วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566

“โอ เทพรัตน์” ผู้รังสรรค์ของที่ระลึกเอเปค 2022 เร่งยกระดับเศรษฐกิจฐานราก



“โอ เทพรัตน์” ผู้รังสรรค์ของที่ระลึกเอเปค 2022 เปิดทศวรรษใหม่ CSV การสร้างคุณค่าร่วม เร่งยกระดับเศรษฐกิจฐานราก  ผ่านการแสดงผลงานศิลป์ CRAFT NEXT “O TEPPARAT : The CSV Creator” 

นายเทพรัตน์ สงเคราะห์ หรือ “โอ เทพรัตน์” ในฐานะนักคิด นักเขียน และได้ชื่อว่าเป็นนักอภิปรัชญา  นักสร้างสรรค์ นักสื่อสาร นักวิทยาศาสตร์ และผู้เป็นเจ้าของแนวความคิดธุรกิจจิตสาธารณะที่ได้นำผลิตภัณฑ์ชุมชนมาพัฒนาสร้างมูลค่าและหลายผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้นำมาพัฒนาต่อยอดเป็นของที่ระลึกสำหรับผู้นำโลกในการประชุมเอเปค 2022 ที่ผ่านมา 

โอ เทพรัตน์ เปิดเผยถึงการจัดงานนิทรรศการ CRAFT NEXT ที่มีแนวคิดหลักในการจัดงานคือการสร้างสรรค์คุณค่าร่วม หรือ Creating Shared Value (C S V) “ในนิยามของผม C S V จะมี 3 องค์ประกอบด้วยกัน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาการทำงานของผม คือ “ธุรกิจจิตสาธารณะ” ที่ทำมาตลอดกว่า 10 ปี เพราะผมเชื่อว่าโลกนี้คือการให้ที่แท้จริง นอกจากจะทำให้สังคมให้ผู้อื่นแล้ว เราต้องไม่เบียดเบียนตัวเราด้วย เราควรซื่อสัตย์ต่อตัวเราเองว่าเราทำธุรกิจหรือทำงานก็เพื่อต้องการผลประกอบการหรือผลสำเร็จที่ดีต่อชีวิตตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันเรายังสามารถให้สิ่งที่เราทำนั้นเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วย ทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อมของโลกที่สงบสุข สรุปคือ คุณค่าร่วมที่ดีที่สุด จะต้องมีคุณค่าร่วมกันทั้งระหว่างเราและผู้อื่น ทั้งในภาคการค้าและสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยซึ่งก็คือโลกของเราอันเหมือนบ้านของเราทุกคน ซึ่งผมนิยามเป็นประโยคสั้นๆ ว่า C S V คือ เราอยู่ดี เขาอยู่ได้ ไร้พิบัติ” 

การจัดแสดง CRAFT NEXT “O TEPPARAT : The CSV Creator”  ครั้งนี้เป็น edition แรกของการจัดแสดงผลงานศิลป์สร้างสรรค์ภายใต้แนวคิดธุรกิจจิตสาธารณะ หรือ CSV ที่ปรากฎให้เห็นทั้งรูปแบบกายภาพและจิตภาพ โดยแนวคิดของงานทั้งหมดจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ การใช้แนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมนำนั้นจะทำให้มีโอกาสที่จะพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ เกิดเป็นห่วงโซ่แห่งคุณค่าก่อนจะตกผลึกรวมก้อนเป็นแก่นแกนที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป 

ภายในงานมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ต้นแบบและเบื้องหลังชิ้นงานของที่ระลึกจากราชอาณาจักรไทยสำหรับผู้นำโลกในการประชุมเอเปค 2022 รวมถึงงานศิลป์สร้างสรรค์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนที่จัดทำขึ้นจากแนวคิด Creating Shared Value และระบบเศรษฐกิจใหม่ BCG Model จำนวน 20 ชิ้นงาน ที่ได้ชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเอกด้วยทุนชุมชนและทุนวัฒนธรรม อาทิ ชะลอมโมโนแกรม ภาพดุนโลหะรัชตะแสนตอก กล่องใส่เครื่องประดับดุนโลหะรัชตะหมื่นตอก ชุดเครื่องผ้าจตุราภรณ์ เก้าอี้เงินแสนตอก กระจกลิเก ฉากใหญ่ กระเป๋าเรซิ่นตีนจก ชุดที่นั่งมหภาค โนราราตรี สุวิมลฮิ้วเมี่ยน ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าด้วยทุนชุมชน OTOP นวัตวิถี บรรจุภัณฑ์วัชพืชพรีเมียม โดยชิ้นงานทั้งหมดจะจัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ ณ ลิฟวิ่ง แกลลอรี่ 1 ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน  

