โดย ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวอาวุโสและนักวิชาการพุทธสันติวิธีสื่อสารมวลชน
บทความนี้วิเคราะห์พฤติการณ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในปริบทของสันติวิธี (Nonviolence Approach) ต่อกรณีความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในช่วงที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรงก่อน การศึกษานี้อาศัยกรอบแนวคิดของ Johan Galtung เกี่ยวกับสันติภาพเชิงบวก (Positive Peace) และความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) รวมถึงแนวคิด Realism ทางการทูต เพื่อประเมินว่าพฤติการณ์ของทรัมป์มีลักษณะส่งเสริมหรือบ่อนทำลายสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลการศึกษาพบว่า พฤติการณ์ของทรัมป์มีลักษณะ “ไม่แสดงท่าทีเชิงรุก” (Strategic Silence) และเน้นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างแรงจูงใจในการยุติความรุนแรง มากกว่าการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยอย่างแท้จริง
1. บทนำ
เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก่อให้เกิดคำถามถึงบทบาทของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้รักษาสันติภาพโลก โดยเฉพาะในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มมุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติภายใต้นโยบาย “America First” มากกว่าการมีส่วนร่วมในปัญหาภูมิภาคอื่นๆ บทความนี้จึงตั้งคำถามว่าพฤติการณ์ของทรัมป์ต่อกรณีนี้สะท้อนหลักสันติวิธี หรือกลับส่งผลให้เกิดความรุนแรงในเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อ
2. กรอบแนวคิด
2.1 สันติวิธีตาม Johan Galtung
สันติภาพเชิงลบ (Negative Peace): ความสงบที่เกิดจากการไม่ใช้ความรุนแรงโดยตรง
สันติภาพเชิงบวก (Positive Peace): ความสงบที่เกิดจากความเป็นธรรมทางโครงสร้าง การเจรจา และการสนับสนุนสังคมที่สันติ
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence): การเพิกเฉยหรือไม่แสดงท่าทีต่อปัญหาของรัฐขนาดเล็ก จนนำไปสู่ความรุนแรงที่ฝังลึก
2.2 แนวคิด Realism ทางการทูต
รัฐมหาอำนาจดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก มากกว่าคุณค่าทางจริยธรรมหรือหลักมนุษยธรรม
3. พฤติการณ์ของทรัมป์ต่อกรณีปะทะไทย–กัมพูชา
3.1 ความเงียบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Silence)
แม้จะมีรายงานว่ากัมพูชาเริ่มยิงก่อนในการปะทะชายแดน ทรัมป์กลับไม่มีแถลงการณ์หรือท่าทีชัดเจนในการเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลัง ความเงียบนี้อาจเป็นการ “เพิกเฉยเชิงโครงสร้าง” ซึ่งขัดต่อหลักสันติวิธีที่ควรส่งเสริมสันติภาพเชิงบวกและความยุติธรรม
3.2 การลดบทบาทของสหรัฐในอาเซียน
นโยบาย America First ส่งผลให้ทรัมป์ลดความสำคัญของเวทีพหุภาคีในภูมิภาค เช่น การไม่เข้าร่วมประชุม ASEAN Summit บางวาระ หรือการส่งตัวแทนระดับต่ำ การขาดการมีส่วนร่วมเหล่านี้ลดบทบาทของสหรัฐในฐานะ “ผู้ไกล่เกลี่ย” และ “ผู้ค้ำประกันความสงบ”
3.3 การใช้การค้ากดดันเป็นเครื่องมือทางการทูต
ทรัมป์เลือกใช้มาตรการทางการค้าในการกดดันให้ไทยและกัมพูชายุติความขัดแย้ง เช่น การประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสูงถึง 36% หากยังไม่ยุติความรุนแรง โดยเมื่อทั้งสองประเทศตกลงหยุดยิง จึงมีการเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าทรัมป์มองสันติภาพเป็น “ข้อแลกเปลี่ยนทางผลประโยชน์” มากกว่า “หลักคุณธรรม”
4. การวิเคราะห์ตามหลักสันติวิธี
มิติ พฤติการณ์ของทรัมป์ วิเคราะห์ตามแนวคิดสันติวิธี
การทูต เพิกเฉยต่อความขัดแย้งระดับภูมิภาค ขาดบทบาทเชิงรุกในการป้องกันความรุนแรง
การใช้วาทกรรม ไม่มีถ้อยแถลงสนับสนุนการเจรจาไทย-กัมพูชา ไม่ส่งเสริมสันติภาพเชิงบวก
บทบาทในอาเซียน ลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างโดยการละเลยต่อวิกฤตรัฐขนาดเล็ก
ท่าทีต่อผู้ก่อเหตุ ไม่ประณามกัมพูชา ไม่เอื้อต่อความยุติธรรมในเชิงสากล
5. ข้อเสนอเชิงวิชาการและนโยบาย
1. เสริมสร้างบทบาทเชิงรุกของสหรัฐในภูมิภาค
ผู้นำสหรัฐควรดำรงบทบาทผู้ไกล่เกลี่ยอย่างจริงจัง โดยแสดงจุดยืนชัดเจนเมื่อมีรัฐหนึ่งใช้ความรุนแรงเริ่มต้น เพื่อสร้างหลักประกันแห่งความยุติธรรมเชิงสากล
2. ฟื้นฟูบทบาทในเวทีอาเซียน
การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจะช่วยให้สหรัฐเป็นพลังหนุนสันติภาพเชิงบวก และสร้างความไว้วางใจจากรัฐขนาดเล็ก
3. แยกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกจากการจัดการความขัดแย้ง
การใช้เครื่องมือทางการค้าเพื่อกดดันคู่ขัดแย้งให้ยุติการปะทะ แม้มีประสิทธิผลในบางกรณี แต่ไม่ควรแทนที่การใช้กลไกสันติวิธี เช่น การเจรจาและการไกล่เกลี่ยอย่างเท่าเทียม
6. บทสรุป
พฤติการณ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา สะท้อนนโยบายต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐมากกว่าการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค การเลือกใช้มาตรการทางการค้าแทนการแสดงบทบาททางการทูตเชิงสันติวิธี แม้มีผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้น (เช่น การตกลงหยุดยิงตามเงื่อนไขการค้า) แต่กลับเป็นการลดความชอบธรรมของสหรัฐในฐานะผู้นำทางคุณธรรมในระดับโลก และยังอาจตอกย้ำความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่ดำรงอยู่ในระดับภูมิภาค

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น