วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

มองอินเดียเห็นพระพุทธศาสนาในเมืองไทย จะเป็นพราหมณ์ในร่างพุทธ พุทธในร่างพราหมณ์ หรือพุทธในร่างพุทธ มนุษย์มีสิทธิ์เลือก!!!


 

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567    พระเมธีวัชรบัณฑิต,ศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตรนานาชาติ (IBSC MCU) และผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)   ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว  Hansa Dhammahaso ว่า มองอินเดียเห็นพระพุทธศาสนาในเมืองไทย จะเป็นพราหมณ์ในร่างพุทธ พุทธในร่างพราหมณ์ หรือพุทธในร่างพุทธ มนุษย์มีสิทธิ์เลือก!!!

2600 ปีที่แล้ว ได้มีมนุษย์ฉุดกระชากความเป็นมนุษย์จากออ้อมกอดของพระเจ้าคืนกลับมาสู่น้ำมือของมนุษย์ได้แล้ว จนให้ความมั่นใจกับมนุษย์ว่า "ในหมู่มนุษบ์ทั้งหลาย ผู้ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐที่สุด (ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ) ประเสริฐจนสามารถเป็นครูของเทวดาก็ได้ 

มนุษย์ที่ค้นพบความจริงสูงสุด เป็นเหตุให้ชักพาพระพรหมในฐานะเป็นผู้สร้างโลก ต้องตัดสินใจมาปรากฏกายอาราธนามนุษย์ที่พัฒนาคุณค่าภายในจนกลายเป็นพระพุทธเจ้าให้ไปแสดงธรรมโปรดแก่ชาวโลกทั้งหลาย  เพื่อส่งมอบความร่มเย็นเป็นสันติสุข

พระพุทธเจ้ามิได้ตำหนิการมีอยู่ของพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหลาย แต่ต้องการจะบอกท่านเหล่านั้นด้วยความจริงใจและให้เกียรติว่า มาบัดนี้ ถึงเวลาที่มนุษย์มีพลังแข็งแรงเพียงพอแล้วที่จะพึ่งพาศักยภาพของตนเอง โดยการหันหน้าเข้าไปพึ่งธรรม ด้วยการย้ำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ ผู้ฝึกตนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งได้มายาก ฉะนั้น การพึ่งตนคือการพึ่งธรรมที่มีอยู่และเป็นอยู่ในกายและใจของมนุษย์

45 พรรษาแห่งการดำรง จึงเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ทุกหมู่เหล่าพากันคึกคักเพราะมีพระพุทธเจ้าในฐานะผู้แทนของมนุษย์เดินถือธงนำหน้าให้ชักนำชักพาให้มนุษย์หาญกล้าที่จะใช้ชีวิตด้วยหนึ่งสมองสองมือของตนเอง และเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนชาวชมพูทวีบเริ่มกำหนดชะตากรรมตัวเองได้ แต่ก็ยังเคารพ ให้เกียรติพรหมและเทพเจ้าทั้งหลายในฐานะผู้ร่วมเดินทางผ่านกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และมุ่งสู่โลกุตรภูมิด้วยกัน

อย่างไรก็ดี ผ่านไปราว 1,000 ปี เมื่อหามนุษย์ที่ต้นแบบที่ยิ่งมาถือธงนำมิได้ มนุษย์จึงเริ่มอ่อนแออีกครั้ง หันกลับกลับไปพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหลายอีกครั้ง และคราวนี้ พระพรหมมิได้มาท่านเดียว แต่เป็นพระเจ้า (GOD) ที่มากันทีม มาทั้งแพ็จเกจที่เรียกว่า ตรีมูรติ ประกอบด้วยพระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ 

GOG ทั้งสามองค์นั้น พระพรหมทำหน้าที่เป็นผู้ สร้าง หรือ Generator  พระนารายณ์ เป็นผู้นักปฏิบัติการบริหารจัดการความเป็นไป หรือ Operator และพระศิวะ ทำหน้าที่เป็นผู้ทำลายเพื่อจะได้นำไปให้พระพรหมเสริมสร้างสิ่งใหม่ หรือ Destroyer

ในที่สุด มนุษย์ที่มีความอ่อนแอในใจ จนเริ่มขาดพลังงานในใจจึงได้ลงมือลดทอนมนุษย์คุณค่าของมนุษย์ด้วยกันเอง ด้วยเหตุที่เริ่มไม่เชื่อมั่นในพลังของกันและกัน จึงได้ฉุดลากเอาผู้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ไปผุดขึ้นเป็นอวตารองค์ที่ 9 ของพระนาราย์ หรือพระวิษณุ โดยอุปโลกไว้ในคัมภีร์ปุราณะว่าพระเจ้าได้อวตารร่างมาเกิดเป็นมนุษย์นามพระพุทธเจ้าแล้วให้สอนธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายให้ทำหน้าที่ช่วยพระนารายณ์ Operate หรือดูแลใส่ใจโลกใบนี้

