักดูนกมาตั้งกล้องส่องนกกันอยู่เสมอ ต้นไม้ตลอดแนวถนนให้ร่มเงากับผู้คนที่ขี่จักรยานและมาเดิน-วิ่งออกกำลังกายกันเป็นประจำด้วย
เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักพฤกษศาสตร์ว่า ต้นนนทรี (Copper pod/Yellow flame) จัดเป็นไม้ดอก ไม้ประดับที่นิยมปลูกมากตามสถานที่ราชการต่างๆ เนื่องจากลำต้นแตกทรงพุ่มใหญ่ ทำให้บังแดดเป็นร่มเงาได้ดี อีกทั้งช่อดอกมีขนาดใหญ่ ดอกเมื่อบานจะมีสีเหลืองสวยงาม ดังนั้นการตัดไม้นนทรีจนกุดโกร๋นเหี้ยนเตียนเช่นนั้นจึงนับว่าผิดวัตถุประสงค์ของการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา
เมื่อปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นปีแรกที่เห็นการตัดต้นไม้แบบเหี้ยนเตียน ไร้รุกขกรมืออาชีพมากำกับดูแล มีรถบดกิ่งไม้ที่ตัดเพื่อเอาไปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล แต่ส่วนใหญ่ตัดเป็นท่อน ๆ คงเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ขายอีกทอดหนึ่ง
ดิฉันเคยเขียนขอร้องทางสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติที่ดูแลบริเวณพุทธมณฑลขอให้เอ็นดูต้นไม้ และสัตว์นานาชนิดที่อาศัยในบริเวณนี้ ขอให้ตัดต้นไม้ตามหลักของรุกขกรที่รักษาต้นไม้และร่มเงา ควรตัดแต่งกิ่งเท่าที่จำเป็น ถือหลักไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้คนที่สัญจรไปมาในบริเวณนี้
มาปีนี้การตัดต้นไม้เริ่มอีกแล้วช่วงกันยายน เริ่มตัดต้นไม้จนกุดโกร๋นไปจำนวนหนึ่งในระยะทางประมาณ 200-300 เมตร และหยุดไป วันนี้ (5ตุลาคม) ดิฉันเห็นว่าเริ่มมีการเข้ามาตัดต้นไม้จริงจังอีกครั้ง และเท่าที่เห็นต้นไม้ที่ถูกตัดไปก่อนหน้านี้เป็นการตัดที่ไม่ใช่หลักวิชาของรุกขกรอีกเช่นเดิม ตำแหน่งที่ตัดไม่ใช่คอกิ่ง จะทำให้ต้นไม้เสียรูปทรง และแผลจุดตัดจะไม่สมาน ในอนาคตเชื้อโรค รา จะเข้าทำลายสุขภาพต้นไม้ได้ และต่อไปจะทำให้ต้นไม้อ่อนแอ หักโค่นง่ายเป็นอันตรายต่อผู้คนที่สัญจรไปมา ที่สำคัญทรงพุ่มหายหมด ใบไม่หนาแน่นพอที่จะช่วยกรองฝุ่นพิษ pm 2.5 ที่กำลังจะกลับมาทุกครั้งในหน้าหนาวช่วงปลายปีการวัดพื้นที่สีเขียวตามหลักสากลปัจจุบัน คือวัดร่มเงา (canopy) แต่เราจะไม่ได้ร่มเงาเลยถ้าตัดกันเหี้ยนเตียนในลักษณะที่สำนักพุทธฯกำลังทำอยู่นี้
ขอย้ำอีกครั้งว่า การตัดต้นไม้หลังหน้าฝนที่กำลังจะเข้าสู่หน้าหนาว ซึ่งเป็นฤดูที่ฝุ่นพิษ p.m 2.5 จะหนาแน่นที่สุดของปี เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน การตัดต้นไม้ในยามนี้จนไม่เหลือใบไม้สำหรับกรองฝุ่น เป็นฤดูที่ไม่ควรตัดต้นไม้อย่างยิ่ง
จึงขอเรียนมาถึงผู้บริหารสำนักพุทธฯ ที่ดูแลอาณาบริเวณของพุทธมณฑลว่าไม่ควรด้วยประการทั้งปวงที่จะให้สัมปทานคนมาตัดไม้ ที่ไม่ใช่รุกขกร อย่าให้สัมปทานคนมาตัดต้นไม้เพื่อนำไปทำเชื้อเพลิงชีวมวล เพราะจะมีการตัดไม้เน้นปริมาณมากโดยไม่มีหลักวิชาเป็นการทำลายทั้งความงาม ร่มเงา และสุขภาพของต้นไม้ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน
รอบบริเวณพุทธมณฑลควรเป็นพื้นที่ที่รำลึกว่าพระบรมศาสดาทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในป่าที่เป็นรมณีย์สมดังพุทธพจน์ที่ว่า”รมณีโย วต ภูมิภาโค-ภูมิสถานนี้ เป็นที่รมณีย์หนอ…”
ดังนั้นพุทธมณฑลควรเป็นรมณีย์ที่ให้ความรื่นรมย์ทางกายและความสงบใจแก่ประชาชนให้สมดังนามพุทธมณฑล ใช่หรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น