“ผมเชื่อว่าแรงบันดาลใจของท่านจะส่งให้ท่านปล่อยพลังที่ดีงามที่อาจเก็บไว้เพียงตน ให้ออกมาจากคนสู่คน จากคนสู่ครอบครัว จากครอบครัวสู่สังคม ประเทศชาติ และสู่โลกในที่สุด เพราะ CRAFT หมายถึงงานทำมือ อนาคตของเราและของโลกก็เช่นกัน มันจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับมือของเราที่จะปั้นมันออกมาให้เป็นเช่นนั้น” นายเทพรัตน์กล่าวสรุป

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมชื่นชมผลิตภัณฑ์งานศิลป์ หรือสามารถสั่งจองชิ้นงานที่ชื่นชอบได้ นิทรรศการ CRAFT NEXT “O TEPPARAT : The CSV Creator” จัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ ณ ลิฟวิ่ง แกลลอรี่ 1 ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อคุณสุภาพร รุ่งเจริญเกียรติ โทร. 084 090 1212

เทพรัตน์ สงเคราะห์ หรือ “โอ เทพรัตน์”  นักคิด นักเขียน และได้ชื่อว่าเป็นนักอภิปรัชญา นักสร้างสรรค์ นักสื่อสาร และนักวิทยาศาสตร์ มีประสบการณ์ร่วมงานกับซูเปอร์แบรนด์แฟชั่นของโลกมากว่า 10 แบรนด์ และได้นำประสบการณ์ความรู้ความสามารถมาใช้พัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนมากกว่า 10,000 ผลิตภัณฑ์ โดยงานแต่ละชิ้นได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานระดับ Master Piece ที่ทรงคุณค่า รวมถึง โอ เทพรัตน์ เคยมีผลงานที่ได้รับการบันทึกลงใน Guinness Book World Record ถึงสองครั้งด้วยกัน


สถาบันพระปกเกล้าผนึกพลังเครือข่าย นำร่องต้าน Bully ในจังหวัดยะลา


วันอังคารที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.30-16.00 น. ที่สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดยะลา  สถาบันพระปกเกล้า โดยสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล ร่วมกับสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดยะลา โดยมีผู้แทน สช.อำเภอต่างๆเข้าร่วม และสมาคมการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา จัดประชุมหารือการขับเคลื่อนการสร้างสันติวัฒนธรรม  ในสถานศึกษา

นายวิทยาศิลป์ สะอา  ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดยะลา กล่าวต้อนรับ จากนั้น นายไพศาล อาแซ นายกสมาคมการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา ได้รายงานภาพรวม การศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา และนายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า  ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการและภาพรวมการขับเคลื่อนสันติวัฒนธรรมในสถานศึกษา 

นอกจากนั้นดร.ชลัท ประเทืองรัตนา นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล ได้กล่าวถึง  ผลการดำเนินงานการสร้างเครือข่ายกับการขับเคลื่อนสันติวัฒนธรรมในสถานศึกษาที่ผ่านมาและหารือแนวทางในการผลักดันงานด้านสันติวัฒนธรรมในสถานศึกษาในจังหวัดยะลาในอนาคต   



ที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันคือ กำหนดจัดอบรมนำร่องเพื่อสร้างสันติวัฒนธรรมในสถานศึกษาในจังหวัดยะลา ในวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2566 ณ ศึกษาธิการภาค โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนระดับมัธยมปลายหรือมัธยมต้น จำนวน 13 โรงเรียน โรงเรียนละ 4 คน จาก 4 อำเภอ รวมเป็นนักเรียน 52 คน และมีครูพี่เลี้ยงโรงเรียนแห่งละ 1 คนมาร่วมกิจกรรมด้วย รวมครู 13 คน


"ปลัด มท." นิมนต์พระร่วมประชุมขับเคลื่อนงาน "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ขับเคลื่อนทุกพื้นที่เป็น "หมู่บ้านยั่งยืน"



เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยได้รับเมตตาจากพระพิพัฒน์วชิโรภาส พระปัญญาวชิรโมลี ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม โดยมี คณะที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายสมคิด จันทมฤก นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายปรีชาเดชพันธุ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยส่วนภูมิภาค ส่วนราชการส่วนกลางประจำภูมิภาค ผู้อำนวยการกลุ่มงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบ

ก่อนการประชุม นายสุทธิพงษ์ ได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง พร้อมทั้งเป็นกำลังใจในการมุ่งมั่นขับเคลื่อนการบริหารราชการจังหวัดในฐานะขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณเพื่อทำให้พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดพัทลุงได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ดังปณิธานมหาดไทยที่ได้ปฏิบัติกันสืบต่อมาว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”

จากนั้น นายสุทธิพงษ์ ได้มอบแนวทางในการขับเคลื่อนการทำงานของกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องต่างๆ ได้แก่ 1.การเตรียมการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอ โดยเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องประชุมซักซ้อมพร้อมกำชับ ข้าราชการทุกคนต้องการวางตัวเป็นกลางทางการเมืองปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น สามารถร่วมสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ในช่วงนอกเวลาราชการ และต้องไม่ใช้เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปใช้ในการสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง 

และ 2.การขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนผ่านการดำเนินโครงการหมู่บ้านยั่งยืน ด้วยการเอาใจใส่ในการขับเคลื่อนภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการพึ่งพาตนเอง ลดรายจ่าย และเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารรวมถึงด้านความสะอาด เพื่อประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพ ได้ปลูกพืชผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหารตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นสำคัญ 

และจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน รวมทั้งกิจกรรมเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคี ความรัก ความอบอุ่น ของสมาชิกในครอบครัวซึ่งเมื่อทุกครอบครัวมีความรัก ความอบอุ่น ก็จะส่งผลให้หมู่บ้านมีความรัก ความสามัคคี และส่งผลให้ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ และทั้งจังหวัด เป็นพื้นที่ที่มีแต่คนรักกัน คนเคารพนบนอบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้รักสามัคคี เอื้ออาทรกัน เฉกเช่นที่จังหวัดสกลนคร ณ บ้านดอนกอย ต.สว่างอ.พรรณานิคม ที่ได้รับการสนับสนุนการดูแลจากผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานช่วยทำให้หมู่บ้านมีความสะอาด สวยงาม เป็นครัวเรือนที่พัฒนาแล้วอย่างเป็นรูปธรรม โดยการใช้สอยพื้นที่รอบบ้านปลูกพืชผักสวนครัวกันอย่างเต็มที่ทุกหลังคาเรือน และมีการบริหารจัดการขยะด้วยการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนทุกครัวเรือน อันเป็นการขยายผลส่งเสริมการลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจังที่ทำอย่างต่อเนื่อง และประการสำคัญ คือ การถ่ายทอดไปยังลูกหลานเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