ความย้อนแย้งจึงบังเกิดทันที ด้วยเหตุที่มนุษย์ที่ถูกมองว่าเป็นองค์อวตารกลับสอนเรื่องอนัตตา ความไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตนให้ยึดมั่น ไม่มีแก่นและแกนให้ไขว่คว้า สอนให้พึ่งพาศักยภาพ พึ่งน้ำมือ และกำหนดชะตากรรมความสุขทุกข์ของตน   แต่พระนารายณ์และทีมสอนเรื่องอัตตา หรืออาตมันและปรมาตมัน มนุษย์มีพระเจ้าคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือ และกำหนดความเป็นไปของพระเจ้า เกิดมาจากพระเจ้า เข้าถึงความจริงสูงสุดคือโมกษะก็ไปอยู่กับพระเจ้า

จนในที่สุด ศาสนาที่มนุษย์สร้างและออกแบบไว้ ได้สูญสลายหายไปจากประเทศอินเดียร่วม 1,000 ปี ตามกฏไตรลักษณ์ แต่คำว่า "ศาสนาหรือหลักธรรมที่ถูกทำคลอดออกมาจากกฏธรรมชาติก็ยังคงมีและปรากฏอยู่ ตามนัยที่ว่า ไม่ว่าตถาคตจะเกิดหรือไม่ก็ตาม ธรรมก็มีของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว

ในปี พ.ศ.300 อาศัยพระมหากษัตริย์ที่มีวิสัยธรรม พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นนักจัดการความเสี่ยงมืออาชีพ ได้ทำหน้าที่ส่งออก 2 อย่าง 1: ต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปเก็บรักษาไว้ที่เกาะลังกา เมืองอนุราธปุระ และ 2: ส่งออกพระธรรมทูต 9 สาย ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วทวีปเอเซีย จึงทำให้พระพุทธศาสนาอยู่ปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง

เมล็ดพันธ์แห่งพุทธธรรมในอินเดียก็มิได้สูญหายไปไหน หากแต่เฝ้ารอการรอน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ในที่สุด พระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาของมนุษย์เริ่มผุด และค่อยๆ เติบโตแตกหน่อใบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ถึงกระนั้น สถานการณ์ความเชื่อของในบางประเทศกลับเริ่มละม้ายคล้ายคลึงกับประเทศอินเดีย ยิ่งประเทศเจริญด้วยวัตถุ  จิตมนุษย์กลับขาดความมั่นใจ ว้าเหว่หวาดกลัว ตกใจ ทุกข์ทรมานแล้วควานหาอะไรสักอย่างมาเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้ง

แทนที่จะพากันพึ่งธรรมที่มนุษย์ค้นพบ แต่กลับหันหน้าไปพึ่งพระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะ และเทพเจ้าที่เป็นบริวารของท่านอย่างอึกทึกคึกโครม ไม่เว้นแม้กระทั่งสาวกของพระพุทธเจ้าที่เปิดทางให้มนุษย์หลุดออกมาจากเทพเจ้ามาสร้างร่มเงาให้ตัวเอง 

อาศรมหลายแห่ง วัดหลายอาราม อาจารย์ทั้งนักบวช และคฤหัสถ์ รวมถึงฤาษี เริ่มปรับตนนำวิถีพระเจ้า และเทพเจ้ามาประยุกต์ใช้งานเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เฉกเช่นที่เคยเกิดในอินเดียจนคนทั่วไปแยกไม่ออกว่าอะไรพุทธ อะไรพราหมณ์ และอะไรผี และทำให้พระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนามนุษย์ถูกพระพรหม พระนารายณ์กลืนกินจนไม่เหลือซาก

ย้ำอีกครั้งว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยขัดแย้งกับพระพรหม หากแต่ทรงอยู่ร่วมกับพระพรหมได้อย่างสันติสุข เพียงแต่ทรงต้องการชี้ว่า มนุษย์ในยุคของพระองค์มีความเข้มแข็งเพียงพอ จึงต้องดึงศักยภาพของตัวเองออกมากำหนดชะกรรมของตนเองได้

คำถามก็คือ ในขณะที่อินเดียส่วนให้ราว 80% เป็นพราหมณ์ในร่างพุทธ เพราะนำพระพุทธเจ้ามาเป็นองค์อวตารที่ 9 ของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ หรือประเทศไทยเรา จะเป็นพุทธในร่างพราหมณ์ หรือฮินดูใช่หรือไม่ หรือเราจะยืนหยัดเป็นพุทธในร่างพุทธ 

การเลือกที่จะกำหนดชะตากรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้เลือกให้แก่ตนเอง 2,600 กว่าปีมาแล้ว ส่วนมนุษย์จะไม่พึ่งใจ แล้วพอใจจะย้อนกลับไปเป็นเช่นก่อนสมัยพุทธกาลที่นับถือเทพเจ้า หรือคุกเข่าไหว้ผีต่อไป ก็ขึ้นกับตัวมนุษย์เองเถิด

ธรรมหรรษา

เดลี อินเดีย 

25 กุมภาพันธ์ 2567

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์พุทธศาสนสุภาษิต: "สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ"

วิเคราะห์พุทธศาสนสุภาษิต: "สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ" บทนำ พุทธศาสนสุภาษิตเป็นแหล่งปัญญาที่แสดง...