วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมคิดชี้รัฐธรรมนูญ 60 แช่แข็งประเทศ – วุฒิสภาขวางทุกความพยายามแก้ไข ดร.สำราญวิเคราะห์รัฐสภาล้มเหลวจากโครงสร้างอำนาจที่เอื้อสถานะเดิม



วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 – นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยระบุว่า ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีบางกลุ่มทางการเมืองรวมถึงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ไม่ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจริง แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แทบทุกพรรค

นายสมคิดเปิดเผยว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้การแก้ไขต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. อย่างน้อย 1 ใน 3 หรือ 84 คน ซึ่งที่ผ่านมาแทบทุกร่างแก้ไขไม่สามารถฝ่าด่านนี้ได้ แม้กระทั่งในสมัยรัฐบาลทหารที่สามารถเสนอร่างแก้ไขมาตรา 256 ขึ้นสภาได้ แต่เมื่อเข้าสู่วาระพิจารณาของ ส.ว. กลับถูกปฏิเสธทั้งหมด

“แม้ประชาชนจะเห็นด้วยผ่านประชามติ ก็ยังไม่อาจผ่านเสียง ส.ว. ได้ เพราะที่มาของ ส.ว. เองก็มาจาก คสช. ซึ่งเป็นการปิดประตูไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง รัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้มีไว้ปราบโกง แต่มีไว้ปราบรัฐบาลที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากบางฝ่ายในอำนาจ” นายสมคิดกล่าว

เขายังชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ประเทศกำลังเผชิญ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อจำกัดอำนาจฝ่ายบริหารจากการเลือกตั้ง และเปิดช่องให้กลุ่มตรงข้ามใช้กลไกองค์กรอิสระในการฟ้องร้องรัฐบาลอย่างไม่เป็นธรรม จนส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้านโยบายได้อย่างมั่นคง

ในประเด็นนี้ ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวการเมืองอาวุโส ได้วิเคราะห์ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกตราขึ้นภายใต้บริบทของรัฐบาลทหาร ภายหลังการรัฐประหารในปี 2557 โดยมีเป้าหมายที่ประกาศไว้คือ “การปราบปรามการทุจริต” แต่ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญกลับกลายเป็นเครื่องมือในการคงอำนาจ และยับยั้งการเติบโตของประชาธิปไตยมากกว่าการส่งเสริมธรรมาภิบาล

ดร.สำราญชี้ว่า กลไกในมาตรา 256 ซึ่งกำหนดให้ต้องได้รับเสียง ส.ว. ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ความพยายามของรัฐสภาต้องล้มเหลวเสมอ แม้จะมีเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. และประชาชนผ่านประชามติแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ การจับมือของกลุ่มการเมืองบางส่วนกับ ส.ว. เพื่อขัดขวางการเปลี่ยนแปลง ยังสะท้อนถึง “ยุทธศาสตร์ตรึงอำนาจ” ซึ่งมีเป้าหมายไม่ให้ประชาธิปไตยเบ่งบาน และรักษาความเปราะบางของระบบการเมืองไว้ เพื่อไม่ให้เสียงจากประชาชนมีผลต่อโครงสร้างอำนาจอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ยังถูกวิพากษ์ว่าเป็น “เครื่องมือแช่แข็งประเทศ” มากกว่าเป็นกลไกปราบโกงจริงจัง เนื่องจากเปิดโอกาสให้การตรวจสอบกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง มากกว่าการคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากทั้งมุมมองของฝ่ายการเมืองและนักวิเคราะห์ทางการเมือง สะท้อนชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผ่านมาประสบความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากโครงสร้างของรัฐธรรมนูญเองที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน และตรึงอำนาจไว้ในกลุ่มที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง

หากประเทศไทยต้องการก้าวไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน เสถียร และตอบสนองต่อประชาชนอย่างแท้จริง จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการ “ปลดล็อก” โครงสร้างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 256 ที่เป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลง

ดร.สำราญเสนอว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญควรดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างกลไกรัฐสภาที่เป็นกลางและยึดหลักการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง เพื่อให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือของประชาชน ไม่ใช่กลไกป้องกันอำนาจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

“หากรัฐธรรมนูญยังคงเป็นเพียงภาพลวงตาของประชาธิปไตย ความหวังในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนก็คงไม่อาจเป็นจริงได้ในเร็ววัน” ดร.สำราญ กล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...