เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 หลังจากศาลตัดสินจำคุกนายชาญณรงค์ เพียรดี อดีตไวยาวัจกรวัดสุทธิวราราม กรุงเทพมหานคร ในข้อหาหมิ่นประมาก พระสุธีรัตนบัณฑิต (สุทิตย์ อาภากโร) เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ต่อมาพระสุธีรัตนบัณฑิต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Suthito Aphakaro" ความว่า มารไม่มี บารมีไม่เกิด วันที่พ้นมลทินหลังจากถูกใส่ร้ายนาน 5 ปี โลภ โกรธ หลง หนทางแห่งวิบากรรม ที่ยังคงอธิบายจิตมนุษย์ได้. ขันติ สติ ความรัก ความเมตตาและการให้อภัยจึงสำคัญ (ศาลท่านก็เชื่อมั่นในความถูกต้อง)
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2562-2567 ผม/อาตมาถูกใส่ร้ายจากมนุษย์ที่ยังคงมีความโลภ ความโกรธ และความหลงเป็นที่ตั้ง (ทั้งที่เป็นพระและฆราวาสหรือคนใกล้ตัว) ทั้งปล่อยข่าว แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและโลกออนไลน์ เช่นว่า “โกง 95 ล้าน” “ปล่อยเผาศพไม่หมด” “บริหารไม่โปร่งใส” และอีกหลายข้อหาโดยหวังผลเพื่อ “ผลประโยชน์” และ “การล้มเจ้าอาวาส” (เผื่อจะได้เป็นเอง) เรื่องราวจึงถูกร้องเรียนไปยังคณะสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ปปป. เป็นต้น ทางคณะสงฆ์ได้มีการตั้งคณะกรรมสอบสวนให้ความเป็นธรรม
แต่เมื่ออำนาจกิเลสของมนุษย์ไม่หมด จึงจำเป็นต้องพึ่งศาลยุติธรรมตามกฎหมายบ้านเมือง และผลแห่งคำพิพากษา ศาลระบุว่า “จำเลยผิดจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด จำคุกกระทงละ 2 เดือน ปรับ 3,000 บาท รวม 37 กระทง เป็นจำคุก 74 เดือน ปรับ 111,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน ปรับ 1,500 บาท เป็นจำคุก 37 เดือน ปรับ 55,000 บาท”
ส่วนตัวผม/อาตมาได้ไปให้ศาลท่านไต่สวน และก็ขอร้องความเมตตาจากศาลให้ท่านอนุเคราะห์ตามสมควร เพราะว่า โลกธรรม สุข ทุกข์ นินทา สรรเสริญ เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ซึ่งสอดคล้องกับข้อวินิจฉัยของคณะสงฆ์ตั้งแต่แรกว่า ไม่มีมูลตามข้อร้องเรียน จึงเป็นความยุติธรรมที่ได้รับทั้งจากทางโลกและทางธรรม คงเหลือกรรมที่ตามไปอีกด้วยวิบากกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา
กรณีนี้ เป็นอุทาหรณ์ว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง” และบทกวีของสุนทรภู่ตอนหนึ่งว่า
"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้ใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"
และก็นึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตลอดระยะเวลาที่เรื่องเกิดขึ้น “ขันติ” “สติ” ยังใช้ได้เสมอ “ความรัก ความเมตตา” “พรหมวิหารธรรม” และ “การให้อภัย” ก็เป็นเรื่องสำคัญ
หัวข้อข่าวตามนี้ ครับ สมภารวัดสุทธิฯ พ้นมลทิน หลังถูกอดีตไวยาวัจกรใส่ร้าย
จากกรณีที่ทนายกองทัพธรรม ยื่นฟ้องอดีตไวยาวัจกร วัดสุทธิวราราม หมิ่นประมาทเจ้าอาวาสวัดสุทธิฯ ถึง 37 ครั้ง เจ้าตัวสำนึกผิด รับสารภาพก่อนที่ศาลจะตัดสิน พร้อมทั้งนำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาเจ้าอาวาสวัดสุทธิฯ นายชาญณรงค์ เพียรดี อดีตไวยาวัจกรวัดสุทธิวราราม ได้นำพานดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมา พระสุธีรัตนบัณฑิต (สุทิตย์ อาภากโร) เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ท่ามกลางทีมทนายกองทัพธรรม นำทีมโดยทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ,ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิฯ ,ดร.ประกาย ณ สงขลา เลขาธิการมูลนิธิฯ ,นายเมธัส ผลประเสริฐ ทนายมูลนิธิทนายกองทัพธรรม และสื่อมวลชนที่มาเป็นสักขีพยานในวันนี้ (22 มี.ค.67)