“จุดมุ่งหมายสำคัญของการขับเคลื่อนอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างยั่งยืน คือ การบูรณาการงานทุกอย่างในพื้นที่ภายใต้การบริหารงานของ “นายอำเภอ” ด้วยการมุ่งขับเคลื่อนการสร้าง“ทีมจิตอาสา” จาก 7 ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาคผู้นำวิชาการภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ค้นหาผู้นำ 7 ภาคีให้ได้เพื่อให้เกิด “ทีมอำเภอ” ที่มีความเข้มแข็ง และแม้ว่านายอำเภอจะย้ายไปรับราชการที่ใด หรือเกษียณอายุราชการ ทีมเหล่านี้จะยังคงมุ่งมั่นทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับอำเภอของพวกเขา เพราะพวกเขาคือคนที่มีจิตอาสาในพื้นที่ นอกจากนี้ นายอำเภอต้องพัฒนา “ทีมตามกฎหมาย” เช่น ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบประจำตำบล พัฒนากร เกษตรตำบล สาธารณสุข และส่วนราชการอื่นๆ ในพื้นที่ ให้มีความเข้มแข็ง รู้จักหน้าที่และทุ่มเทปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่อย่างแข็งขัน รวมทั้งกระตุ้นปลุกเร้า “ทีมคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.)” อันประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ให้มีความเข้มแข็งและเป็นผู้นำในการระดมสรรพกำลังไปทำให้เกิดหมู่บ้านยั่งยืน ตามเป้าหมายที่ชาวมหาดไทยทุกคนได้กำหนดร่วมกันที่จะเลือกหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาน้อยที่สุด ตำบลละ 1 หมู่บ้าน รวม 7,255 หมู่บ้าน ให้เป็น “หมู่บ้านยั่งยืน” และสำหรับหมู่บ้านอื่นๆ ในพื้นที่ตำบล ก็ต้องส่งเสริมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วยกัน เพราะนายอำเภอต้องดูแลประชาชนทุกตำบล และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องดูแลประชาชนทุกอำเภอ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนงานของชาวมหาดไทย คือ “การทำงานเชิงระบบ” ซึ่งพวกเราทุกคนในฐานะ “ราชสีห์ผู้มีความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน” และผู้ที่มีความตั้งอกตั้งใจที่จะทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืน ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้นำของจังหวัดต้องให้ความสำคัญ และเอาใจใส่ในการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ ด้วยการผลักดันให้ท่านนายอำเภอเป็น “ผู้นำทัพ” ในสนามรบของพื้นที่อำเภอ นั่นคือ“ต้องทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ทำให้ทุกอำเภอเป็น “อำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” ที่แท้จริง ที่ประชาชนทุกครอบครัวอยู่ด้วยความรัก ความสามัคคีในสภาพแวดล้อมที่สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองในเรื่องปัจจัย 4 ซึ่ง “ถ้าทุกบ้านดี หมู่บ้านนั้นก็ดี ถ้าทุกหมู่บ้านดี ตำบลนั้นก็ดี ถ้าทุกตำบลดีอำเภอก็จะดี” ดังบันทึกข้อตกลง (MOU) ที่กระทรวงมหาดไทยได้ลงนามร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆอาทิ “MOU บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน” ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม “MOU การดำเนินโครงการ “วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ร่วมกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม และ “การประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนกับสหประชาชาติประจำประเทศไทย”

จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ได้ร่วมกันนำเสนอและแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานในระดับพื้นที่ เช่น การบริหารงบประมาณตามแนวทางการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงบประมาณ การเตรียมความพร้อมบริหารจัดการภัยแล้ง การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัย การขับเคลื่อนสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก เพื่อลดภาวะคลอดก่อนกำหนด การเตรียมการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตลาดกลาง Green Market เพื่อชุมชน เป็นต้น

“ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเอาใจใส่ช่วยเหลือและเอาจริงเอาจังในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน ด้วยการวาง timeline ในการสนับสนุนบทบาทของท่านนายอำเภอ เพื่อต่อยอดและขับเคลื่อนต่อเนื่องจากการที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดฝึกอบรมโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ พร้อมทั้งติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในที่ประชุมกรมการจังหวัดและการนำเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนาพื้นที่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีผู้นำ คือ “นายอำเภอ” สามารถขับเคลื่อนเป็นไปอย่างประสบความสำเร็จและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานและภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่” นายสุทธิพงษ์ กล่าว 


"นิสิตสันติศึกษาป.โท มจร" ทำวิทยานิพนธ์วิจัย "โคกหนองนา" สร้างสันติภาพกินได้



วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๖ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท, ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เปิดเผยว่า เป็นประธานสอบโครงร่างสารนิพนธ์ผ่านออนไลน์ สำหรับนิสิตระดับปริญญาโท รุ่น ๙ สาขาวิชาสันติศึกษา มจร จำนวน ๕ เล่ม โดยเป็นการนำพุทธสันติวิธีไปบูรณาการวิเคราะห์ตามบริบทของผู้วิจัย โดยการทำวิจัยระดับปริญญาโท เป็นจินตามยปัญญา มุ่งการคิดวิเคราะห์ เช่น การถอดบทเรียน การศึกษาพื้นที่แล้วถอดรูปแบบมาวิเคราะห์ จึงต้องเข้าใจ “วิธีคิด วิธีวิจัย วิธีวิเคราะห์ วิธีเขียน วิธีนำเสนอ” โดยการทำวิจัยระดับปริญญาโทจะต้องมองถึง “ปัญหาวิธีการแก้ปัญหา และการนำเสนอการแก้ปัญหา” โดยนิสิตระดับปริญญาจะต้องวิเคราะห์เป็นสามารถบูรณาการกับหลักพุทธสันติวิธี 

