ปลัด มท. ประกาศจุดยืนการเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญในการเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบเดียวนี้ร่วมกับ UN Thailand พร้อมเน้นย้ำ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ เป็นผู้นำ Partnership ในพื้นที่เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชนคนไทย “โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพราะจุดแตกหักของการพัฒนาคือการทำให้ทุกหมู่บ้านเป็น “หมู่บ้านยั่งยืน”
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.45 น. ที่ ESCAP Hall ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย เป็นประธานร่วมงานหุ้นส่วนการพัฒนาระหว่างกระทรวงมหาดไทยและองค์การสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ดร.ออดรี – อานนท์ โรเชเลมันยา เลขานุการเอก หัวหน้าทีมฝ่ายความร่วมมือสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานหลัก UN 21 หน่วยงานในประเทศไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย และภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ร่วมการประชุมอย่างเนืองแน่น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ขอขอบคุณ UN Thailand ภายใต้การนำของคุณกีต้า ซับบระวาล และ 21 หน่วยงานภายใต้ UN Thailand ที่ได้ร่วมกับ มท. ขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การลงนามประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (Statement of Commitment to Sustainable Thailand) เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ซึ่งวันนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ชาวมหาดไทยผู้เป็นบุคคลที่มีความสำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดของพี่น้องประชาชนคนไทยและมวลมนุษยชาติ ในฐานะ “ผู้นำการบูรณาการร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย” ทั้งที่จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน โดยคำนึงถึงความยั่งยืนหรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมาย เป็นกรอบในการทำงานที่สำคัญ
“สังคมไทยเราเป็นสังคมที่มีเอกลักษณ์ที่ดีงามที่สังคมอื่นไม่มี คือ “เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ” และเป็นหลักชัยที่สำคัญยิ่งในการผลักดันให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งที่ดี (Change for Good) ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย เกิดผลประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนคนไทย โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และข้าราชการมหาดไทยทุกคนต่างมีความเชื่อมั่นว่า “เราเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่มีหน้าที่ต้องไปดูแลพี่น้องประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในรอบ 18 เดือนที่ผ่านมา เราได้บูรณาการแก้ปัญหาความเดือดร้อนทุกเรื่องให้กับพี่น้องประชาชน อาทิ เราสามารถทำให้คนที่ไม่มีบ้านอยู่ได้มีบ้านอยู่เกือบ 2 แสนครอบครัว เราสามารถทำให้คนที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่มีบ้านเลขที่ ได้มีบัตรประชาชน ได้มีเลขที่บ้านเป็นจำนวนหลายหมื่นคน รวมถึงปัญหาความเดือดร้อนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เราช่วยกันขับเคลื่อนด้วยความตระหนัก ด้วยใจรุกรบ ซึ่งในปี 67 นี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและท่านนายอำเภอ จะใช้เวลาช่วงเดือน พ.ย. 66 ถึง 15 ม.ค. 67 ทำการสำรวจ ตรวจสอบ ลงพื้นที่เดินไปเคาะประตูบ้านคนไทย 20 ล้านครัวเรือนใน 76 จังหวัด เพื่อสำรวจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขตเทศบาลนครและเขตเทศบาลเมืองอีก 6 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมจากการเมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้งทำการ Re X-ray 14 ล้านครัวเรือน ที่เคยเดือดร้อนและเราได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วไปควบคู่กัน เพื่อจะติดตามผลการช่วยเหลือว่ามีปัญหาความเดือดร้อนอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาหรือไม่ และที่เคยช่วยไปแล้วนั้นสำเร็จจริงหรือไม่ เพื่อที่ทีมมหาดไทยจะลงมือแก้ไขปัญหาเหล่านั้นร่วมกับภาคีเครือข่าย ทำให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวต่ออีกว่า เป็นระยะเวลากว่า 4 ปีที่กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับสมาคมแม่บ้านมหาดไทยขับเคลื่อนการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีแก่โลกใบเดียวนี้ ผ่านการขับเคลื่อน “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” ในทุกครัวเรือนทั่วประเทศกว่า 14 ล้านครัวเรือน ซึ่ง "ผลแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจนี้เอง” ปรากฏผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม “เป็นชาติแรกของโลก” ที่สามารถประกาศความสำเร็จการจัดการขยะอาหารจากครัวเรือนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบรรลุเป้าหมายประเทศไทยที่ยั่งยืน เพราะพวกเราทุกคนมี Passion โดยคำนึงถึงความสำคัญของ Partnership ที่อยู่ในพื้นที่ และช่วยกัน Action Now สนับสนุน ทุ่มเท พูดคุย สร้างความเข้าใจกับภาคีเครือข่ายที่สำคัญในพื้นที่ คือ ผู้บริหาร อปท. ผู้นำท้องที่ และพี่น้องประชาชน ทำให้ทุกวันนี้เป้าหมายในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ประมาณ 1.6 ล้านตันที่ทั่วโลกประกาศร่วมกันว่าจะสำเร็จในปี 2573 แต่กระทรวงมหาดไทยภายใต้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้ทำทะลุเป้าหมายแล้ว คือ ภายในปี 2569 เราจะลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศถึง 1.8 ล้านตันเศษ ซึ่งเป้าหมายในปีนี้ “จะมีการคัดแยกขยะไปสู่ถังขยะเปียกลดโลกร้อนครบถ้วนทุกครัวเรือน” และที่สำคัญที่สุดคาร์บอนเครดิตที่เราจะขายได้จากถังขยะเปียกลดโลกร้อน จะสร้างเงินรายได้กว่า 20,000 ล้านบาท กลับไปสู่ท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีความเดือดร้อน
“Butterfly effect เกิดขึ้นเสมอ เพราะในขณะที่เรานำขยะเปียกใส่ถังขยะเปียกลดโลกร้อน เราได้น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว โดยนำผลิตผลจากถังขยะเปียกลดโลกร้อนมาเป็นปุ๋ยอย่างดีที่เป็นมิตรกับสุขภาพพลานามัยของเรา และอีกประการที่สำคัญที่สุด นับเป็นความโชคดีของพี่น้องประชาชนคนไทยใต้ร่มพระบารมีของพระบรมราชจักรีวงศ์ที่พวกเรากระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำแนวพระดำริ Sustainable City สู่การขับเคลื่อน “หมู่บ้านยั่งยืน” (Sustainable Village)” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้พระราชทานพระดำรัสเน้นย้ำว่า “หน้าที่ของคนมหาดไทย คือ การทำให้เกิดหมู่บ้านยั่งยืน” เพราะ “คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน” และคนที่จะทำให้คำตอบนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและท่านนายอำเภอ ที่เรากำลังร่วมกันในการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ด้วยการทำให้ทุกหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านยั่งยืน เริ่มตั้งแต่ทำให้เกิด Partnership ขึ้นในหมู่บ้าน ผ่านระบบคณะกรรมการหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ ผ่านระบบคุ้ม (กลุ่มบ้าน) ที่มีหัวหน้าคุ้ม เป็นผู้นำ ร่วมกันระดมสรรพกำลังสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามในทุกเรื่องให้เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด แก้ไขปัญหาความยากจน แก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหาร น้ำ ปัจจัย 4 และเรากำลังจะก้าวไปสู่การเป็นประเทศผู้นำด้านแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยพระดำริ “Sustainable Fashion” ในเร็ววันนี้อีกด้วย ทั้งนี้ ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ต้องช่วยกัน Action Now แล้วเราจะมีความสุขกับการช่วยกัน Change for Good ให้เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย ในผืนโลกใบเดียวนี้ของเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
ด้าน ดร.วันดีฯ กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่งแล้ว ที่สมาคมฯ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาบทบาทสตรีผ่านการขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 ข้อ ของ UN เพื่อพัฒนาในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน โดยเรื่องที่ 1 คือ ความสำเร็จของการคัดแยกขยะครัวเรือน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อนโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่ได้รับการรับรอง Methodology พร้อมทั้งได้ขึ้นทะเบียนภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ถือว่าเป็นโครงการแรกของไทยที่เป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีขอบเขต และส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมกว่า 13 ล้านครัวเรือน ช่วยกันคัดแยกขยะอาหารจากครัวเรือน