วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

นักวิชาการชี้ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” สะท้อนความเปราะบางศาสนจักรในสังคมไทย — เสนอรัฐจับตาใกล้ชิดพร้อมเปิดทางประชาชนมีส่วนร่วม


เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวอาวุโสและนักวิชาการด้านพุทธสื่อสารมวลชน ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างเป็นทางการต่อกรณีที่องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยระบุถึง “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ซึ่งกำลังเป็นกระแสกังวลในแวดวงพุทธศาสนาและสังคมวงกว้าง

ดร.สำราญระบุว่า กรณีดังกล่าวควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติทางสังคม สื่อสาร และนโยบายสาธารณะ โดยชี้ว่าปรากฏการณ์ข่าวฉาวที่เกี่ยวพันกับพระสงฆ์ผู้ใหญ่บางรูป ไม่ควรถูกมองเพียงเป็นข่าวบันเทิงหรือประเด็นเฉพาะบุคคลเท่านั้น แต่ควรนำมาวิเคราะห์ถึงความเปราะบางของศาสนจักร และอาจเกี่ยวข้องกับ “กลยุทธ์เชิงโครงสร้าง” ที่มุ่งเซาะกร่อนศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาในสายตาสาธารณะอย่างเป็นระบบ

“การนำเสนอข่าวศาสนาในลักษณะที่มุ่งเน้นเฉพาะด้านลบ ซ้ำเติมซ้ำซ้อนโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจกลายเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยามวลชน ที่บั่นทอนความศรัทธาของประชาชนโดยไม่รู้ตัว” ดร.สำราญกล่าว

วิเคราะห์รูปแบบขบวนการ

จากการวิเคราะห์กรณีร้องเรียนของ อปพส. ดร.สำราญจำแนกกลยุทธ์ของขบวนการบ่อนทำลายศาสนาออกเป็น 3 มิติหลัก ได้แก่

  • ด้านข่าวสารและสื่อสาร: การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือเจาะจงใส่ร้ายพระภิกษุผู้มีบทบาทสูง โดยใช้โซเชียลมีเดียในการขยายผลอย่างรวดเร็ว อาจมีการบิดเบือนข้อมูลหรือเลือกนำเสนอเพียงบางด้านเพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อพระพุทธศาสนา

  • ด้านโครงสร้างสังคม: ใช้กลไกกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นกลางในการกล่าวหา จนเกิดความเข้าใจผิดหรือส่งผลเสียต่อศักดิ์ศรีของสงฆ์และสถาบันศาสนา รวมถึงแนวโน้มการลดบทบาทศาสนาในพื้นที่การศึกษาและกิจกรรมสาธารณะ

  • ด้านจิตวิทยามวลชน: ปลูกฝังความรู้สึกเสื่อมศรัทธาในหมู่ประชาชน โดยเน้นย้ำเฉพาะข่าวด้านลบของพระภิกษุ ทำให้ผู้คนตีความภาพรวมของสงฆ์และศาสนาในเชิงลบทั้งระบบ

รัฐ-ประชาชน ต้องร่วมกันปกป้อง

ดร.สำราญกล่าวชื่นชมที่ ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก อปพส. และเตรียมรายงานต่อผู้มีอำนาจรัฐ เช่น นายสุชาติ ตันเจริญ และนายภูมิธรรม เวชยชัย โดยเห็นว่าการที่ภาครัฐเริ่มรับฟังและแสดงความสนใจในประเด็นนี้ เป็นสัญญาณบวกที่ควรส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐกับภาคประชาชน

ในขณะเดียวกัน ดร.สำราญเสนอให้มีการยกระดับมาตรการรับมือกับปรากฏการณ์ลักษณะนี้อย่างยั่งยืน โดยเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย 4 ด้าน ได้แก่

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบข่าวสารศาสนา (Fact-checking Center) — เพื่อรับมือกับข่าวปลอมและการบิดเบือนข้อมูลในประเด็นศาสนา

  2. พัฒนาศักยภาพสื่อมวลชนสายศาสนา — สนับสนุนทุนวิจัยและอบรมการรายงานข่าวที่เคารพบริบทวัฒนธรรมศาสนา

