เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 120 ปี ชาตกาล สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช,อดีตอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารและอดีตนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) พระมหาเถระผู้ใหญ่ที่ถูกการเมืองเล่นทั้งการเมืองที่เกิดขึ้นจากสถาบันสงฆ์และการเมืองจากนักการเมือง เนื่องจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ยุคนั้นถือว่าเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีหัวก้าวหน้ามากที่สุดในสถาบันสงฆ์จึงเป็นที่จับตาและเล่นงานจนต้องถูกจับติดคุกหลายปีตอนหลังยกฟ้องเป็นที่สุด กลับคืนสู่สมณเพศ โดยไม่ต้องบวชใหม่ เนื่องจากตอนติดคุกมิได้เปล่งวาจาสึกเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
พระเมธีวัชรบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณหรรษา” ผอ.วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (IBSC) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเพจส่วนตัวความว่า
120 ปี ชาตกาล เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์
ฝากพรรคเพื่อไทยแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 29
เปิดทางให้กำหนดสถานที่ควบคุมจนกว่าคดีถึงที่สุด
เห็นภาพข่าวนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เตือนว่าขออย่าแชร์ภาพพระ AI เที่ยวคาราโอเกะ https://thebuddh.com/?p=75168 ก็พลันอนุโมทนาสาธุ ที่ รมต.พรรคเพื่อไทย รวมถึงทีมงานที่ปรึกษาได้พากันเอาใจใส่และเป็นธุระในการทำหน้าที่ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากจะฝากท่านรัฐมนตรี และทีมงานของท่านที่สังกัดพรรคเพื่อไทย ในฐานะที่เป็นรัฐบาลก็คือ อยากให้หันมาสนใจทำงาน #ในเชิงโครงสร้าง อันจะเป็นการเข้ามาช่วยรักษาพระศาสนาในระยะยาวจะเป็นรักษาพระศาสนาที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
นโยบายแห่งรัฐของรัฐบาลๆด้กล่าวถึงกฏหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 67 โดยได้ย้ำเตือนว่ารัฐจะเข้าไปสร้างระบบและกลไกส่งเสริมคุณธรรม รวมถึงการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และการมีมาตรการและกลไกในการป้องกันด้วย
จากมาตรานี้ จึงเห็นสมควรให้มีแก้ไข พรบ. คณะสงฆ์ มาตรา 29 พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา ถ้าพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว และเจ้าอาวาสวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
มาตรานี้ ถูกตราขึ้นในยุคจอมพลสฤทธิ์ ธนรัชต์ ในปี 2505 ซึ่งเป็นปีที่หลวงพ่ออาจถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ และเป็นเหตุแห่งการจับกุม คุมขัง และเป็นเหตุแห่งการบังคับให้หลวงพ่อลาสิกขา และจำพรรษาอยู่ในสันติปาลาราม จนในที่สุด ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องในปี 2509 โดยในคำพิพากษาตอนท้าย ศาลยังได้ย้ำกับหลวงพ่อว่า ให้นับว่าเป็นกรรมของท่านเอง
กรรมที่หลวงพ่อได้รับในวันนั้น นับเป็นทั้งอดีตกรรม และปัจจุบันกรรมที่ท่านต้องกลายเป็นนักโทษคุมขังระหว่างปี 2505-2509 ยังไม่รวมถึงข้อหาอื่นตั้งแต่ปี 2503 จนกาลผ่านมา 120 ปีแห่งชาตกาลของหลวงพ่อ ประวัติศาสตร์ดังกล่าวก็ตามมาหลอกหลอนพระผู้ใหญ่หลายท่านดังที่เกิดขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
ประเด็นคือ พรรคเพื่อไทยในขณะที่เป็นฝ่ายค้านก็ออกมาอภิปรายประเด็นนี้อยู่หลายรอบ ถึงประเด็นความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับสิ่งที่พระผู้ใหญ่ต้องมาเผชิญกับชะตากรรมดังที่ปรากฏ แต่ถึงวันนี้ ยังไม่ได้ยินว่า พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ รมต. ที่กำกับ และทีมที่ปรึกษาจะมีแนวทางต่อประเด็นนี้อย่างไร
ในส่วนของหลักสูตรสันติศึกษา มจร ได้กระตุ้นให้นิสิตท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้อำนวยการในกระทรวงยุติธรรมที่มีฐานะเทียบเท่าอธิบดี ได้ศึกษาวิจัยในประเด็นนี้
คำตอบที่ได้คือ การจะแก้ประเด็นนี้ในระยะยาวได้ จะต้องแก้ไขมาตรา 29 ดังที่ได้กล่าวในข้างต้น เพื่อเปิดทางให้กระทรวงยุติธรรม อาจจะโดยกรมราชทัณฑ์ เสนอให้มีการออก กฏกระทรวงให้สามารถกำหนดสถานที่ควบคุมพระสงฆ์เพิ่มเติม ซึ่งมิใช่ทัณฑสถาน อันจะทำให้ท่านสามารถประกอบศาสนกิจได้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยไม่ต้องบังคับให้สละสมณเพศ หรือลาสิกขา ดังที่ปรากฏในมาตรา 29
ในโอกาส 120 ปี ชาตกาลของหลวงพ่ออาจ อาสภมหาเถระ จึงอยากจะฝากประเด็นนี้ ไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่กำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้หันมาพิจารณา และยกระดับสู่การแสวงหาแนวทางในการพูดคุย ปรึกษาหารือกระทรวงยุติธรรม มหาเถรสมาคม และภาคประชาสังคม รวมถึงคณะนิติศาสตร์ มจร เพื่อจะได้กำหนดแนวทางร่วมกัน เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์หวนกลับมาหลอกหลอนพระผู้ใหญ่ หรือพระสงฆ์ในสังคมไทย
ประวัติศาสตร์จักได้จารึกไว้ให้โลกได้จดจำว่ารัฐบาลเพือไทย รวมถึงนักการเมืองที่เป็นชาวพุทธได้ตระหนักรู้ในประเด็นนี้ จึงได้ช่วยกันคุ้มครอง และออกแบบกลไกที่เหมาะสมต่อการรักษาพระศาสนาให้รุ่งเรืองต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น