พร้อมกันนี้ธนาคารกสิกรไทยยังได้ให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยรับซื้อคาร์บอนเครดิตทั้งหมดในราคาตันละ 260 บาท เกิดเป็นเงินรายได้กลับไปสู่ อปท. เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป เรื่องที่ 2 เราประสบความสำเร็จในการร่วมกันส่งเสริมการปลูกผักสวนครัวในครัวเรือน ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้วกว่า 14 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 100% ตามจำนวนครัวเรือนเป้าหมาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 100 บาท/ครัวเรือน/วัน คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ต่อปี เป็นจำนวนเงินกว่า 500,000 ล้านบาท เกิดเป็นความเชื่อมโยงการพัฒนาในมิติต่าง ๆ ทั้งสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหาร การสร้างอาชีพให้แก่ชุมชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
“นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังได้น้อมนําแนวพระดําริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ด้วยพระองค์ทรงมีพระวินิจฉัยและทรงมุ่งมั่นในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ที่กําลังจะสูญหายให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง นํามาซึ่งการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างชีวิตที่ดีให้กับช่างทอผ้า และครอบครัว ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์ และพัฒนาผ้าทอประเภทต่าง ๆ ของไทยให้ผ้าทอของไทยกลับฟื้นคืนชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา โครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก โดย มท. และสมาคมแม่บ้าน มท. สามารถสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท/คน/เดือน ทั้งมีการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้วยการไม่ใช้สารเคมีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ด้วยการส่งเสริมให้คนในชุมชนพึ่งพาตนเองได้ด้วยการบูรณาการองค์ความรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ปลูกพืชให้สีเพื่อย้อมสีธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการดําเนินงานตามเป้าหมาย SDGs จนทำให้เราสามารถก้าวข้ามมหากาพย์แห่งความยากลำบาก “เป็นหนึ่งเดียวในอาเซียน” ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม และสมาคมแม่บ้าน มท. จะร่วมกันขับเคลื่อนด้วยพลังของสตรี ด้วยความมุ่งมั่น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ UN ประจำประเทศไทย และทุกภาคีเครือข่ายตลอดไป” ดร.วันดีฯ กล่าวเพิ่มเติม
คุณกีต้าฯ กล่าวชื่นชมว่า “การริเริ่มโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถช่วยเติมเต็มกระบวนการสร้างความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศ แก้ไขผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขยายผลสู่ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งตนได้มีโอกาสลงไปสังเกตการณ์พื้นที่ 5 จังหวัด (สกลนคร ปัตตานี พัทลุง เชียงราย และลพบุรี) พร้อมกับปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยการคัดแยกขยะของครัวเรือน 14 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ ทำให้การปล่อยคาร์บอนลดลงถึง 5.5 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี อปท. สามารถขายคาร์บอนเครดิตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีธนาคารรับซื้อและรายได้ก็นำกลับไปทำประโยชน์ในชุมชน ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ครัวเรือนรวบรวมและคัดแยกขยะต่อไป และอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ โครงการแฟชั่นที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion) ที่เป็นแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มุ่งส่งเสริมพัฒนากระบวนการผลิตผ้าและเครื่องแต่งกายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบผ้า พัฒนารูปแบบ ลวดลาย นำไปสู่การยกระดับผ้าไทยให้กลายเป็น Soft Power ซึ่งตนได้มีโอกาสสัมผัสถึงภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของผืนผ้าบาติก ที่ยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และประทับใจในการมีส่วนร่วมของชุมชนและเยาวชนคนรุ่นใหม่ และหวังว่านับต่อจากนี้กระทรวงมหาดไทยและ UN จะกระชับความร่วมมือและขับเคลื่อน SDGs ให้ประสบผลสำเร็จในระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น