บทความวิชาการ
วิเคราะห์ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา: มุมมองเชิงสังคมและนโยบายสาธารณะ
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ผ่านกรณีศึกษาการร้องเรียนขององค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 โดยมีเนื้อหาครอบคลุมมิติด้านสังคม การสื่อสาร และนโยบายสาธารณะ ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของศาสนจักรในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน รวมถึงการวิเคราะห์รูปแบบกลยุทธ์ของขบวนการที่ถูกกล่าวหา และแนวทางการรับมือของรัฐและประชาชนอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน
1. บทนำ
พระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำชาติไทย มีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมค่านิยม จริยธรรม และจิตสำนึกของประชาชนมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษที่ผ่านมา ศาสนาเริ่มเผชิญความท้าทายที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะการถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์ในระดับสูงที่อาจผิดพระธรรมวินัย ไปจนถึงการถูกนำเสนอในสื่ออย่างต่อเนื่องในลักษณะเชิงลบ ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของประชาชนในวงกว้าง
กรณีตัวอย่างล่าสุด คือการที่ องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐบาล โดยระบุถึงการดำเนินการของ "ขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา" ซึ่งสะท้อนความกังวลเชิงโครงสร้างต่อภัยคุกคามที่อาจมีต่อศาสนาโดยตรงหรือโดยอ้อม
2. ขบวนการบ่อนทำลายศาสนา: ความหมายและบริบท
คำว่า "ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการวิพากษ์หรือเสนอความคิดเห็นอย่างเสรีในเชิงวิชาการหรือศีลธรรม แต่หมายถึง "กระบวนการที่มีเจตนาทำลายความศรัทธาในศาสนาโดยใช้วิธีการบิดเบือน ปล่อยข่าวเท็จ หรือสร้างสถานการณ์ให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียในสายตาสาธารณะอย่างเป็นระบบ"
จากการแถลงของ นายประพันธ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการ อปพส. พบว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฏการณ์ข่าวฉาวที่เกี่ยวข้องกับพระเถระผู้ใหญ่บางรูปในช่วงหลังอาจไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มหรือโดยบังเอิญ แต่สะท้อนลักษณะของการ "วางแผนเป็นกลุ่มก้อน" ที่จงใจสร้างผลกระทบในเชิงสถาบัน ซึ่งหากเป็นความจริง ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งในมิติของกลยุทธ์การบ่อนทำลายทางสังคม
3. มิติการบ่อนทำลาย: รูปแบบและกลไก
การวิเคราะห์จากกรณีร้องเรียนของ อปพส. สามารถจำแนกกลไกของขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาได้เป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่
3.1 ระดับข่าวสารและการสื่อสาร
-
การสร้างข่าวลือ ข่าวฉาว หรือเนื้อหาที่เจาะจงทำลายภาพลักษณ์พระสงฆ์ โดยเฉพาะบุคคลที่มีบทบาทนำในสังคม
-
การใช้โซเชียลมีเดียในการแพร่กระจายข้อมูลอย่างรวดเร็ว โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือมีการตัดต่อเนื้อหาบางส่วนเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด
3.2 ระดับโครงสร้างทางสังคม
-
การใช้กลไกทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมในลักษณะเลือกปฏิบัติ หรือตั้งข้อกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ จนนำไปสู่การทำลายศักดิ์ศรีของพระภิกษุสงฆ์
-
การลดบทบาทของพระพุทธศาสนาในพื้นที่สาธารณะ เช่น การยกเลิกหลักสูตรพุทธศึกษาในโรงเรียน หรือการยุบรวมกิจกรรมศาสนาเข้ากับกิจกรรมอื่นโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างเชิงวัฒนธรรม
3.3 ระดับจิตวิทยามวลชน
-
การทำให้ประชาชนรู้สึกหมดศรัทธาในพระภิกษุสงฆ์โดยรวมผ่านการเน้นย้ำกรณีลบเพียงบางส่วน
-
การแฝงนัยยะทางการเมืองหรือผลประโยชน์แอบแฝงที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
4. ปฏิกิริยาของรัฐและภาคประชาชน
กรณีการรับเรื่องร้องเรียนโดย ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือเป็นปฏิกิริยาเชิงบวกที่รัฐเริ่มให้ความสนใจกับปัญหานี้ โดยเตรียมเสนอเรื่องต่อ นายสุชาติ ตันเจริญ และ นายภูมิธรรม เวชยชัย เพื่อวางแนวทางในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินมาตรการที่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนผ่าน อปพส. ได้สะท้อนถึงความตื่นตัวในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเสนอให้รัฐเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของอุบาสกอุบาสิกาในการเฝ้าระวัง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และส่งเสริมศีลธรรมในสังคมไทย
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
เพื่อรับมือกับปรากฏการณ์ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีแนวทางดังนี้:
-
1) การสร้างระบบตรวจสอบข่าวสารศาสนา
สนับสนุนการตั้งหน่วยงานหรือแพลตฟอร์มกลางเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) ข่าวสารเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา -
2) การพัฒนาศักยภาพสื่อมวลชนทางศาสนา
ให้ทุนและอบรมสื่อมวลชนให้สามารถรายงานข่าวเชิงสร้างสรรค์และเคารพในบริบทศาสนา -
3) การมีส่วนร่วมของชุมชนพุทธ
สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังทางสังคมจากระดับวัด ชุมชน จนถึงระดับชาติ -
4) การส่งเสริมธรรมาภิบาลในองค์กรคณะสงฆ์
สร้างระบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมในกระบวนการสอบสวนพระภิกษุ เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งหรือตัดสินล่วงหน้าโดยสังคม
6. สรุป
กรณีร้องเรียนของ อปพส. เป็นเพียงหนึ่งในหลายสัญญาณที่สะท้อนถึงภาวะเปราะบางของพระพุทธศาสนาในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน การวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ไม่ใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือกล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อย้ำเตือนว่าการปกป้องพระพุทธศาสนาในยุคใหม่จำเป็นต้องอยู่บนฐานของ “สติ ปัญญา และการมีส่วนร่วม” ของทั้งรัฐและประชาชน
คำสำคัญ: ขบวนการบ่อนทำลาย, พระพุทธศาสนา, ศรัทธา, ข่าวสาร, นโยบายศาสนา, สื่อมวลชน, ความมั่นคงทางวัฒนธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น