วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

"พริษฐ์" เปิดมติตัวเองขับ ส.ส.ปูอัดก้าวไกล พ้นพรรค



เมื่อวันที่  2 พฤศจิกายน 2566  จากกรณีที่ เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และส.ส.ของพรรคก้าวไกล เพื่อหาข้อยุติกรณีข้อกล่าวหา ส.ส.มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ 2 กรณี คือ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล และนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ว่า ที่ประชุมพรรคและ ส.ส.ซึ่งมาประชุมจำนวน 128 คน เนื่องจากหลายคนติดภารกิจ ผลการพิจารณา ปรากฎว่า เห็นตรงกันว่าทั้ง 2 กรณีมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศจริง ถือว่าขัดต่อวินัยพรรคขั้นร้ายแรง และอุดมการณ์ และคุณค่าของพรรค ซึ่งโทษสูงสุดคือให้พ้นจากสมาชิกพรรค รองลงมาคือ คัดสิทธิพึงมีและคาดโทษตามกรณี ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมาวันนี้(2 พฤศจิกายน)  นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวผ่านเว็บไซต์เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) ว่า อย่างที่หลายคนทราบจากแถลงการณ์ของหัวหน้าพรรคเมื่อคืน ว่าในส่วนของข้อกล่าวเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศของ ส.ส. ก้าวไกลใน 2 กรณี กรรมการบริหารพรรคได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วมีมติว่าทั้ง 2 กรณี มีพฤติการณ์ที่คุกคามทางเพศจริง และผิดวินัยร้ายแรงของพรรค โดยเสนอให้ขับพ้นจากสมาชิกพรรค

เมื่อมีข้อเสนอดังกล่าว รัฐธรรมนูญ 2560 ได้กำหนดไว้ว่าการขับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นการลงมติในที่ประชุมร่วมกันระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมการบริหารพรรค โดยการลงมตินั้นจะต้องได้รับเสียง 3 ใน 4 ของจำนวน ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ (ไม่ใช่แค่ที่มาประชุม) ซึ่งจะอยู่ที่จำนวน 116 เสียง จาก 154 เสียง

ผลที่ปรากฎจากการลงมติของ ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคที่มาร่วมประชุมทั้งหมด 128 คน: 1. กรณี ส.ส. วุฒิพงษ์ ทองเหลา (ปราจีนบุรี) 120 คนลงมติให้ขับออก จึงทำให้การขับออกเกิดขึ้นได้ (เนื่องจากมากกว่า 116 เสียงตามเกณฑ์ 3 ใน 4)  2. กรณี ส.ส. ไชยามพวาน มั่นเพียรจิต (กทม.)  106 คนลงมติให้ขับออก จึงทำให้การขับออกยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ (เนื่องจากน้อยกว่า 116 เสียงตามเกณฑ์ 3 ใน 4) 

ผมเข้าใจดีว่า ส.ส. ในที่ประชุมคนแต่ละคนได้อภิปรายและลงมติบนข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่มีการเปิดเผยความเห็นหรือการลงมติรายบุคคล แต่ล่าสุด มีบางเพจที่ได้กล่าวหาว่าผมเป็น 1 ใน ส.ส. ที่ลงมติไม่เห็นชอบกับการขับออกคุณไชยามพวาน รวมถึงกล่าวหาว่าผม "รวบรวมเสียง" ให้คนโหวตไม่เห็นด้วยกับการขับออกเพื่อปกป้อง "พวกพ้อง" เนื่องจากผมรู้จักกับคุณไชยามพวานมาก่อนที่เขาจะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ผมถือว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่อยู่บนข้อเท็จจริงและเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ผมจึงจำเป็นต้องชี้แจงความจริงดังต่อไปนี้

1. ผมยืนยันว่าจุดยืนและการทำงานของผมตลอดที่ผ่านมา ยึดอยู่บนหลักการที่ผมคิดว่าถูกต้องและข้อเท็จจริงเท่านั้นในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับคนที่ผมรู้จักหรือเคยร่วมงานกันมามากน้อยแค่ไหน

