วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เปิดบทวิเคราะห์แรง! “สีกากอล์ฟ” ไม่ใช่แค่ภัยศาสนา แต่สะท้อนวิกฤตศรัทธาในระบบคณะสงฆ์ไทย



"ดร.สำราญ” เปิดบทวิเคราะห์แรง! “สีกากอล์ฟ” ไม่ใช่แค่ภัยศาสนา แต่สะท้อนวิกฤตศรัทธาในระบบคณะสงฆ์ไทย แนะหยุดตีตราผู้หญิง – ตั้งคำถามต่อระบบสงฆ์ที่ไร้ภูมิคุ้มกันทางจริยธรรมในยุคดิจิทัล

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการด้านพุทธสื่อสารมวลชน (AI)   ได้เผยแพร่บทความทางวิชาการเรื่อง “สีกากอล์ฟ: ภัยต่อพระพุทธศาสนาหรือภาพสะท้อนความเปราะบางของระบบคณะสงฆ์ไทย” โดยระบุว่าปรากฏการณ์ “สีกากอล์ฟ” ซึ่งกลายเป็นคำฮิตในสื่อไทยช่วงหลัง เป็นมากกว่าข่าวอื้อฉาว แต่เป็นภาพสะท้อนโครงสร้างคณะสงฆ์ไทยที่ไร้กลไกควบคุมจริยธรรม และกำลังเปราะบางต่อกระแสโลกยุคดิจิทัล

ดร.สำราญชี้ว่า กรณีพระภิกษุมีความใกล้ชิดกับหญิงสาวในบริบทที่ไม่เหมาะสม เช่น การเดินทางไปสนามกอล์ฟหรือสถานที่หรูหรา นั้นแม้จะสะท้อนปัญหาศีลธรรมเฉพาะบุคคล แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ “คำถามต่อระบบ” ว่าเหตุใดจึงยังปล่อยให้พระบางรูปสามารถเข้าถึงความหรูหราและบริโภคนิยมได้ โดยไม่มีระบบตรวจสอบหรือกลไกยับยั้ง

“ภัยที่แท้จริงอาจไม่ใช่ ‘สีกา’ แต่คือ ‘ความล้มเหลวของโครงสร้างคณะสงฆ์’ ที่ไม่สามารถป้องกันหรือชี้นำพระภิกษุให้ดำรงในธรรมวินัยได้อย่างแท้จริง” ดร.สำราญกล่าว

เขาเตือนว่าการเหมารวมว่าผู้หญิงคือ “ภัยของสงฆ์” เป็นการสร้างวาทกรรมที่กดทับเพศ และบิดเบือนสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งเน้นเจตนาและการพ้นจากอาสวะ มิใช่การประณามเพศหญิง

นอกจากนี้ ดร.สำราญยังเสนอว่า ในโลกยุคดิจิทัล พระภิกษุควรได้รับการฝึกอบรม “ภูมิคุ้มกันทางจริยธรรมดิจิทัล” (Digital Ethics Immunity) เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยใหม่ เช่น ข่าวปลอม ภาพตัดต่อ deepfake หรือการถูกดิสเครดิตบนโซเชียลมีเดีย โดยไม่ปล่อยให้วาทกรรมเดิม ๆ อย่าง “สีกา” กลายเป็นเครื่องมือปกปิดความล้มเหลวของระบบภายใน

บทความยังเสนอข้อเสนอเชิงระบบ อาทิ

การปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรมให้ทันสมัย

การมีระบบตรวจสอบที่เป็นอิสระและโปร่งใส

การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของฆราวาสอย่างมีคุณภาพ

การสื่อสารต่อสาธารณชนอย่างมีหลักธรรม ไม่ใช้วาทกรรมตีตรา

“หากเรายังเอาแต่ว่าผู้หญิงเป็นภัย แต่ไม่กล้าตั้งคำถามกับระบบที่ปล่อยให้พระเข้าถึงสนามกอล์ฟ รถหรู และเงินจำนวนมากได้ง่าย ๆ นั่นแหละ คือภัยที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา” ดร.สำราญ กล่าวทิ้งท้ายอย่างตรงไปตรงมา

บทความทางวิชาการ

สีกากอล์ฟ: ภัยต่อพระพุทธศาสนาหรือภาพสะท้อนความเปราะบางของระบบคณะสงฆ์ไทย
โดย ดร.สำราญ สมพงษ์
นักวิชาการด้านพุทธสื่อสารมวลชน


บทคัดย่อ

กรณี "สีกากอล์ฟ" ที่ถูกกล่าวถึงในสื่อไทยช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความท้าทายหลายด้านที่พระพุทธศาสนากำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระภิกษุกับฆราวาสหญิง ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในสังคมสื่อใหม่ รวมถึงโครงสร้างควบคุมภายในคณะสงฆ์ บทความนี้วิเคราะห์ปรากฏการณ์ "สีกากอล์ฟ" โดยใช้กรอบแนวคิดพุทธวินัย จริยธรรม และทฤษฎีวาทกรรม เพื่อชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นภัยต่อศาสนา อาจมิใช่ตัวบุคคล หากแต่เป็นระบบที่ไร้กลไกป้องกันความเสื่อมจากภายใน


1. ปรากฏการณ์ “สีกากอล์ฟ” และการรับรู้ของสังคม

“สีกากอล์ฟ” เป็นคำที่ถูกบัญญัติโดยสื่อไทยในบริบทของข่าวที่พระภิกษุมีความใกล้ชิดกับฆราวาสหญิงในลักษณะไม่เหมาะสม โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปสนามกอล์ฟหรือสถานที่หรูหรานอกวัด ซึ่งส่งผลให้สาธารณชนเกิดความคลางแคลงใจต่อสมณเพศ และตั้งคำถามถึงศีลธรรมของพระภิกษุในสังคมร่วมสมัย

