วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท, ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ขณะอยู่ที่ ดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ถอดบทเรียนเมือง Detroi : ดีทรอยต์ในสองมุมมอง โดยส่วนมากเวลาเดินทางมาประเทศสหรัฐอเมริกา จะมุ่งไปสัมผัสถึงความเจริญรุ่งเรืองความสวยงาม รวมถึงนวัตกรรมต่างๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งลองมาสัมผัสเมืองที่มีความเครียดที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยการสำรวจได้วัดจากสถิติของปัจจัยหลาย ๆ อย่างจาก ๕๐ เมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เช่น สถิติการว่างงาน การเติบโตของรายได้ ค่าครองชีพ สถิติการเสียชีวิตจากโรค สถิติการก่ออาชญากรรม สิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งการสำรวจพบว่า เมืองดีทรอยต์ มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดคือ ร้อยละ ๑๔.๓ ของประชากรวัยทำงาน และยังเป็นเมืองที่ติดอันดับ ๑ ใน ๑๐ ของเมืองที่มีอาชญากรรมมากที่สุด ประชากรป่วยเป็นโรคหัวใจมากที่สุด และมีภาวะความยากจนมากที่สุด นอกจากนี้ นครชิคาโก เบอร์มิงแฮม นิวออร์ลีนส์ และนิวยอร์คซิตี้ ยังถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่เครียดที่สุดด้วย
ส่วนเมืองที่มีภาวะความเครียดและกดดันน้อยที่สุดในสหรัฐฯ ได้แก่ เมืองซอลท์เลกซิตี้ เพราะมีสถิติการก่ออาชญากรรมน้อยที่สุด มีอัตราการว่างานน้อย และประชาชนป่วยเป็นโรคน้อยอีกด้วย ขณะที่เมืองที่เครียดน้อยที่สุดเป็นอันดับ ๒ ได้แก่ เวอร์จิเนีย บีช นอร์โฟล์ค ซึ่งมีการเจริญเติบโตของรายได้อยู่ในเกณฑ์ดีมาก และยังมีสถิติการโจรกรรมในเมืองน้อยที่สุด นอกจากนี้เมืองเดนเวอร์ ซานแอนโตนิโอ และโฟนิกซ์ ก็ยังเป็นเมืองที่ติดอันดับเมืองที่เครียดน้อยที่สุดอีกด้วย
โดยเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน รอยเตอร์ - นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) จัดอันดับดีทรอยต์เป็น “เมืองยอดแย่” ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากปัญหาสังคมต่างๆ ที่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งนี้กำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นสถิติอาชญากรรมที่พุ่งสูง, ปัญหาการว่างงาน, การลดลงของประชากร และวิกฤตการเงิน ซึ่งดีทรอยต์ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐมิชิแกนในสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดีทรอยต์ มีจำนวนประชากรของดีทรอยต์กำลังประสบปัญหาจำนวนประชากรลดลงอย่างมาก ซึ่งในอดีตช่วงปี ๑๙๕๐ เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้อยู่อาศัยมากกว่า ๑.๘ ล้านคน แต่ในปี ๒๐๒๒ ประชากรคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ ๖๗๐,๐๐๐ คน เท่านั้น ในอดีตเศรษฐกิจของดีทรอยต์เจริญเติมโตจากอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยการเสื่อมถอยของดีทรอยต์มี ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เมืองดีทรอยต์เสื่อมลง ประกอบด้วย
๑)การลดระดับอุตสาหกรรม ดีทรอยต์เคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา โดยมีบริษัทต่างๆ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นั่น เช่น General Motors, Ford และ Chrysler ซึ่งการลดลงของภาคการผลิตของสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้มีการสูญเสียงานด้านการผลิตจำนวนมากในเมือง ทำให้ฐานภาษีในการจ่ายให้แก่เมืองและรัฐเพื่อพัฒนาเมืองลดลงเป็นผลมาจากจำนวนประชากรลดลง
๒)การสูญเสียจำนวนประชากร เมื่อโอกาสในการทำงานลดน้อยลงจากภาคอุตสาหกรรมที่ลดขนาดตัวเองลงทำให้คนตกงานมากขึ้น จึงเกิดปัญหาทางสังคมตามมา อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากจึงเริ่มออกจากเมืองเพื่อค้นหาโอกาสที่ดีกว่าในที่อื่น จึงเห็นว่าประชากรของดีทรอยต์ลดลงอย่างมาก
๓)ปัญหาทางเศรษฐกิจไม่คล่องตัว เมืองนี้เผชิญกับปัญหาทางการเงิน รวมถึงการขาดดุลงบประมาณ ต้นทุนสารธารณะที่สูง (เช่น การจ่ายบำนาญ) และมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลของเมืองให้บริการที่จำเป็นและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้ยาก เพื่อขาดสภาพคล่องทางการเงิน
๔)อาชญากรรมสูงขึ้น ดีทรอยต์ต้องต่อสู้กับอัตราการเกิดอาชญากรรมที่สูงจากการหาคนไม่มีงานทำและทรัพย์สินที่ถูกทิ้งร้าง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในเมืองไม่ปลอดภัยและเสื่อมโทรมลง