  3. สร้างเครือข่ายชุมชนเฝ้าระวัง — ส่งเสริมบทบาทของอุบาสกอุบาสิกาและชุมชนวัดในการเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลอย่างถูกต้อง

  4. ยกระดับธรรมาภิบาลในคณะสงฆ์ — พัฒนาระบบตรวจสอบภายในคณะสงฆ์ที่โปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้

“การปกป้องพระพุทธศาสนาในยุคสื่อดิจิทัล ไม่ใช่แค่หน้าที่ของพระหรือรัฐ แต่เป็นภารกิจร่วมของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะคนที่รักในหลักธรรมและคุณค่าทางจิตวิญญาณของสังคมไทย” ดร.สำราญกล่าวทิ้งท้าย

สาระสำคัญ: เสริมภูมิคุ้มกันทางศาสนา

ทั้งนี้ ดร.สำราญเน้นย้ำว่า จุดมุ่งหมายของการพูดถึง “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ไม่ใช่การชี้นิ้วหรือสร้างความขัดแย้ง แต่เป็นการเรียกร้องให้สังคมไทยใช้ “สติ ปัญญา และการมีส่วนร่วม” เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทางศาสนา ท่ามกลางกระแสข้อมูลที่เชี่ยวกรากและผลประโยชน์แอบแฝงที่อาจแทรกซึมโดยไม่รู้ตัว


#ขบวนการบ่อนทำลาย, พระพุทธศาสนา, ข่าวปลอม, ความมั่นคงทางวัฒนธรรม, การสื่อสารทางศาสนา, ศรัทธา, อปพส., รัฐกับศาสนา

 

บทความวิชาการ

วิเคราะห์ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา: มุมมองเชิงสังคมและนโยบายสาธารณะ


บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ผ่านกรณีศึกษาการร้องเรียนขององค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 โดยมีเนื้อหาครอบคลุมมิติด้านสังคม การสื่อสาร และนโยบายสาธารณะ ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของศาสนจักรในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน รวมถึงการวิเคราะห์รูปแบบกลยุทธ์ของขบวนการที่ถูกกล่าวหา และแนวทางการรับมือของรัฐและประชาชนอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน


1. บทนำ

พระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำชาติไทย มีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมค่านิยม จริยธรรม และจิตสำนึกของประชาชนมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษที่ผ่านมา ศาสนาเริ่มเผชิญความท้าทายที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะการถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์ในระดับสูงที่อาจผิดพระธรรมวินัย ไปจนถึงการถูกนำเสนอในสื่ออย่างต่อเนื่องในลักษณะเชิงลบ ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของประชาชนในวงกว้าง

กรณีตัวอย่างล่าสุด คือการที่ องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐบาล โดยระบุถึงการดำเนินการของ "ขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา" ซึ่งสะท้อนความกังวลเชิงโครงสร้างต่อภัยคุกคามที่อาจมีต่อศาสนาโดยตรงหรือโดยอ้อม


2. ขบวนการบ่อนทำลายศาสนา: ความหมายและบริบท

คำว่า "ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการวิพากษ์หรือเสนอความคิดเห็นอย่างเสรีในเชิงวิชาการหรือศีลธรรม แต่หมายถึง "กระบวนการที่มีเจตนาทำลายความศรัทธาในศาสนาโดยใช้วิธีการบิดเบือน ปล่อยข่าวเท็จ หรือสร้างสถานการณ์ให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียในสายตาสาธารณะอย่างเป็นระบบ"

จากการแถลงของ นายประพันธ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการ อปพส. พบว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฏการณ์ข่าวฉาวที่เกี่ยวข้องกับพระเถระผู้ใหญ่บางรูปในช่วงหลังอาจไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มหรือโดยบังเอิญ แต่สะท้อนลักษณะของการ "วางแผนเป็นกลุ่มก้อน" ที่จงใจสร้างผลกระทบในเชิงสถาบัน ซึ่งหากเป็นความจริง ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งในมิติของกลยุทธ์การบ่อนทำลายทางสังคม