ในทางพระธรรมวินัย การอยู่ใกล้ชิดสตรีโดยลำพัง หรือรับของจากหญิงโดยไม่มีพยาน เป็นสิ่งที่มีข้อห้ามชัดเจน เพื่อป้องกันความเสื่อมแห่งสิกขาบทและภาพลักษณ์ของสงฆ์ อย่างไรก็ตาม การกล่าวหาหรือประณามเพียงเพราะความใกล้ชิด โดยไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจน อาจสะท้อนความอคติทางเพศและความล้มเหลวในการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อพระวินัย


2. วาทกรรม “สีกา” กับการตีตราทางศาสนา

คำว่า “สีกา” มักถูกใช้ในลักษณะเหยียดหยามหรือลดทอนศักดิ์ศรีของหญิงที่ใกล้ชิดกับพระ ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือถูกดึงเข้ามาในความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ การตีตราดังกล่าวไม่เพียงลดคุณค่าของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเบี่ยงเบนประเด็นออกจากโครงสร้างที่ควรตรวจสอบ เช่น ความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายเงินวัด ระบบอภิสิทธิ์ในคณะสงฆ์ หรือการขาดระบบตรวจสอบภายใน

ในขณะที่พระธรรมวินัยเน้นเรื่องเจตนา การยึดมั่น และการปล่อยวาง แต่สังคมไทยกลับมักใช้ “ภาพลักษณ์” และ “ข่าวลือ” เป็นเครื่องตัดสิน ถูกผิด และศีลธรรม


3. สื่อใหม่และการเปลี่ยนผ่านของสมณเพศในยุคดิจิทัล

ปรากฏการณ์ “สีกากอล์ฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นในยุคพุทธกาล หากแต่เป็นผลิตผลของสื่อดิจิทัลที่รวดเร็ว ตัดสินเร็ว และมีพลังสร้างภาพจำสูง ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ หรือแม้แต่การถูกจัดฉาก สามารถนำไปสู่การล่มสลายของภาพลักษณ์พระสงฆ์ทั้งองค์

พระภิกษุในยุคดิจิทัลจึงจำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันด้านดิจิทัล (digital literacy) ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงภัยจากฆราวาสหญิงเท่านั้น แต่รวมถึงข่าวปลอม deepfake และการถูกดิสเครดิตผ่านโซเชียลมีเดีย


4. โครงสร้างสงฆ์ไทย: ความเปราะบางและการไร้กลไกป้องกันภายใน

กรณีเช่น “สีกากอล์ฟ” ยังสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบภายในคณะสงฆ์ไทยที่ไม่สามารถตรวจสอบและป้องกันพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีพระธรรมวินัยอยู่ แต่หากไม่มีระบบติดตาม ตรวจสอบ และส่งเสริมพระที่มีวัตรปฏิบัติดี ก็เท่ากับปล่อยให้ภาพลักษณ์ของสงฆ์ถูกบิดเบือนจากภายนอกอย่างไร้ภูมิคุ้มกัน


5. การตั้งคำถามเชิงพุทธ: ใครคือภัยแท้จริงของศาสนา?

แทนที่จะถามว่า “สีกากอล์ฟเป็นภัยหรือไม่” อาจต้องย้อนถามว่า

  • เราได้สร้างระบบวัดและสงฆ์ให้โปร่งใสและตรวจสอบได้หรือยัง?

  • ทำไมพระสงฆ์บางรูปจึงเข้าถึงบริบทหรูหรา เช่น สนามกอล์ฟ รถหรู โดยไม่มีผู้กำกับดูแล?

  • สตรีคือภัย หรือเรายังไม่สามารถปลูกฝังวินัยและสติในระบบการศึกษาพระสงฆ์ได้เพียงพอ?


ข้อเสนอเชิงระบบ

  • ปฏิรูปการศึกษาในสำนักเรียนพระปริยัติธรรมให้เพิ่มเนื้อหาจริยธรรมในโลกยุคใหม่

  • สร้างระบบ “จริยธรรมดิจิทัลสำหรับพระสงฆ์”

  • ใช้กลไกฆราวาสช่วยตรวจสอบและสนับสนุนวัดในด้านบริหารจัดการอย่างโปร่งใส

  • ลดการใช้วาทกรรมตีตรา โดยส่งเสริมวาทกรรมสติและการไต่สวนอย่างยุติธรรม


บทสรุป

กรณี “สีกากอล์ฟ” ไม่ใช่เพียงเรื่องของหญิงใกล้ชิดพระ แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าโครงสร้างสงฆ์ไทยกำลังอยู่ในภาวะเปราะบางทางจริยธรรมและภาพลักษณ์ หากไม่ปฏิรูปเชิงระบบ พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันทางพุทธปัญญาให้พระภิกษุในยุคดิจิทัล ก็อาจนำไปสู่การเสื่อมศรัทธาโดยรวมของพุทธศาสนา

การมอง “สีกา” เป็นภัยอาจง่ายและสะใจ แต่การมอง “ระบบ” ที่ทำให้สงฆ์เปราะบาง คือความกล้าหาญทางปัญญาที่ศาสนาไทยต้องการในเวลานี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทบาทขับเคลื่อนจัดตั้ง ธนาคารพระพุทธศาสนา ของ ดร.นิยม เวชกามา

การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและพลวัตทางการเมืองในการขับเคลื่อนจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย": กรณีศึกษาแนวคิดและบทบาทของ ด...