2. แม้ผมไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการวินัยและกรรมการบริหารพรรคที่รับผิดชอบเรื่องการพิจารณาข้อเท็จจริงของทุกข้อร้องเรียนทางวินัย แต่ในฐานะโฆษกพรรค ผมย่อมต้องมีการทำงานร่วมกันกับคณะกรรมการวินัยในขั้นตอนที่ต้องมีการเตรียมการสื่อสาร - ดังนั้น เมื่อผมทราบว่ามีเรื่องร้องเรียนต่อคุณไชยามพวาน ผมจึงได้ระมัดระวังและเว้นระยะห่างเป็นพิเศษจากกระบวนการทั้งหมดในกรณีนี้ โดยได้แจ้งเหตุผลดังกล่าวต่อประธานกรรมการวินัยพรรค และหลีกเลี่ยงในการแสดงความเห็นใดๆนอกรอบกับ ส.ส. ทุกคนในพรรคที่สอบถามเข้ามา

3. ในที่ประชุมเมื่อวานที่คณะกรรมการวินัยและกรรมการบริหารพรรคได้มีการรายงานข้อเท็จจริงต่อ ส.ส. ทุกคน เพื่อเปิดให้มีกาารอภิปรายความเห็นก่อนจะลงมติ ผมก็ได้ลุกขึ้นอภิปราย โดยมีประเด็นที่สำคัญว่า

(i) ในมุมมองของผม การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่มีความผิดที่ชัดเจน คือการมีความสัมพันธ์กับทีมงานของตนเอง เพราะไม่ว่าสถานการณ์เฉพาะหน้าดูเหมือนจะมีการยินยอมหรือไม่ แต่ในเมื่อทั้งสองอยู่ใน "ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน" ที่ฝ่ายหนึ่งสามารถให้คุณให้โทษอีกฝ่ายหนึ่งได้ในหน้าที่การงาน ดังนั้น จึงไม่สามารถถูกตีความได้ว่าเป็น "ความยินยอม" ที่แท้จริง

(ii) หากตระหนักว่ากระทำผิดดังกล่าว ทางออกที่ควรจะเป็นคือการที่ผู้กระทำผิด แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โดยที่ไม่ต้องรอให้มีกระบวนการวินิจฉัยลงโทษอย่างเป็นทางการ

4. ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงเป็น 1 คนที่ลงมติเห็นด้วยกับการขับออกคุณไชยามพวาน ซึ่งเป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผยที่เพื่อนๆ ส.ส. ทุกคนรับรู้ และเป็นการตัดสินใจบนหลักการและเหตุผลที่ผมยึดถือ

5. ผมขออภัยเพื่อนๆ ส.ส. ที่ผมจำเป็นต้องเปิดเผยการลงมติของตนเองต่อสาธารณะ แต่ผมจำเป็นต้องชี้แจงข้อกล่าวหาที่รุนแรงว่าผมได้ใช้เหตุผลเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวในการลงคะแนนและโน้มน้าวคนอื่นในการลงคะแนน ซึ่งไม่เป็นความจริง และผมเชื่อว่า ส.ส. คนอื่นที่เห็นต่างกับผมและลงมติไม่เห็นด้วยกับการขับออกคุณไชยามพวาน ก็ได้ตัดสินใจบนหลักการและเหตุผลที่เขายึดถือ ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือการ "ปกป้องพวกพ้อง"

ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับเหตุผลหรือการตัดสินใจของผม แต่ผมยืนยันว่าทุกการตัดสินใจของผมยึดอยู่บนหลักการที่ผมเชื่อว่าถูกต้อง และเป็นหลักการที่ต้องนำมาใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาค

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"วราวุธ" เผย พม.จับมือ พศ.- กรมการศาสนา ตั้งศูนย์คุ้มครองเด็กและสามเณร สร้างพื้นที่ปลอดภัยแก่เด็กและเยาวชนหากถูกละเมิด

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567  นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมยุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเด็ก ...