รัฐบาลเมืองดีทรอยต์ได้พยายามฟื้นฟูตัวเองอยู่เป็นระยะ มีการลงทุนในพื้นที่ใจกลางเมืองพยายามให้กลับมาคึกคัก การปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะ และจัดการกับภัยพิบัติ แต่ยังไม่สามารถจัดฟื้นฟูเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน
ทำให้เห็นว่า ๑๐ อันดับเมืองที่มีความอันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา อัตราก่ออาชญากรรมสูงที่สุดอันดับหนึ่ง คือ "ดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน Detroit, Michigan" โดยมีอัตราการก่ออาชญากรรม : ๒,๐๐๗ ต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ ปัจจุบันยังมีจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี จากเมื่อก่อนช่วงปี ๑๙๕๐ ที่มีประชากรถึง ๑.๘ ล้านคน เหลือเพียง ๗๐๐,๐๐๐ คนในปัจจุบัน มีจำนวนผู้ว่างงาน ๙ % และคนยากจนถึง ๓๗.๙% ตึกบ้านช่อง และโรงงานในเมืองต่างถูกทิ้งร้าง ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองที่อันตรายที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยเหตุนี้ทำให้ Buddhist Meditation Center ของ Wat Paknam Michigan รัฐมิชิแกน ยกระดับการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสติพัฒนาจิตใจของผู้คนในสังคมทั้งคนไทยและคนอเมริกัน ทำให้มีศูนย์พัฒนาสติสมาธิของผู้คนในยามที่อยู่ในยุคที่มีความเปราะบาง วิตกกังวล สติสมาธิจะช่วยป้องกันภัยทั้งปวงได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าเมือง Detroit ที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญมั่งคั่งตกต่ำลง เมืองอาชญากรรมที่เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นที่แห่งศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะเสียงเพลง ถนน ๘ Mile ซึ่งแบ่งเขตระหว่างพื้นที่ของคนดำและคนขาวกลายเป็นถนนที่กั้นขวางผู้คนจนนำไปสู่การสร้างหนัง ๘ Mile สามารถหาดูได้
จึงสะท้อนว่า เมืองดีทรอยต์ เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาในยุคเศรษฐกิจตกต่ำเป็นฉากหลัง มีการรวมตัวเป็นแก๊งสเตอร์ก่ออาชญากรรมกวนเมืองจนเป็นเรื่องปกติ เมืองถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ ฝั่งชัดเจนระหว่างคนขาวและคนผิวสีด้วยถนน ๘ Mile ที่รอบล้อมอยู่ "มีเพียงพื้นที่เดียวเท่านั้นที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นและสีผิว" (ยกเว้นการแรปแบทเทิลที่มีการใช้เรื่องพวกนี้มาดิสกันในการแข่งขัน) คือพื้นที่บนโลกดนตรีฮิปฮอป ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณจับไมค์ยืนอยู่บนเวที ทุกคนคือ ‘แรปเปอร์’ ที่เท่าเทียมกัน
จึงถอดบทเรียนเรียนรู้วัฒนธรรมฮิปฮอปผ่านหนังแปด Mile เมื่อแรปคือเครื่องมือเอาชนะความกลัว ทำให้ แปด Mile คือหนังเปลือยวัฒนธรรมฮิปฮอปช่วงกลางยุค ๙๐ s โดยใช้เมืองดีทรอยต์ ซึ่งเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาในยุคเศรษฐกิจตกต่ำเป็นฉากหลัง ผลงานกำกับโดยเคอร์ติส แฮนสัน และเป็นผลงานการแสดงครั้งแรกของ Eminem แรปเปอร์ชื่อดังแห่งอเมริกา โดยหนังเล่าเรื่องผ่าน จิมมี สมิธ จูเนียร์ a.k.a B Rabbit แรปเปอร์หนุ่มเปี่ยมพรสวรรค์ที่เติบโตมาในครอบครัวยากจน เขาอยู่กับน้องสาว แม่ติดเหล้า และติดการพนันบิงโก ที่หอบสามี (คนล่าสุด อายุคราวลูกมาอยู่ในบ้าน) ชีวิตของเขากำลังย่ำแย่และโดนดูถูกเหยียดหยามอย่างหนัก
มีเพียงการ ‘แรป’ เท่านั้นที่จะพาเขาและครอบครัวออกไปจากจุดที่ตกต่ำสุดนี้ได้ เพียงแต่เขาต้องเริ่มต้นก้าวแรกด้วยการเอาชนะ ‘ความกลัว’ ในใจตัวเองให้ได้ก่อนเท่านั้น นิยามคำว่า ‘แรป’ ของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป บ้างก็ใช้เพื่อตัวเอง บ้างก็ใช้เพื่อคนอื่นและสังคม และสุดท้ายจุดร่วมที่แรปเปอร์ทุกคนรู้สึกร่วมกันคือ ‘แรป’ เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการนำเสนอ ‘ตัวตน’ เบื้องลึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา
จึงต้องยอมรับว่า นครดีทรอยต์ เมืองแห่งรถยนต์ เคยเจริญรุ่งเรื่องสูงสุดในช่วงยุค ๑๙๕๐ โดยมีประชากรถึง ๒ ล้านคน แต่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่ถึง ๙ แสนคน ในขณะที่เมืองที่เคยหนาแน่นเริ่มซบเซาและหลายพื้นที่ถูกถูกทิ่งร้าง ทั้งๆที่ในอดีตเคยถูกขนานนามว่า "The City of the American Dreams" และ "Paris of the Midwest"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น