วันที่ 6 ต.ค. 66 เวลา 14.30น. ที่หอประชุมเล็กมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรม กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเสวนา “เอายังไงดีกับกองเซ็นเซอร์ : บทบาทของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดิทัศน์ภายใต้รัฐบาลซอฟต์พาวเวอร์” โดยมองว่าเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ ถ้ามองการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวทางการเมืองทั่วโลกปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากการใช้ฮาร์ดพาวเวอร์หรือกำลังทหารที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกการเคลื่อนไหวจะเห็นการปฏิรูป การปฏิวัติวัฒนธรรมเกี่ยวข้องอยู่เสมอ การที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย การจำกัดสิทธิเสรีภาพทางความคิดย่อมกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหว ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจน วันนี้หากกลับไปดูคณะกรรมการเซ็นเซอร์ใน พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ จะมีอยู่ 2 คณะ คณะแรกคือคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์อละวิดิทัศน์(เซ็นเซอร์) และมีคณะกรรมการภาพยนตร์และวิดิทัศน์แห่งชาติที่เปรียบเหมือนซุปเปอร์บอร์ด โดยมีประธานคือนายกรัฐมนตรี และมีรองประธานโดยตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยงและกีฬา ส่วนคณะกรรมการที่เหลือก็เป็นคือข้าราชการ เช่น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากกระทรวงกลาโหม ที่มองแล้วอาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับเศรฐกิจสร้างสรรค์ จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ในคณะกรรมการชุดนี้มีผู้ที่มีความรู้ ความเชียวชาญเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จึงต้องยอมรับว่าวันนี้มีอำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงอยู่จริง
น.ส.วทันยา ยังกล่าวต่ออีกว่า ทุกประเทศที่สามารถพัฒนาประเทศไปสู้ประเทศที่มีรายได้สูง เขาไม่ได้เคลื่อนเพียงแค่มิติของการค้าขาย แต่ยังมีเรื่องของซอฟพาวต์เวอร์อีกด้วย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่คนเขียนกฎหมายมองเพียงแค่เรื่องของความมั่นคง โดยไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขาพยายามเน้นย้ำเรื่องความมั่นคนั้นกำลังบั่นทอนอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะโดยตั้งมจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จะเห็นว่าหลังจากการแก้ไขเมื่อปี 2551 จนถึงปี 2566 พ.ร.บ.ภาพยนตร์ที่แก้ไขเดินทางมาถึง 15 ปี เทคโนโลยีเปลี่ยนไปมหาศาล เราไม่สามารถไปจำกัดการเข้าสื่อได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่อยากจะสะท้อนคือเราควรจะกลับมาทบทวนเรื่องของกองเซ็นเซอร์และกฎหมายว่าจะทำอย่างไรให้อัพเดตให้ร่วมสมัยกับค่านิยมที่เปลี่ยนแปลง กับโลกที่เปลี่ยนไป และเทคโนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ไม่เอาความคิดและค่านิยมเดิมๆไปปิดกั้นการขับเคลื่อนเรื่องของซอฟพาวเวอร์ เพราะเป็นช่องทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและโอกาสของประเทศ จึงเป็นเรื่องที่พูดได้อย่างเดียวว่า “เสียดาย เสียดาย เสียดาย”
นอกจากนี้ น.ส.วทันยา ยังได้ฝากถึงรัฐบาลว่า อันดับแรกอยากฝากไปถึงภาครัฐว่า “ซอฟพาวเวอร์ ไม่เท่ากับ วัฒนธรรม” ซึ่งก่อนอื่นเราต้องเข้าใจคำว่าซอฟพาวเวอร์ให้ตรงกันก่อน ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถพัฒนาเรื่องของซอฟพาวเวอร์ได้สำเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนราชการส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าเท่ากับวัฒนธรรม รำไทย ข้าวเหนียมมะม่วง แทนที่เราจะทำไรให้ถูกกลับไปทางผิด เสียโอกาสของประเทศ ดังนั้นเราจะช่วยกันเสริมสร้างการแสดงออกทางเสรีภาพและความคิดของคนไทยให้ออกไปไกลทั่วโลกได้อย่างไร
“คนไทยเรื่องของความคิดสร้างไม่แพ้ชาติใดในโลก แทนที่เราจะปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยกันเอง ทำไมเราไม่ช่วยกันสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้ออกไปได้ไกลสู่สายตาคนทั่วโลก ดังนั้นถ้าภาครัฐเข้าใจให้ถูกต้อง ใส่ใจสักนิด และหันมาลงมืออย่างจริงจัง เชื่อว่าคนไทยไปได้ไกลอย่างแน่นอน“ น.ส.วทันยา กล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น