บทความนี้มุ่งวิเคราะห์พฤติการณ์ของประเทศไทยในบริบทของสันติวิธี (Nonviolent Approach) กรณีความขัดแย้งกับกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร แม้ประเทศไทยจะยึดมั่นในหลักการระหว่างประเทศและส่งเสริมสันติภาพในเวทีต่าง ๆ แต่พฤติการณ์ที่แสดงออกในการจัดการกับข้อพิพาทชายแดนยังมีมิติที่สะท้อนถึงการใช้อำนาจ การตอบโต้ และการสื่อสารที่ยังไม่สอดคล้องกับหลักสันติวิธีโดยสมบูรณ์ บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดของ Johan Galtung และ Gene Sharp เพื่อวิเคราะห์การดำเนินนโยบาย ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ การทูต และการสื่อสารสาธารณะของประเทศไทยในช่วงวิกฤตความตึงเครียดดังกล่าว
1. บทนำ
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนพลวัตของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่มีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กฎหมาย และการเมือง การที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับพฤติกรรมที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่ไทยถือครองมาโดยตลอด ทำให้รัฐบาลไทยต้องใช้ยุทธศาสตร์หลากหลายเพื่อตอบสนอง ทั้งในด้านการทหาร การทูต และการสื่อสาร ซึ่งบทความนี้จะชี้ให้เห็นว่า การตอบสนองเหล่านั้นสอดคล้องหรือขัดแย้งกับหลักสันติวิธีในระดับใด
2. กรอบแนวคิด
การวิเคราะห์ใช้กรอบแนวคิดของ:
-
Johan Galtung: ผู้เสนอแนวคิด “สันติภาพเชิงลบ” (Negative Peace) และ “สันติภาพเชิงบวก” (Positive Peace) และจำแนก “ความรุนแรง” ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่
-
ความรุนแรงทางตรง (Direct Violence)
-
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence)
-
ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม (Cultural Violence)
-
-
Gene Sharp: ผู้เสนอแนวคิดสันติวิธีเชิงรุก (Strategic Nonviolent Action) ที่เน้นการต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรง เช่น การเจรจา การไม่ให้ความร่วมมือ และการสื่อสารสร้างสำนึกประชาชน
3. พฤติการณ์ของไทยในบริบทความขัดแย้ง
3.1 การยึดมั่นในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
ประเทศไทยแสดงออกอย่างชัดเจนในการยึดมั่นในข้อตกลงพรมแดนตามแผนที่แนบท้ายอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2447 และ 2449 พร้อมทั้งยืนยันที่จะไม่ใช้กำลังทหารรุกรานก่อน เป็นการแสดงพฤติการณ์ในกรอบ “สันติภาพเชิงลบ” โดยหลีกเลี่ยงการทำสงครามเต็มรูปแบบ
3.2 การใช้การทูตเชิงป้องกัน (Preventive Diplomacy)
ประเทศไทยพยายามผลักดันการเจรจาทวิภาคีมากกว่าการพึ่งพากลไกระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่กัมพูชาต้องการดึงชาติที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้ถูกขัดขวางจากปัจจัยการเมืองภายใน เช่น ความไม่มั่นคงของรัฐบาลไทยในช่วงวิกฤตการเมืองระหว่างปี 2551–2554
3.3 การตอบโต้ทางทหารในลักษณะป้องกัน
ในบางช่วงเวลาที่เกิดการปะทะ ไทยมีการตอบโต้ทางทหารโดยอ้างหลักการป้องกันตนเอง (Self-defense) ซึ่งอยู่ในกรอบอนุญาตของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็ส่งผลให้เกิดความสูญเสียในพื้นที่พลเรือนและทำให้ภาพลักษณ์ไทยในเวทีสากลถูกตั้งคำถามถึงการใช้สัดส่วนกำลังที่เหมาะสม
3.4 การสื่อสารกับประชาชนและการสร้างวาทกรรมรักชาติ
รัฐบาลและสื่อไทยบางส่วนมีการสื่อสารที่เน้นการปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งมีข้อดีในด้านการสร้างเอกภาพ แต่ก็อาจส่งเสริมความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมต่อประเทศเพื่อนบ้าน และลดทอนพื้นที่การเจรจาเชิงสร้างสรรค์
4. การวิเคราะห์ในมิติสันติวิธี
4.1 จุดแข็งในกรอบสันติวิธี
-
ไทยยังไม่เลือกใช้การรุกรานโดยตรงเป็นแนวทางหลัก
-
ไทยผลักดันกลไกการเจรจา
-
มีความพยายามรักษาอธิปไตยโดยไม่ละเมิดพันธกรณีทางกฎหมาย
4.2 จุดอ่อนในกรอบสันติวิธี
-
การใช้กำลังตอบโต้ในระดับพื้นที่ แม้เป็นลักษณะป้องกัน แต่ก็ทำให้เกิดการยกระดับความขัดแย้ง
-
การสื่อสารสาธารณะที่ยังขาดมิติแห่งความเข้าใจฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้ขาดความไว้วางใจ
-
การเมืองภายในส่งผลต่อการเจรจาภายนอก ทำให้ท่าทีไทยไม่มั่นคงในเวทีระหว่างประเทศ
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
-
ส่งเสริมกลไกเจรจาทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีอย่างต่อเนื่อง โดยมีบุคคลที่สามที่เป็นกลางทางวัฒนธรรม
-
พัฒนากลไกการสื่อสารภาครัฐที่สร้างความเข้าใจ ไม่เพียงกับประชาชนไทยแต่รวมถึงประชาชนกัมพูชา
-
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการสร้างวัฒนธรรมสันติภาพข้ามพรมแดน
-
แยกแยะมิติทางการเมืองภายในออกจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อความมั่นคงในจุดยืน
6. บทสรุป
ประเทศไทยในฐานะรัฐประชาธิปไตยที่มีบทบาทสำคัญในอาเซียน ได้แสดงออกถึงความพยายามในการแก้ไขความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชาด้วยแนวทางสันติวิธีหลายประการ อย่างไรก็ตาม พฤติการณ์บางส่วนยังสะท้อนการใช้กลไกตอบโต้ ความระแวง และการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุ “สันติภาพเชิงบวก” อย่างแท้จริง ความท้าทายจึงอยู่ที่การแปลงจุดยืนแห่งสันติภาพจากวาทกรรมให้กลายเป็นปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น