หลังจากที่นายชาญณรงค์ ซึ่งเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก "ร่วมกันปกป้องเงินวัดอย่าให้พวกกาฝากในผ้าเหลืองมาผาน" โดยมีรูปหน้าเพจว่า "สุมหัวโกงวัด" รวมทั้งได้ให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนต่าง ๆ ได้ถูกทนายกองทัพธรรม นำทีมโดยทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ซึ่งได้มอบอำนาจจากพระสุธีรัตนบัณฑิต ให้ยื่นฟ้องในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 สืบเนื่องจากอดีตไวยาวัจกรรายนี้ ได้สร้างเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวขึ้นมา และเขียนบทความต่างๆ อีกทั้งใช้ภาพประกอบกล่าวหาใส่ร้ายพระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 จนถึงปี 2565 กว่า 37 ครั้ง ทำให้พระสุธีรัตนบัณฑิต และคณะสงฆ์ได้รับความเสียหาย
ต่อมาศาลได้นัดสืบพยานหลักฐาน โดยอดีตไวยาวัจกรคนนี้ ได้เบิกความยอมรับสารภาพว่า กระทำความผิดตามที่ฟ้องจริง ศาลจึงได้นัดฟังคำพิพากษาในเวลา 09.00 น. วันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด จำคุกกระทงละ 2 เดือน ปรับ 3,000 บาท รวม 37 กระทง เป็นจำคุก 74 เดือน ปรับ 111,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน ปรับ 1,500 บาท เป็นจำคุก 37 เดือน ปรับ 55,000 บาท
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ภายหลังจากเกิดเหตุจำเลยสำนึกในการกระทำของตนเอง โดยให้การรับสารภาพ และลบบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยที่กล่าวถึงโจทก์ และวัดสุทธิวราราม โดยจำเลยตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง โดยกล่าวขอโทษโจทก์ผ่านสื่อมวลชน อันเป็นการพยายามบรรเทาผลอันเกิดจากการกระทำในคดีนี้ การลงโทษจำคุกระยะสั้นไม่ก่อผลดีต่อจำเลย และสังคม โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนค่าปรับ จำเลยไม่สามารถชำระได้ จึงให้บำเพ็ญประโยชน์แทนค่าปรับ และให้ขอขมาโจทก์ตามที่ตกลงกันไว้
ในเมื่อนายชาญณรงค์ ได้รับสารภาพว่า เรื่องที่กล่าวหาทั้งหมดไม่มีมูลความจริง เป็นการให้ร้าย หรือร้องเรียนอันเป็นเท็จ ได้สำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองได้กระทำไป และได้ไปยื่นถอนเรื่องร้องเรียนยังหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ไปยื่นร้องเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว และกล่าวขอขมาลาโทษต่อพระสุธีรัตนบัณฑิต ซึ่งท่านก็ให้อภัยเป็นธรรมทาน คือ การสละอารมณ์โกรธเป็นทาน ให้อภัย ไม่จองเวร สละอารมณ์โกรธพยาบาทให้ขาดออกจากใจ เป็นการเจริญเมตตาพรหมวิหาร ซึ่งถือเป็นทานสูงสุด ตามพุทธพจน์ที่ว่า เวรของผู้ไม่จองเวร ย่อมระงับได้ และเวรย่อมระงับด้วยไม่มีเวรต่อกันและกัน จึงขออนุโมทนาบุญ กับพระสุธีรัตนบัณฑิต มา ณ โอกาสนี้
ขอขอบคุณความดีงามทั้งหลาย การชนะใจตนเอง และการใช้หลักพุทธธรรมต่อสู้กับมารภายในและภายนอก กราบขอบพระคุณคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร ที่มีเมตตาธรรมอย่างสูงในการให้คำแนะนำ และให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ เกล้าฯ และหรืออาตมา จะใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง สำรวมจิตใจ เพิ่มพลังปัญญาต่อไป และหวังเช่นกัน “คนที่อยู่ต่อหน้าและเบื้องหลัง” จะได้รับแสงแห่งพุทธธรรม” ด้วยเช่นกัน
อโหสิ อโหสิ อโหสิ
ส่วนภาพข่าวตามนี้
https://siamrath.co.th/n/523537
https://www.banmuang.co.th/mobile/news/politic/374231
https://thebuddh.com/?p=78492
https://www.komchadluek.net/news/crime/571397
https://mgronline.com/politics/detail/9670000025629
https://youtu.be/ebtaLdUJaCI?si=Zgp7SdCrxr7wqWVW
https://www.youtube.com/watch?v=eZc6Xw0cFlQ&t=47s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น