3. มิติการบ่อนทำลาย: รูปแบบและกลไก

การวิเคราะห์จากกรณีร้องเรียนของ อปพส. สามารถจำแนกกลไกของขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาได้เป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่

3.1 ระดับข่าวสารและการสื่อสาร

  • การสร้างข่าวลือ ข่าวฉาว หรือเนื้อหาที่เจาะจงทำลายภาพลักษณ์พระสงฆ์ โดยเฉพาะบุคคลที่มีบทบาทนำในสังคม

  • การใช้โซเชียลมีเดียในการแพร่กระจายข้อมูลอย่างรวดเร็ว โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือมีการตัดต่อเนื้อหาบางส่วนเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด

3.2 ระดับโครงสร้างทางสังคม

  • การใช้กลไกทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมในลักษณะเลือกปฏิบัติ หรือตั้งข้อกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ จนนำไปสู่การทำลายศักดิ์ศรีของพระภิกษุสงฆ์

  • การลดบทบาทของพระพุทธศาสนาในพื้นที่สาธารณะ เช่น การยกเลิกหลักสูตรพุทธศึกษาในโรงเรียน หรือการยุบรวมกิจกรรมศาสนาเข้ากับกิจกรรมอื่นโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างเชิงวัฒนธรรม

3.3 ระดับจิตวิทยามวลชน

  • การทำให้ประชาชนรู้สึกหมดศรัทธาในพระภิกษุสงฆ์โดยรวมผ่านการเน้นย้ำกรณีลบเพียงบางส่วน

  • การแฝงนัยยะทางการเมืองหรือผลประโยชน์แอบแฝงที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


4. ปฏิกิริยาของรัฐและภาคประชาชน

กรณีการรับเรื่องร้องเรียนโดย ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือเป็นปฏิกิริยาเชิงบวกที่รัฐเริ่มให้ความสนใจกับปัญหานี้ โดยเตรียมเสนอเรื่องต่อ นายสุชาติ ตันเจริญ และ นายภูมิธรรม เวชยชัย เพื่อวางแนวทางในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินมาตรการที่เหมาะสม

ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนผ่าน อปพส. ได้สะท้อนถึงความตื่นตัวในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเสนอให้รัฐเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของอุบาสกอุบาสิกาในการเฝ้าระวัง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และส่งเสริมศีลธรรมในสังคมไทย


5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อรับมือกับปรากฏการณ์ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีแนวทางดังนี้:

  • 1) การสร้างระบบตรวจสอบข่าวสารศาสนา
    สนับสนุนการตั้งหน่วยงานหรือแพลตฟอร์มกลางเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) ข่าวสารเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

  • 2) การพัฒนาศักยภาพสื่อมวลชนทางศาสนา
    ให้ทุนและอบรมสื่อมวลชนให้สามารถรายงานข่าวเชิงสร้างสรรค์และเคารพในบริบทศาสนา

  • 3) การมีส่วนร่วมของชุมชนพุทธ
    สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังทางสังคมจากระดับวัด ชุมชน จนถึงระดับชาติ

  • 4) การส่งเสริมธรรมาภิบาลในองค์กรคณะสงฆ์
    สร้างระบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมในกระบวนการสอบสวนพระภิกษุ เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งหรือตัดสินล่วงหน้าโดยสังคม


6. สรุป

กรณีร้องเรียนของ อปพส. เป็นเพียงหนึ่งในหลายสัญญาณที่สะท้อนถึงภาวะเปราะบางของพระพุทธศาสนาในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน การวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ไม่ใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือกล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อย้ำเตือนว่าการปกป้องพระพุทธศาสนาในยุคใหม่จำเป็นต้องอยู่บนฐานของ “สติ ปัญญา และการมีส่วนร่วม” ของทั้งรัฐและประชาชน


คำสำคัญ: ขบวนการบ่อนทำลาย, พระพุทธศาสนา, ศรัทธา, ข่าวสาร, นโยบายศาสนา, สื่อมวลชน, ความมั่นคงทางวัฒนธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...