เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวอาวุโส แสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลไทยว่า แม้จะมีความพยายามเชิงกฎหมายและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง แต่หากไม่ยกระดับการประสานงานระหว่างประเทศ และสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนอย่างจริงจัง ปัญหาดังกล่าวจะยังคงเป็น “ภัยแฝงถาวร” ต่อสังคมไทย
ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ข้าราชการเกษียณและนักเรียน นักศึกษา ซึ่งตกเป็นเหยื่อหลอกลวงทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากภาครัฐระบุว่า แม้รัฐบาลจะออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) แต่กลุ่มผู้กระทำผิดยังสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการและช่องทางในการโจมตีได้ตลอดเวลา
“เรากำลังสู้กับอาชญากรที่ใช้ AI และเทคโนโลยีระดับสูง ในขณะที่หลายภาคส่วนของรัฐยังทำงานแบบราชการดั้งเดิม”
ดร.สำราญกล่าว พร้อมระบุว่า ความร่วมมือข้ามชาติกับแพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น Facebook หรือผู้ให้บริการ Hosting ต่างชาติ ยังเป็นจุดอ่อนที่แก๊งมิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวง
ด้านรัฐบาลโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อ 21 กรกฎาคม 2568 ว่า หลังพระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ รัฐสามารถปิดเว็บพนันและเว็บโป๊ได้มากขึ้นจากเดือนละ 10,000 เว็บ เป็น 100,000 เว็บต่อเดือน ด้วยการใช้ AI ที่พัฒนาโดยกระทรวงดีอี พร้อมย้ำว่าไม่มีปัญหาการประสานงานระหว่างหน่วยงาน และอยู่ระหว่างประสานกับ Interpol ออกหมายแดง “ก๊ก อาน” ผู้ต้องหาสำคัญที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ
แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ดร.สำราญตั้งข้อสังเกตว่า
“การจับผู้ต้องหารายเล็กไม่ทำให้ปัญหาสิ้นสุด ต้องมีความสามารถเชิงนิติรัฐในการล่าตัวปลาใหญ่ข้ามพรมแดน พร้อมกันนั้น เราต้องไม่ลืมให้ความรู้ประชาชนในเชิงรุก โดยเฉพาะกลุ่มที่มักตกเป็นเหยื่อ”
ดร.สำราญยังเสนอแนวทางเชิงนโยบายเพิ่มเติม เช่น การบังคับให้แพลตฟอร์มต่างชาติตั้งตัวแทนรับผิดชอบในไทย การสร้างระบบฐานข้อมูลกลางให้ประชาชนตรวจสอบเบอร์โทรหรือบัญชีต้องสงสัย และการยกระดับ Digital Literacy ในวงกว้าง
“ถ้าเรามัวแต่ตามปิดเว็บ เราจะวิ่งตามอาชญากรไม่ทัน สิ่งสำคัญคือทำให้ประชาชนไม่ถูกหลอกตั้งแต่แรก”
ทั้งนี้ แนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างกลไกปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ยังต้องการความต่อเนื่อง ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการปรับวิธีคิดจาก “การตามแก้ปัญหา” เป็น “การป้องกันเชิงรุก” ที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ
บทความทางวิชาการ
หัวข้อ: วิเคราะห์แนวทางการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลไทย
บทนำ
ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ถือเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แก๊งเหล่านี้ใช้วิธีการที่ซับซ้อนและพัฒนารูปแบบอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลอมแปลงเป็นหน่วยงานราชการ การส่งลิงก์ติดมัลแวร์ และการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างประเทศเพื่อหลอกลวงประชาชน ข้อมูลจากภาครัฐพบว่ากลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบมีทั้งข้าราชการบำนาญ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ซึ่งถูกล่อลวงจนเกิดความเสียหายทางการเงินจำนวนมาก
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงนโยบายผ่านพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) อย่างเป็นทางการ เพื่อลดความเสียหายและสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการรับมืออาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบนี้ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลไทยในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมทั้งเสนอข้อพิจารณาเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
แนวทางการปราบปรามของรัฐบาลไทย
