วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" หนุนแนวคิดจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" หวังปฏิรูประบบการเงินวัด ยกระดับความโปร่งใสในวงการสงฆ์

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวอาวุโสและนักวิชาการด้านพุทธสื่อสารมวลชน(AI)  ให้ความเห็นต่อสถานการณ์การบริหารจัดการเงินและทรัพย์สินของคณะสงฆ์ในประเทศไทย พร้อมเสนอแนวทางปฏิรูปเชิงระบบด้วยการจัดตั้ง “ธนาคารพระพุทธศาสนา” เพื่อแก้ปัญหาความไม่โปร่งใสที่กำลังสั่นคลอนศรัทธาของประชาชนต่อสถาบันสงฆ์

ดร.สำราญระบุว่า ระบบการบริหารทรัพย์สินของวัดในปัจจุบันเปิดช่องให้เกิดการทุจริตหรือใช้อำนาจโดยขาดการตรวจสอบ โดยเฉพาะในระดับพระชั้นผู้ใหญ่ แม้จะมี กฎกระทรวง พ.ศ. 2564 กำหนดให้วัดถือเงินสดได้ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย แต่ในทางปฏิบัติกลับขาดกลไกควบคุมที่เข้มแข็งจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)

ด้าน ผศ. ดร.กริช ภูญียามา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า พระสังฆาธิการแม้จะได้รับเงินจากรัฐ (นิตยภัต) และมีอำนาจคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย ป.ป.ช. จึงไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ส่งผลให้ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ต่อประเด็นดังกล่าว ดร.สำราญเสนอแนวทางปฏิรูปโดยจัดตั้ง “ธนาคารพระพุทธศาสนา” ขึ้นเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อบริหารจัดการเงินและทรัพย์สินของวัดอย่างมีระบบ โปร่งใส และยั่งยืน โดยมีเป้าหมายหลักคือ:

  • ตรวจสอบการใช้จ่ายและทรัพย์สินของวัดอย่างเป็นระบบ

  • พัฒนาระบบบัญชีดิจิทัลแบบรวมศูนย์

  • ส่งเสริมการออมและการลงทุนในกิจกรรมเพื่อศาสนาและสังคม

  • สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริจาคและประชาชนทั่วไป

ในด้านการดำเนินงาน ธนาคารพระพุทธศาสนาจะทำหน้าที่เปิดบัญชีให้กับวัดทั่วประเทศภายใต้ระบบเดียวกัน วัดต้องดำเนินธุรกรรมผ่านระบบของธนาคารเท่านั้น พร้อมรายงานข้อมูลต่อ พศ. อย่างสม่ำเสมอ ธนาคารยังมีหน้าที่แนะนำวัดด้านการจัดการทางการเงิน และตรวจสอบรายการต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล

ดร.สำราญย้ำว่า แนวคิดนี้ไม่ได้เพียงตอบโจทย์ด้านความโปร่งใส แต่ยังช่วยยกระดับบทบาทของวัดให้เป็น “ผู้เล่นเชิงรุก” ทางเศรษฐกิจพุทธศาสนา ไม่ใช่เพียงผู้รับบริจาคแบบเดิม พร้อมระบุว่า หากไม่เร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ปัญหาเดิมย่อมวนกลับมา แม้จะมีการออกกฎหมายลงโทษพระภิกษุในประเด็นอื่นก็ตาม

ท้ายที่สุด ดร.สำราญเตือนถึงความพยายามออกกฎหมายห้ามวิพากษ์วิจารณ์พระพุทธศาสนา ว่าอาจกระทบต่อหลักประชาธิปไตยและเสรีภาพในการแสดงความเห็น พร้อมเสนอให้รัฐและพุทธศาสนจักรหันมาเน้นกลไกตรวจสอบจากภายใน และสร้างพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

“ถึงเวลาแล้วที่ระบบการเงินของวัดต้องถูกวางใหม่ภายใต้ความรับผิดชอบ โปร่งใส และเคารพสิทธิของทุกฝ่าย ธนาคารพระพุทธศาสนาไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่คือจุดเริ่มต้นของการคืนศรัทธาอย่างเป็นระบบ” — ดร.สำราญ ระบุ

รูปแบบการบริหารจัดการเงิน-ทรัพย์สินของคณะสงฆ์: แนวคิดธนาคารพระพุทธศาสนาและการปฏิรูปเชิงระบบ

บทคัดย่อ

การจัดการทรัพย์สินของวัดในประเทศไทยกำลังเป็นประเด็นสำคัญท่ามกลางกระแสสังคมที่เรียกร้องความโปร่งใสและกลไกตรวจสอบที่ชัดเจน ปัญหาความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการเงินของคณะสงฆ์ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับพระชั้นผู้ใหญ่ ได้ทำให้ศรัทธาของประชาชนต่อสถาบันสงฆ์สั่นคลอน บทความนี้วิเคราะห์บริบททางกฎหมาย แนวนโยบายของรัฐ ตลอดจนเสนอรูปแบบใหม่ของระบบการเงินของวัด โดยเสนอแนวคิดการจัดตั้ง “ธนาคารพระพุทธศาสนา” เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพย์สินของคณะสงฆ์ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ


1. บทนำ

ในสังคมไทยซึ่งพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางทางจิตใจของประชาชน วัดไม่เพียงเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมของทรัพยากรทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “ทรัพย์สินศาสนสมบัติ” ซึ่งได้จากการบริจาคของประชาชน ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อระบบการบริหารทรัพย์สินของวัดไม่มีมาตรการตรวจสอบที่เพียงพอ ทำให้เกิดช่องว่างที่นำไปสู่การทุจริต หรือใช้อำนาจในทางมิชอบของพระผู้ใหญ่ บทความนี้มุ่งเสนอแนวทางปฏิรูปเชิงระบบ โดยอิงจากแนวคิดการควบคุมทางกฎหมายและการจัดตั้งองค์กรทางการเงินเฉพาะกิจเพื่อรองรับภาระงานของวัดทั่วประเทศ


2. สถานการณ์ปัจจุบันและปัญหาเชิงโครงสร้าง

ผศ. ดร.กริช ภูญียามา จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า พระภิกษุระดับสังฆาธิการมีอำนาจในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดโดยไม่มีระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่พระเหล่านี้ได้รับเงินจากรัฐ (นิตยภัต) และมีสถานะใกล้เคียงเจ้าหน้าที่รัฐในหลายมิติ แต่กลับไม่อยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งทำให้ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

แม้ประเทศไทยมีกฎกระทรวงการดูแลและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. 2564 ที่กำหนดให้วัดถือเงินสดได้ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องนำเงินส่วนเกินเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดในนามวัด พร้อมจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายรายปี แต่การบังคับใช้กลับมีข้อจำกัดด้านการกำกับดูแลและการให้คำแนะนำเชิงเทคนิคจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งยังขาดทั้งบุคลากรและระบบสนับสนุนเชิงโครงสร้าง


3. ข้อเสนอ: แนวคิดการจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนา"

เพื่อลดปัญหาเชิงโครงสร้างที่กล่าวมา บทความนี้เสนอรูปแบบใหม่ของการจัดการทรัพย์สินคณะสงฆ์ผ่านการจัดตั้ง “ธนาคารพระพุทธศาสนา” ซึ่งมีลักษณะเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีเป้าหมายหลักดังนี้:

3.1 วัตถุประสงค์หลัก

  • บริหารเงินและทรัพย์สินของวัดอย่างโปร่งใส

  • พัฒนาระบบบัญชีดิจิทัลของวัดทั่วประเทศ

  • ตรวจสอบการใช้จ่ายของวัดตามกรอบงบประมาณและภารกิจศาสนา

  • ออมทรัพย์-ลงทุนในกิจกรรมเพื่อสังคมและศาสนาอย่างยั่งยืน

3.2 รูปแบบการดำเนินงาน

  • เปิดบัญชีวัดทุกแห่งภายใต้ระบบเดียวกัน

  • มีการจัดทำรายงานการเงินอัตโนมัติและส่งต่อ พศ.

  • วัดทุกแห่งต้องดำเนินธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารพระพุทธศาสนาเท่านั้น

  • ธนาคารมีหน้าที่แนะนำ และตรวจสอบความถูกต้องของรายการต่าง ๆ พร้อมให้คำปรึกษาทางการเงิน

3.3 จุดแข็งของระบบ

  • ปิดช่องโหว่การบริหารทรัพย์สินแบบส่วนตัว

  • ลดภาระการตรวจสอบแบบกระจายตัวของ พศ.

  • สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริจาค

  • ยกระดับวัดจากผู้รับบริจาคมาเป็นผู้มีบทบาทเชิงรุกทางเศรษฐกิจพุทธศาสนา


4. ประเด็นทางกฎหมายและข้อท้าทาย

แม้การออกกฎกระทรวงและ พ.ร.บ. ที่ควบคุมพระภิกษุจะดูเหมือนเป็นการป้องกันปัญหาเชิงพฤติกรรม แต่ ผศ. ดร.กริช ชี้ว่า การลงโทษทางอาญาอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากรากของปัญหาคือ “ระบบเงินวัด” ที่ไร้การตรวจสอบ การออกกฎหมายใหม่จำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบ เพราะจะมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ และหากไม่วางระบบบริหารจัดการอย่างเป็นธรรม ก็อาจกระทบต่อความมั่นคงของศาสนา

นอกจากนี้ ความพยายามผลักดันกฎหมายที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์พระพุทธศาสนา อาจขัดกับหลักการประชาธิปไตยและความโปร่งใส การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมและตรวจสอบ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องไม่ละเลย


5. สรุปและข้อเสนอเชิงนโยบาย

ระบบการบริหารทรัพย์สินของวัดจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างมากกว่าการพึ่งพามาตรการลงโทษในระดับปัจเจก แนวคิดการจัดตั้ง “ธนาคารพระพุทธศาสนา” จึงถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจและสามารถตอบโจทย์ในหลายมิติ ทั้งการควบคุม ตรวจสอบ ส่งเสริมศรัทธา และพัฒนาระบบการเงินวัดให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และยั่งยืน ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจนและเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...