บทความนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทของนักสันติวิธี (Peace Practitioner) ในบริบทของความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีกัมพูชายิงปะทะไทยก่อนเนื่องจากปัญหาแนวชายแดน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐที่มีความซับซ้อนทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และจิตวิทยาการเมืองระดับภูมิภาค บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดสันติวิธี (Nonviolence Approach) ร่วมกับแนวทางวิเคราะห์นักแสดงในความขัดแย้ง เพื่อศึกษาว่านักสันติวิธีสามารถมีบทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร ทั้งในระดับการป้องกันความรุนแรง การสร้างความเข้าใจร่วม และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว
1. บทนำ
ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทพระวิหารและบริเวณใกล้เคียง เป็นความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยมีลักษณะเป็นทั้งข้อพิพาททางดินแดนและความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ ในบางช่วงเวลาความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นในรูปของการสู้รบ เช่น กรณีที่กัมพูชายิงปะทะทหารไทยก่อน นำไปสู่ความตึงเครียดทางทหารและความวิตกในหมู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ
ภายใต้บริบทนี้ นักสันติวิธีซึ่งเป็นนักปฏิบัติที่มีเป้าหมายในการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิธีสันติ สามารถมีบทบาทสำคัญในการลดความรุนแรงและเปิดช่องทางสื่อสารระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้ง
2. กรอบแนวคิด
บทความนี้ยึดกรอบแนวคิดสันติวิธี (Nonviolence Theory) ของ Johan Galtung และทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้ง (Conflict Transformation) ของ Lederach โดยเน้นการเปลี่ยนโครงสร้างความขัดแย้ง (Structural Change) การเยียวยาความทรงจำร่วม (Collective Memory) และการเสริมสร้างความไว้วางใจ (Trust-building) ทั้งในระดับผู้นำและประชาชน
3. ลักษณะของความขัดแย้งไทย–กัมพูชา
ความขัดแย้งครั้งนี้มีลักษณะของความขัดแย้งระหว่างรัฐ (Interstate Conflict) ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นต่อไปนี้:
-
ข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดน
-
การตีความแผนที่และคำพิพากษาของศาลโลกปี 2505
-
ความรู้สึกชาตินิยมและวาทกรรมประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน
-
ผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศของทั้งสองฝ่าย
แม้ว่าความขัดแย้งจะมีรากฐานจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์และกฎหมาย แต่การปะทุของความรุนแรง เช่น การยิงกันตามแนวชายแดน สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการความขัดแย้งอย่างสันติ
4. บทบาทของนักสันติวิธี
นักสันติวิธีสามารถมีบทบาทสำคัญในหลายมิติ ได้แก่:
4.1 การป้องกันความรุนแรง (Violence Prevention)
-
การแจ้งเตือนเหตุความขัดแย้งโดยใช้ระบบ Early Warning
-
การสนับสนุนพื้นที่ปลอดภัยตามแนวชายแดน
-
การสร้างกลไกสื่อสารระหว่างหน่วยงานระดับล่าง เช่น ชาวบ้าน ชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของทั้งสองฝ่าย
4.2 การไกล่เกลี่ยและเปิดช่องทางการสื่อสาร (Dialogue Facilitation)
-
การจัดเวทีเสวนาระหว่างภาคประชาสังคม
-
การสร้างความเข้าใจร่วมโดยใช้แนวทาง “ความจริง–การให้อภัย–ความปรองดอง”
4.3 การฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังเหตุรุนแรง (Post-conflict Reconciliation)
-
การส่งเสริมการศึกษาเพื่อสันติภาพ (Peace Education) ในชุมชนชายแดน
-
การแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย–กัมพูชา เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
5. ข้อจำกัดและความท้าทาย
-
ความไม่ไว้วางใจระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
-
การถูกต่อต้านจากกลุ่มชาตินิยมหรือฝ่ายการเมืองภายใน
-
ข้อจำกัดของนักสันติวิธีในการเข้าถึงพื้นที่ทหารหรือพื้นที่ปะทะ
-
ความเสี่ยงของการถูกตีตราว่า "ไม่รักชาติ" หรือ "เข้าข้างศัตรู"
6. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
-
ควรมีกลไกความร่วมมือแบบข้ามพรมแดน (Cross-border Mechanism) ที่เป็นอิสระจากรัฐบาล
-
ส่งเสริมการฝึกอบรมนักสันติวิธีในพื้นที่เสี่ยง
-
ใช้พลังของประชาสังคมในการสร้างวัฒนธรรมสันติภาพระยะยาว
-
ส่งเสริมความโปร่งใสในการรายงานความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน
7. สรุป
แม้บทบาทของนักสันติวิธีจะเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ แต่ก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถช่วยคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่รัฐมีผลประโยชน์ทางการเมืองแฝงอยู่ในความขัดแย้ง นักสันติวิธีจึงมิใช่เพียงผู้ไกล่เกลี่ย แต่เป็นผู้นำพาสังคมไปสู่ความเข้าใจ ความอดทน และการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งสู่สันติภาพอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น