อยู่ได้ 20 วันอาบุญจันทร์คนศรีสะเกษที่เคยอยู่วัดเทวราชกุญชรได้แนะนำให้ไปสมัครเป็นักข่าวที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ก็เคยคิดว่าจะไปสมัครเป็นคนพิสูจน์อักษรเหมือนกันจึงตัดสินใจไปสมัคร โดยอาบุญจันทร์แนะนำให้ไปหาพี่เงาะ(ทวีศักดิ์ ศรีปาน) หัวหน้าข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ก็ไปแบบงงงง ไม่มีพื้นฐานความรู้เลยว่าทำข่าวเขาทำกันอย่างไร แต่เป็นเพราะช่วงนั้นนักข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขขาด
เข้าทดลองงานที่กองบก.การเมืองหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้สองสามวัน พี่ "อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ" บรรณาธิการหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เรียกไปสัมภาษณ์ ก็ถามประวัติจบอะไรมา แล้วจะสู้เขาได้หรือ ก็ตอบไปว่า "สู้ครับ" ก็ทำหน้าที่เป็นนักข่าวตั้งแต่ปั 2536 ตั้งแต่นั้นมาโดยประจำที่กระทรวงศึกษาธิการยุคที่นายสัมพันธ์ ทองสมัคร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขสมัยนายบุญพันธ์ แขวัฒนะ เป็นรัฐมนตรีว่าการ และนายแพทย์มรกรต กรเกษม เป็นเลขาธิการ อย. ต่อมามีการปรับโครงสร้างภายในเครือเนชั่น ถูกย้ายไปสังกัดสำนักข่าวเนชั่น แต่ยังคงเป็นนักข่าวภาคสนามประจำกระทรวงอยู่ โดยเริ่มแรกที่กระทรวงศึกษาธิการนั้นก็ไปประจำที่ห้องนักข่าวแบบงงและไปนั่งที่โต๊ะด้านนอกและได้แนะนำและได้รับคะแนนนำจากคุณตี่(กมลทิพย์ ใบเงิน) ที่สังกัดหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ก็นั่งอยู่แบบนั้นหลายวัน และได้สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนนักข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการ โดยไม่รู้ว่าแต่ละวันนั้นเขาไปทำข่าวกันที่ไหนอย่างไรเมื่อใด นักข่าวที่สนิทคนแรกคือประเสริฐแนวหน้า ตามด้วยต่อศักดิ์มติชน พอเขาไปทำข่าวเสร็จแล้วก็มาพิมพ์ข่าว เมื่อเขาส่งข่าวเข้าออฟฟิศเสร็จแล้วก็ยื่นมาให้เราส่งบ้าง "อ้าวพี่มหาส่งข่าวเข้าออฟฟิศ" โดยเขาเรียกชื่อเล่นเราว่า "มหา" และเป็นชื่อเล่นนั้นวงการนักข่าวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทำงานเป็นนักข่าวมานานเป็นปีก็พยายามเรียนรู้ว่าเขาทำงานข่าวกันอย่างไรแบบงงงงถึงสามารถพอที่จะทำข่าวเขียนข่าวเองได้ ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้ประเด็นข่าวหรือยังก็ตอบว่ายัง
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สามารถอยู่บนถนนของการเป็นนักข่าวได้ก็คือข่าว "ยันตระ" ที่สามารถทำข่าวได้ รายงานวิทยุได้ ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้ประเด็นข่าวหรือยังก็ตอบว่ายังเช่นกัน
เพราะความเป็นนักข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการใกล้กับทำเนียบรัฐบาล จึงทำให้วันอังคารกองบก.ให้ไปช่วยงาน จึงทำให้รู้จักกับนักข่าวทำเนียบรัฐบาล และช่วงปี 2540 ก็ถูกย้ายไปประจำที่รัฐสภาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสวนสัตว์ดุสิต และเป็นนักข่าวประจำพรรคการเมืองเริ่มจากพรรคความหวังใหม่ ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้ประเด็นข่าวหรือยังก็ตอบว่ายัง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักข่าวแกะเทปเสียมากกว่า และก็เรียนรู้อยู่เสมอจึงทำให้สามารถผ่านมาได้ และผ่านวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
หลังจากนั้นได้ถูกดึงเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศสำนักข่าวเนชั่นปี 9 -11 ทำหน้าที่รีไรท์ข่าวนอกจากข่าวการเมืองแล้วยังได้เรียนรู้ข่าวอื่นๆ มากขึ้น ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้ประเด็นข่าวหรือยัง ก็ตอบว่ารู้แล้ว และในช่วงนี้เองได้ย้ายจากสายการเมืองไปรับผิดชอบข่าวท้องถิ่นด้วยและปิดหน้าข่าวท้องถิ่นเกี่ยวกับการเมืองหนังสือพิมพ์คมชัดลึก จึงทำให้รู้ความเครือข่ายโยงใยของนักการเมืองระดับท้องถิ่นกับระดับชาติ สามารถพอวิเคราะห์การเมืองออกว่าเป็นอย่างไร
ต่อมาในปี 2546 เนชั่นเปิดเว็บไซต์ในเครือ จึงได้ตัดสินใจย้ายไปสังกัดเว็บไซต์คมชัดลึกเพราะต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และในช่วงปี 2556 ได้ตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาโท หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วยหลักคิดก็คือหากเรียกเอกปรัชญาเช่นเดิมคงไม่ไหว แต่เมื่อเรียนแล้วมีความสนุกที่ได้เรียนรู้แนวคิดทฤษฎีการสื่อสาร ที่เรียนปรัชญามาก็มีประโยชน์ช่วงนี้ จนถึงปี 2559 จึงตัดสินใจเออร์ลี่รีไทร์
ต่อมาอ๋อยบ้านเมืองที่เคยเป็นนักข่าวรัฐสภาด้วยกัน ดึงมาทำงานข่าวเว็บไซต์หนังสือพิมพ์บ้านเมืองออนไลน์ด้วย และช่วงนี้ก็ได้เรียนต่อในระดับปริญญาเอก หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และจบในปี 2563 ถือได้ว่าเป็นดอกเตอร์นักข่าวคนหนึ่ง จนถึงปัจจบันวันที่ 5 มีนาคม 2567 วันนักข่าว ดังนี้แล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น