(Verse 1) https://suno.com/s/XGsXmkk6bgrd3PrL
คำสัญญาที่ก้องกังวาน
กลับกลายเป็นหมอกควันในสภา
เสียงประชาชนที่ฝากศรัทธา
ถูกหักหลังด้วยอำนาจเกมการเมือง
(Hook) https://suno.com/s/mbzm8rhXWjT8gty3
นี่หรือคือสัจจะของผู้นำ
กลับพลิกคำราวลมเปลี่ยนทิศ
เมื่อผลประโยชน์มาก่อนความจริง
สัจจะการเมืองก็สูญสลาย
(Verse 2)
ปากบอกเพื่อชาติ แต่ใจเพื่อพวกพ้อง
แย่งชิงเก้าอี้เป็นของรางวัล
ความฝันของคนจนถูกโยนทิ้งข้างทาง
เหลือเพียงความว่างเปล่าในหัวใจ
(Hook)
นี่หรือคือสัจจะของผู้นำ
กลับพลิกคำราวลมเปลี่ยนทิศ
เมื่อผลประโยชน์มาก่อนความจริง
สัจจะการเมืองก็สูญสลาย
(Outro)
เมื่อใดจะมีผู้นำที่กล้าจริง
รักษาคำมั่นต่อแผ่นดิน
ไม่ตระบัดสัตย์ต่อความหวัง
ของประชาชนที่รอคอย
“การตระบัดสัตย์” ในทางการเมือง หมายถึง การไม่รักษาสัจจะหรือคำมั่นที่ได้ให้ไว้ต่อประชาชนหรือคู่สัญญาทางการเมือง อาจปรากฏในรูปแบบการผิดคำสัญญาหาเสียง การเปลี่ยนจุดยืนทางการเมืองอย่างกะทันหัน หรือการทำข้อตกลงลับที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมการเมืองไทย แต่เป็นวัฒนธรรมการเมืองที่ฝังรากลึก และมีผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเมืองและประชาธิปไตยไทย
แนวคิดทางทฤษฎี
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์มักอธิบายการตระบัดสัตย์ผ่านกรอบแนวคิด 3 ประการ ได้แก่
-
การเมืองแบบอุปถัมภ์ (Patron-Client Politics) : การเมืองไทยยังคงยึดโยงกับผลประโยชน์ระหว่างผู้นำและเครือข่าย ทำให้คำมั่นสัญญาทางการเมืองมักถูกละเมิดเพื่อรักษาสัมพันธภาพเชิงอำนาจ
-
การเมืองเชิงธุรกรรม (Transactional Politics) : ข้อตกลงทางการเมืองมักถูกมองเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ข้อตกลงจึงถูกยกเลิกหรือหักหลังได้ง่าย
-
วิกฤติความไว้วางใจ (Trust Deficit) : การผิดคำสัญญาของนักการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองโดยรวม
กรณีศึกษาในการเมืองไทย
ตัวอย่างเชิงโครงสร้างที่สะท้อน “การตระบัดสัตย์” ได้แก่
-
การจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามสัญญาหาเสียง : พรรคการเมืองบางพรรคเคยให้คำมั่นว่าจะไม่ร่วมกับพรรคใด แต่ภายหลังกลับเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการละเมิดเจตจำนงของผู้เลือกตั้ง
-
การผลักดันนโยบายที่ไม่เป็นไปตามที่หาเสียงไว้ : หลายนโยบายที่ถูกใช้หาเสียงกลับไม่ถูกผลักดันอย่างจริงจัง เนื่องจากแรงกดดันจากกลุ่มผลประโยชน์และข้อจำกัดทางการเมือง
-
การละเมิดข้อตกลงระหว่างพรรคการเมือง : ปรากฏการณ์การ “ย้ายข้าง” หรือ “หักหลังพันธมิตร” ในสภา ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการโหวตนายกรัฐมนตรีและร่างกฎหมายสำคัญ
ผลกระทบของการตระบัดสัตย์ทางการเมือง
-
ความเสื่อมศรัทธาของประชาชน : ประชาชนรู้สึกว่าคำพูดของนักการเมืองไม่มีคุณค่า และอาจไม่เข้าร่วมทางการเมืองในอนาคต
-
ความไม่มั่นคงทางการเมือง : การละเมิดข้อตกลงบ่อยครั้งทำให้การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้ง
-
การบั่นทอนพัฒนาการประชาธิปไตย : เมื่อคำมั่นสัญญาถูกละเมิดซ้ำ การเมืองจะกลายเป็นพื้นที่แห่งความไม่ไว้วางใจ ขัดขวางการสร้างสัญญาประชาคมทางการเมือง
แนวทางแก้ไข
-
สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ : ให้ความสำคัญกับ “สัจจะทางการเมือง” ผ่านการศึกษาและการปลูกฝังจริยธรรมแก่ผู้นำและนักการเมืองรุ่นใหม่
-
กลไกตรวจสอบและรับผิดชอบ : ควรมีมาตรการลงโทษทางการเมืองและสังคม เช่น การประณามสาธารณะ การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการหาเสียงเท็จ
-
เสริมบทบาทประชาชน : ประชาชนต้องแสดงพลังตรวจสอบ และลงโทษนักการเมืองที่ตระบัดสัตย์ผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไป
บทสรุป
การตระบัดสัตย์เป็นรากเหง้าของวิกฤติความเชื่อมั่นทางการเมืองไทย การเมืองที่ปราศจากสัจจะย่อมไม่อาจสร้างสัญญาประชาคมที่มั่นคงได้ หากนักการเมืองยังคงใช้การตระบัดสัตย์เป็น “เครื่องมือเอาตัวรอด” ประเทศไทยจะไม่สามารถก้าวสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ ดังนั้น การสร้างระบบการเมืองที่เคารพในสัจจะ ความรับผิดชอบ และผลประโยชน์สาธารณะ จึงเป็นภารกิจสำคัญของการปฏิรูปการเมืองไทยในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น