จึงขออนุโมทนากับคณะกรรมการและที่ปรึกษาในการผนึกกำลังในครั้งนี้   โดยงานวิจัยมีความน่าสนใจประกอบด้วย “โคกหนองนา ศรัทธาชาวพุทธเจเนอเรชั่นวาย การสื่อสารเพื่อลดช่องว่างระหว่างวัยในองค์กร การแก้ปัญหายาเสพติดของชุมชนกุฎีจีน และการสื่อสารของผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนต้นแบบ” ถือว่าเป็นงานวิจัยที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระดับชีวิต ชุมชน องค์กร สังคม สถาบันทางศาสนา และประเทศชาติ  

โดยปัจจุบันหลักสูตรสันติศึกษาในระดับปริญญาโทกำลังเปิดรับสมัครนิสิต รุ่น ที่ ๑๑ ซึ่งจะเป็นรุ่นที่เรียนภายใน ๒ ปี โดยมุ่งเข้าใจสันติภายในและสันติภายนอก ยกระดับเป็นวิศวกรสันติภาพ ภายใต้คำว่า “สติ ขันติ สันติ” โดยศึกษา ๔ มิติ ประกอบด้วย “ความขัดแย้งนอก-ใน  ความรุนแรงนอก-ใน  สันติวิธีนอก-ใน และพุทธสันติวิธี” ท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่  พระธเนศ  ฐานิโย  โทรศัพท์  ๐๖๔-๕๑๕๙๔๙๙


วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

วธ. คัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาประจำปี พ.ศ. 2566 เข้ารับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร

วธ. คัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี พ.ศ. 2566 เข้ารับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566   นายอิทธิพล  คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้ดำเนินงานการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจรรโลงและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างเข้มแข็ง ทั้งยังเป็นผู้อุทิศตนทั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาและกำลังทรัพย์ให้กับพระพุทธศาสนาโดยกุศลเจตนาอันบริสุทธิ์ เพื่อมุ่งหวังให้พระพุทธศาสนามีความเจริญวัฒนาถาวร เป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก เยาวชนและประชาชน ดังนั้น จึงสมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวต่อว่า ในปี พ.ศ. 2566 กรมการศาสนาได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคดำเนินการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 - 2565 โดยมีคุณสมบัติ ผลงาน ถูกต้องตามระเบียบกรมการศาสนาว่าด้วยการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2554 และข้อกำหนดเฉพาะของผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ให้ดำเนินการจัดส่งผลงานให้กรมการศาสนา ภายในวันที่ 31 มกราคม 2566 ซึ่งกรมการศาสนาจะได้ดำเนินการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกบุคคลและหน่วยงานที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี พ.ศ. 2566 ซึ่งเมื่อคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการคัดเลือกและพิจารณารับรองผลการคัดเลือกฯ แล้ว จะประกาศผลการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เพื่อเข้ารับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ในปี พ.ศ. 2567 ต่อไป 

ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ได้เริ่มมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2525 เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี โดยดำเนินการโดยกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีภารกิจทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสถาพร เห็นว่าเพื่อให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่สังคมและเยาวชนของชาติ และเพื่อส่งเสริมสนับสนุนงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งได้มีการมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 - 2565 ใน 10 ประเภท จำนวนทั้งสิ้น 5,537 ราย 

สสส. สานพลังมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา - ภาคเอกชน พัฒนานวัตกรรมสุขภาวะ เปิดตัวแอปพลิเคชัน Line OA "ปันกันอิ่ม"



เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566 ที่ลานภัตตศาลา หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนโมกข์กรุงเทพฯ มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัท ไอคอน เฟรมเวิร์ค จำกัด เปิดตัวแอปพลิเคชัน Line OA "ปันกันอิ่ม" สร้างระบบแบ่งปันสู่โลกออนไลน์ ตอบโจทย์สังคมยุคดิจิทัล อำนวยความสะดวกทั้งผู้ให้และผู้รับ แบ่งปันความอิ่มกันได้อย่างรวดเร็ว

