วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์บทบาทนักสันติวิธีกรณีกัมพูชายิงไทยก่อนเหตุขัดแย้งแนวชายแดน


บทความนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทของนักสันติวิธี (Peace Practitioner) ในบริบทของความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีกัมพูชายิงปะทะไทยก่อนเนื่องจากปัญหาแนวชายแดน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐที่มีความซับซ้อนทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และจิตวิทยาการเมืองระดับภูมิภาค บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดสันติวิธี (Nonviolence Approach) ร่วมกับแนวทางวิเคราะห์นักแสดงในความขัดแย้ง เพื่อศึกษาว่านักสันติวิธีสามารถมีบทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร ทั้งในระดับการป้องกันความรุนแรง การสร้างความเข้าใจร่วม และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว


1. บทนำ

ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทพระวิหารและบริเวณใกล้เคียง เป็นความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยมีลักษณะเป็นทั้งข้อพิพาททางดินแดนและความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ ในบางช่วงเวลาความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นในรูปของการสู้รบ เช่น กรณีที่กัมพูชายิงปะทะทหารไทยก่อน นำไปสู่ความตึงเครียดทางทหารและความวิตกในหมู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ

ภายใต้บริบทนี้ นักสันติวิธีซึ่งเป็นนักปฏิบัติที่มีเป้าหมายในการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิธีสันติ สามารถมีบทบาทสำคัญในการลดความรุนแรงและเปิดช่องทางสื่อสารระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้ง


2. กรอบแนวคิด

บทความนี้ยึดกรอบแนวคิดสันติวิธี (Nonviolence Theory) ของ Johan Galtung  และทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้ง (Conflict Transformation) ของ Lederach โดยเน้นการเปลี่ยนโครงสร้างความขัดแย้ง (Structural Change) การเยียวยาความทรงจำร่วม (Collective Memory) และการเสริมสร้างความไว้วางใจ (Trust-building) ทั้งในระดับผู้นำและประชาชน


3. ลักษณะของความขัดแย้งไทย–กัมพูชา

ความขัดแย้งครั้งนี้มีลักษณะของความขัดแย้งระหว่างรัฐ (Interstate Conflict) ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นต่อไปนี้:

  • ข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดน

  • การตีความแผนที่และคำพิพากษาของศาลโลกปี 2505

  • ความรู้สึกชาตินิยมและวาทกรรมประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน

  • ผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศของทั้งสองฝ่าย

แม้ว่าความขัดแย้งจะมีรากฐานจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์และกฎหมาย แต่การปะทุของความรุนแรง เช่น การยิงกันตามแนวชายแดน สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการความขัดแย้งอย่างสันติ


4. บทบาทของนักสันติวิธี

นักสันติวิธีสามารถมีบทบาทสำคัญในหลายมิติ ได้แก่:

4.1 การป้องกันความรุนแรง (Violence Prevention)

  • การแจ้งเตือนเหตุความขัดแย้งโดยใช้ระบบ Early Warning

  • การสนับสนุนพื้นที่ปลอดภัยตามแนวชายแดน

  • การสร้างกลไกสื่อสารระหว่างหน่วยงานระดับล่าง เช่น ชาวบ้าน ชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของทั้งสองฝ่าย

4.2 การไกล่เกลี่ยและเปิดช่องทางการสื่อสาร (Dialogue Facilitation)

  • การจัดเวทีเสวนาระหว่างภาคประชาสังคม

  • การสร้างความเข้าใจร่วมโดยใช้แนวทาง “ความจริง–การให้อภัย–ความปรองดอง”

4.3 การฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังเหตุรุนแรง (Post-conflict Reconciliation)

  • การส่งเสริมการศึกษาเพื่อสันติภาพ (Peace Education) ในชุมชนชายแดน

  • การแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย–กัมพูชา เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน


5. ข้อจำกัดและความท้าทาย

  • ความไม่ไว้วางใจระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย

  • การถูกต่อต้านจากกลุ่มชาตินิยมหรือฝ่ายการเมืองภายใน

  • ข้อจำกัดของนักสันติวิธีในการเข้าถึงพื้นที่ทหารหรือพื้นที่ปะทะ

  • ความเสี่ยงของการถูกตีตราว่า "ไม่รักชาติ" หรือ "เข้าข้างศัตรู"


6. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

  • ควรมีกลไกความร่วมมือแบบข้ามพรมแดน (Cross-border Mechanism) ที่เป็นอิสระจากรัฐบาล

  • ส่งเสริมการฝึกอบรมนักสันติวิธีในพื้นที่เสี่ยง

  • ใช้พลังของประชาสังคมในการสร้างวัฒนธรรมสันติภาพระยะยาว

  • ส่งเสริมความโปร่งใสในการรายงานความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน


7. สรุป

แม้บทบาทของนักสันติวิธีจะเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ แต่ก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถช่วยคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่รัฐมีผลประโยชน์ทางการเมืองแฝงอยู่ในความขัดแย้ง นักสันติวิธีจึงมิใช่เพียงผู้ไกล่เกลี่ย แต่เป็นผู้นำพาสังคมไปสู่ความเข้าใจ ความอดทน และการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งสู่สันติภาพอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทบาทขับเคลื่อนจัดตั้ง ธนาคารพระพุทธศาสนา ของ ดร.นิยม เวชกามา

การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและพลวัตทางการเมืองในการขับเคลื่อนจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย": กรณีศึกษาแนวคิดและบทบาทของ ด...