จากข้อมูลที่ปรากฏในการอภิปรายของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 และคำชี้แจงจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สามารถสรุปแนวทางหลักที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ ดังนี้:
-
การออกกฎหมายที่มีบทลงโทษชัดเจน:
รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดฯ เพื่อเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และกำหนดความรับผิดชอบต่อผู้ให้บริการโทรคมนาคม หากปล่อยปละให้เกิดการแนบลิงก์หลอกลวง -
การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ (ศปอท.):
เป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อรวบรวมข้อมูลและเร่งการบังคับใช้กฎหมาย -
การพัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจจับและปิดเว็บผิดกฎหมาย:
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพัฒนา AI เพื่อตรวจสอบและปิดกั้นเว็บไซต์พนันและเว็บไซต์ลามกอนาจาร โดยสามารถปิดเว็บได้เพิ่มจาก 10,000 เว็บ/เดือน เป็น 100,000 เว็บ/เดือน -
มาตรการด้านการคืนเงินและดูแลผู้เสียหาย:
การกำหนดกระบวนการคืนเงินและอำนวยความสะดวกในการร้องเรียนแก่ผู้เสียหาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ข้าราชการเกษียณ และนักเรียนนักศึกษา -
การผลักดันความร่วมมือกับแพลตฟอร์มต่างชาติ:
โดยเฉพาะ Facebook ซึ่งมิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวง รัฐบาลไทยมีแนวโน้มจะดำเนินการกดดันให้แพลตฟอร์มเหล่านี้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบกรณีเกิดความเสียหาย
วิเคราะห์ปัญหาและข้อท้าทาย
แม้จะมีความพยายามในเชิงนโยบายและเทคโนโลยี แต่ยังคงปรากฏข้อท้าทายหลายประการในการดำเนินการ ได้แก่:
-
การประสานงานระหว่างหน่วยงาน:
แม้รัฐมนตรีจะยืนยันว่าไม่มีปัญหาการประสานงาน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมายังพบว่าหลายหน่วยงานขาดการบูรณาการเชิงลึก ขาดระบบฐานข้อมูลร่วม และกระบวนการสื่อสารที่คล่องตัว -
การเข้าถึงผู้กระทำผิดรายใหญ่:
ตัวอย่างกรณี “ก๊ก อาน” ซึ่งยังไม่สามารถจับกุมได้สะท้อนความยากในการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้มีอิทธิพลที่อยู่ต่างประเทศ และหลบเลี่ยงผ่านระบบโครงข่ายนานาชาติ -
ข้อจำกัดด้านเขตอำนาจศาลระหว่างประเทศ:
การที่เว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่นอกประเทศ ทำให้การดำเนินคดีตามกฎหมายไทยมีข้อจำกัด ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์กรอย่าง Interpol -
ความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีของมิจฉาชีพ:
แม้จะปิดเว็บได้เป็นจำนวนมาก แต่ผู้กระทำผิดยังสามารถเปลี่ยน URL หรือแพลตฟอร์มใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจสอบต้นตอที่แท้จริง
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
เพื่อให้แนวทางการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควรพิจารณาข้อเสนอเชิงนโยบายดังนี้:
-
พัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การสืบสวนข้ามพรมแดน และการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ
-
ส่งเสริมความรู้ดิจิทัล (Digital Literacy) แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ข้าราชการเกษียณและนักเรียน ซึ่งมักเป็นเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพ
-
ออกกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มข้ามชาติ เพื่อบังคับให้แพลตฟอร์มรับผิดชอบหรือมีตัวแทนในประเทศที่สามารถดำเนินการตามกฎหมายไทยได้
-
สร้างระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ โดยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบเบอร์โทรหรือบัญชีที่ต้องสงสัยผ่านระบบกลางที่พัฒนาโดยรัฐหรือร่วมกับเอกชน
สรุป
การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการ ทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และการสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ แม้รัฐบาลจะมีการดำเนินงานอย่างจริงจัง ทั้งในเชิงกฎหมายและเทคโนโลยี แต่ยังมีความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมุ่งหวังให้ประชาชนปลอดภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์จะต้องเริ่มจากการป้องกันเชิงรุกและการลงโทษเชิงลึกต่อผู้กระทำผิดรายใหญ่ให้เป็นรูปธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น