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ขับเคลื่อนให้เกิดโครงการปันกันอิ่มตั้งแต่ระยะเริ่มต้น มีเป้าหมายทำให้สังคมเห็นคุณค่าของคำว่า "การให้" เพื่อเป็นช่องทางพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งในสถานการณ์ปกติ วิกฤติเศรษฐกิจ และโควิด-19 การเชิญชวน "ร้านอาหารทั่วประเทศ" เข้าร่วมโครงการในฐานะ "ผู้ให้" คือเจตนารมณ์ของ สสส. ที่ต้องการช่วยเหลือคนในสังคมที่กำลังเผชิญความยากลำบากได้รับความช่วยเหลือผ่านการแบ่งปันความอิ่ม ในฐานะ "ผู้รับ" เพื่อให้มีพลังกาย พลังใจ ใช้ชีวิตได้ต่อไป ปัจจุบัน สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย หาช่องทางขยายโอกาสเพื่อคนไทยทุกคน มีส่วนร่วมพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาวะรูปแบบแอปพลิเคชัน "Line OA ปันกันอิ่ม" เพื่อเป็นก้าวสำคัญขยายการแบ่งปันสู่โลกออนไลน์ให้กว้างขวางและทั่วถึงในโลกยุคดิจิทัล ที่ระบบนิเวศสื่อมีความหลากหลาย



"ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วันนี้เราอยู่ในโลกสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ทุกอย่างในชีวิตเกี่ยวพันกับดิจิทัลทั้งหมด สสส. หวังว่า การร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยให้โครงการปันกันอิ่มเป็นช่องทางในการเกื้อกูลคนในสังคมที่ขาดแคลนได้เข้าถึงความช่วยเหลือมากขึ้น เป็นหนึ่งในกลไกที่เป็นเหมือนสะพานบุญเชื่อมต่อการให้และการรับในสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป" นพ.ไพโรจน์ กล่าว

นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ รองประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา กล่าวว่า มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา ริเริ่มโครงการปันกันอิ่มขึ้นด้วยความคาดหวังว่า จะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยเหลือคนที่มีความจำเป็นหรือลำบากในชีวิตในเรื่องความเป็นอยู่โดยเฉพาะในด้านอาหาร มูลนิธิฯ เชื่อว่า สังคมไทยมีต้นทุนเรื่องการทำบุญทำทานช่วยเหลือคนลำบากอยู่แล้ว จึงใช้ต้นทุนนี้ มาขยายโอกาสจากการทำบุญเพื่อช่วยเหลือเป็นรายบุคคล สร้างเป็นระบบปันกันอิ่มช่วยแก้ปัญหาสังคมในวงกว้างยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาโครงการปันกันอิ่มพยายามขยายงานด้วยการเพิ่มร้านอาหารในโครงการ เพื่อกระจายไปให้ผู้รับได้เข้าถึงมากขึ้น แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถเพิ่มร้านค้าได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความไว้เนื้อเชื่อใจของร้านค้า ผู้ให้ และผู้รับ แต่เมื่อได้ประสานความร่วมมือกับทางไอคอน เฟรมเวิร์ค ใช้ระบบ Line OA ทำให้ช่องทางการสมัครเป็นร้านปันกันอิ่มสะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของประเทศ ทั้งผู้ให้ก็สามารถแบ่งปันได้ง่ายเพียงแอดไลน์ ที่สำคัญคือมีระบบหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใสในการตรวจสอบ ติดตาม เรื่องการรับบริจาค ซึ่งนับเป็นอีกก้าวต่อไปของโครงการที่จะสามารถเพิ่มจำนวนร้านค้า เพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนให้เข้าถึงอาหารได้มากขึ้น

"ผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้ระบบ Line OA ปันกันอิ่ม ได้แล้ววันนี้ โดยค้นหาเพื่อน @payitforward เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ผู้ให้สามารถปันอิ่มได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกร้านที่สนใจ ร้านที่อยู่ใกล้ ร้านที่ต้องการแบ่งปัน หรือเลือกร้านที่ปรากฏในหน้าแรก เป็นร้านที่มีจำนวนเงินเหลือน้อยหรือเหลือศูนย์บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่โดยรอบมีคนลำบากอยู่มาก ทำให้มียอดปันอิ่มสูง คนที่ต้องการทำบุญสามารถโอนเงินไปที่ร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที ส่วนผู้รับที่ประสบความลำบาก สามารถเลือก "ร้านปันอิ่มใกล้คุณ" เพื่อรับอาหารหรือเครื่องดื่มผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน ทุกร้านมีจุดหมายเดียวกัน คือช่วยเหลือคนยากลำบากให้อิ่มท้อง สอบถามหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Budnet.org หรือทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ปันกันอิ่ม พุทธิกา-Pay it forward Thailand'" นายวีรพงษ์ กล่าว

