เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวอาวุโส ได้แสดงความเห็นต่อการแต่งตั้งนายวิทัย รัตนากร เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ โดยมองว่าบทบาทของผู้ว่าฯ คนใหม่นี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ของประเทศ ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจากทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ และหนี้สาธารณะ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง
ปัญหาหนี้ลุกลาม – เศรษฐกิจรอการฟื้นตัว
ดร.สำราญระบุว่า สถานการณ์หนี้ในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยหนี้ครัวเรือนมีสัดส่วนสูงกว่า 90% ต่อ GDP ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ยังคงแบกรับผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนหนี้สาธารณะก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐ ดังนั้น ผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่จึงต้องวางยุทธศาสตร์ที่บูรณาการมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อหรือดูแลค่าเงินบาทเท่านั้น
จุดแข็งของ “วิทัย” – ประสบการณ์จากออมสินสู่ ธปท.
การแต่งตั้งนายวิทัยมีผลในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยต่อจากนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่จะครบวาระในเดือนกันยายน การเลือกผู้ว่าฯ จากสายงานธนาคารของรัฐอย่าง “ธนาคารออมสิน” ทำให้เกิดความหวังว่าแนวทางของ ธปท. จะเน้นการเข้าถึงประชาชนฐานรากมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่อง:
-
สินเชื่อเพื่อการฟื้นตัว
-
การพักหนี้เชิงโครงสร้าง
-
การสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย
ดร.สำราญชี้ว่า ประสบการณ์เหล่านี้น่าจะช่วยให้ ธปท. ออกแบบนโยบายการเงินที่ “เป็นธรรม” มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไม่ให้สั่นคลอน
ความร่วมมือระหว่างคลัง – ธปท. คือกุญแจ
รมว.คลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้แสดงความมั่นใจว่า วิทัยสามารถทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังได้อย่างใกล้ชิดภายใต้หลัก "ข้อมูลถึงกัน แก้ปัญหาร่วมกัน" ซึ่ง ดร.สำราญมองว่า หากสามารถพัฒนาไปสู่ “นโยบายเศรษฐกิจร่วม” เช่น โครงการสินเชื่อร่วมรัฐ-เอกชน การลดภาษีจูงใจ หรือการปรับโครงสร้างกำกับสินเชื่อได้อย่างสอดคล้อง ก็อาจเป็นกลไกใหม่ในการคลี่คลายปัญหาหนี้เรื้อรังที่ประเทศไทยเผชิญอยู่
ข้อเสนอเพื่อการแก้หนี้อย่างยั่งยืน
ดร.สำราญเสนอแนะเชิงนโยบายเพิ่มเติมว่า ภายใต้การนำของนายวิทัย ควรมีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแบบบูรณาการระหว่าง ธปท. กระทรวงการคลัง และธนาคารพาณิชย์ เพื่อจัดการหนี้เสียเชิงระบบ รวมถึง:
-
จัดตั้ง "ศูนย์ข้อมูลหนี้แห่งชาติ"
-
แบ่งประเภทหนี้ตามลำดับเร่งด่วน (Debt Triage)
-
สนับสนุนความรู้ทางการเงินในวงกว้าง
-
ใช้นโยบายดอกเบี้ยแบบยืดหยุ่นตามกลุ่มหนี้
บทเรียนจากอดีต: ปัญหาความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ดร.สำราญยังสะท้อนว่า การแก้ปัญหาหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบในอดีต แม้มีช่วงเวลาที่มีพัฒนาการ เช่น สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.ยุติธรรม หรือสมัยที่นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยที่มีการจัดมหกรรมแก้หนี้ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้บริหาร นโยบายก็มักขาดความต่อเนื่อง และแต่ละหน่วยงานมักทำงานแบบแยกส่วน
ข้อสรุป
การแต่งตั้งนายวิทัย รัตนากร เป็นผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนผู้นำองค์กร แต่เป็นจังหวะสำคัญที่นโยบายการเงินจะต้องหันมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของปัญหาหนี้ระดับชาติ ด้วยวิธีคิดใหม่ เครื่องมือใหม่ และความร่วมมือแบบไร้รอยต่อ ดร.สำราญมองว่า หากทำได้จริง วิทัยจะกลายเป็น “ผู้เชื่อมโยง” นโยบายการเงินให้เข้ากับความจำเป็นทางสังคมได้อย่างลงตัว และพลิกสถานการณ์หนี้ของประเทศไทยให้กลับมาอยู่ในทิศทางที่ยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น