นายวรรณเทพ หรูวิจิตร ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร (CEO) บริษัท ไอคอน เฟรมเวิร์ค จำกัด กล่าวว่า จุดเด่นหลักของระบบ Line OA ปันกันอิ่มคือการทำให้โครงการปันกันอิ่มสามารถกระจายความช่วยเหลือได้รวดเร็วและครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้คนที่นั่งอยู่บ้านหรือออฟฟิศสามารถบริจาคได้ โดยไม่ต้องเดินไปที่ร้านค้า อีกทั้งยังให้ผู้บริจาคสามารถดูได้ว่า ร้านที่รับเงินบริจาคนั้นมีการปันกันอิ่มเกิดขึ้นจริง ดังนั้นด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจปัจจุบัน ภาระต่าง ๆ ที่กลุ่มคนเปราะบางและรายได้น้อยต้องเผชิญ ความร่วมมือในวันนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงอาหารซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในชีวิตได้ เป็นการลดภาระของสังคม และนอกจากผู้รับอาหารจะได้อิ่มท้องแล้ว ผู้ขายอาหารก็ยังสามารถมีรายได้เพิ่มจากตรงนี้ได้ โดยที่ระบบไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.)

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566

พศ.ออกประกาศหลักเกณฑ์จัดสรรเงินอุดพระปริยัตินิเทศก์-ธรรม-บาลีได้ 2 หมื่นรูปต่อปี



วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2566 นายอินทพร จั่นเอี่ยม รอง ผอ. รักษาราชการ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ออกประกาศ พศ. เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 หรือค่าตอบแทนบุคลากรทางการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี ดังนี้ ค่าตอบแทนพระปริยัตินิเทศก์ อัตรา 20,000 บาท/รูป/ปี ค่าตอบแทนครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี อัตรา 20,000 บาท/รูป/ปี และค่าตอบแทนครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม อัตรา 15,000 บาทต่อรูป/ปี สำหรับพระปริยัตินิเทศก์ ครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ในกรณีปฏิบัติหน้าที่มากกว่าหนึ่งตำแหน่ง สามารถขึ้นทะเบียนตามบัญชีรายชื่อของ พศ. และรับการถวายค่าตอบแทนในตำแหน่งที่เท่ากันหรือตำแหน่งที่สูงกว่า เพียงตำแหน่งเดียว และการอุดหนุนค่าตอบแทนดังกล่าว เป็นการอุดหนุนให้กับผู้ปฏิบัติงานและจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานในปีงบประมาณที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ให้งดจ่ายค่าตอบแทนพระปริยัตินิเทศก์และครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม- บาลี ในกรณีมรณภาพ ลาออก ลาสิกขา ไม่รายงานการปฏิบัติงานในระยะเวลาที่กำหนด ย้ายสังกัดสำนักเรียนหรือสำนักศาสนศึกษาที่ทำการสอน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตหรือจังหวัดที่สังกัด ไปศึกษาต่อหรือไปเป็นพระธรรมทูตที่ต่างประเทศ คุณสมบัติไม่เป็นไปตามระเบียบ พศ.หรือตามประกาศมหาเถรสมาคม ถูกให้ออกจากตำแหน่งโดยประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์ จังหวัด หรือประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ไทย หรือโดยเจ้าสำนักเรียนหรือเจ้าสำนักศาสนศึกษา เป็นต้น 

"บิ๊กป้อม" ถกปมมวยไทยร่วมกับสหพันธ์กีฬามวยไทยที่ IOC ให้การรับรอง



วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2566  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ผ่านระบบ VTC ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ   โดยรับทราบการดำเนินงานกิจกรรมกีฬามวยไทย ร่วมกับสหพันธ์กีฬามวยไทย ที่ IOC ให้การรับรอง ในรายการ MUAYTHAI SOFTPOWER - MUAYTHAI FESTIVAL 2022 

ที่ประชุมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ แผนงานที่สำคัญ ประกอบด้วย การส่งเสริมกิจกรรมและเครื่องมือวิทยาศาสตร์การกีฬา การจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การพัฒนาบุคลากรกีฬาสู่ความเป็นเลิศ การสร้างกระแสกีฬาจากการแข่งขันกีฬา และการกำกับดูแลกีฬามวยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการควบคุมดูแล การพัฒนาและมาตรฐาน การจัดกิจกรรมและการแข่งขัน รวมทั้งการเผยแพร่และอนุรักษ์มวยไทย 

พล.อ.ประวิตร’ กำชับ กกท. ต้องดึงบุคลากรที่ผ่านการอบรมและพัฒนาด้านกีฬาแล้วจำนวนมากกว่า 20,000 คน เข้าสู่ระบบมากกว่าที่เป็นอยู่ ควบคู่กับการใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา เสริมสร้างยกระดับพัฒนาการกีฬาของไทยทุกประเภทให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ มวยไทยสู่เวทีโลก ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นซอฟพาวเวอร์ที่สำคัญของไทย

พล.อ.ประวิตรพร้อมย้ำ การเบิกจ่ายงบประมาณกองทุนและการดำเนินงาน ขอให้เป็นไปตามแผนงานและกรอบขั้นตอนที่กำหนด โดยต้องทำความเข้าใจกับสมาคมและหน่วยงานด้านกีฬาต่างๆร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อมิให้เกิดความล่าช้า  สำหรับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้านการกีฬาในภาพรวม ขอให้ผู้จัดการการแข่งขัน ชี้แจงมูลค่าทางเศรษฐกิจของแต่ละรายการกีฬาและชี้แจงสิทธิประโยชน์ที่ทางกองทุนจะได้รับในคราวเดียวกัน 


 

พรึบ! ป้าย "ทรงอย่างแบด โกงอย่างบ่อย" โผล่สี่แยกใกล้รัฐสภา



วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2566 ปรากฎป้ายปราบโกง พรรคไทยสร้างไทย ติดอยู่บริเวณแยกเกียกกาย และถนนทหาร ใกล้กับรัฐสภา โดยมีเนื้อหากล่าวถึงนักการเมืองและข้าราชการที่โกงกินบ้านเมือง อาทิ “ทรงอย่างแบด โกงอย่างบ่อย” “หยุดนักการเมืองโกงชาติ หยุดข้าราชการฉ้อราษฎรบังหลวง” “ปากบอกเป็นคนดี โกงทีเป็นล้านๆ” “เส้นทางผู้ทรงเกียรติหรือเส้นทางสู่ซ่องโจร” พร้อมกับข้อความที่เหมือนกันทุกป้ายคือ “เดินหน้า ปราบโกง 31 มกราคม พบกันที่...พรรคไทยสร้างไทย”

ขณะที่ในเฟซบุ๊กพรรคไทยสร้างไทยและสมาชิกพรรค ก็มีการโพสต์ภาพที่มีข้อความในลักษณะเดียวกันกับป้าย และข้อความในแคปชันว่า “ไทยสร้างไทยเอาจริง! เปิดสำนักงานปราบโกง พร้อมสวมเสื้อผู้อำนวยการฯ ให้สมาชิกพรรคคนใหม่ จะเป็นใคร? 31 มกราคมนี้เจอกัน #ไทยสร้างไทย #เดินหน้าปราบโกง #สปก”

ทั้งนี้ พรรคไทยสร้างไทยได้ตั้งสำนักงานปราบโกง บริเวณปากซอยสุคนธสวัสดิ์ 17 และจะมีการเปิดตัวผู้อำนวยการ สปก. พร้อมสมัครสมาชิกพรรคในวันอังคารที่ 31 มกราคม 2566 ในเวลา 10.00 น.

วันหยุดกมธ.ศาสนาฯสภาฯไม่หยุด! ลงพื้นที่ประจวบฯ-ชุมพรแก้ปัญหาขอใช้ที่ดินของวัดละเมาะ-วัดหูรอ



เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มกราคม 2566 คณะกรรมาธิการลงพื้นศึกษาดูงาน วัดละเมาะ ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำโดยนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการและคณะที่ปรึกษา อนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ ศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมศึกษาพื้นที่การขอใช้พื้นที่ตั้งวัดจำนวน 15 ไร่ โดยพระอุโบสถตั้งอยู่นอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ดังนั้น จึงต้องปรับรูปแบบแผนที่ให้มีพระอุโบสถตั้งอยู่ใน15 ไร่ด้วย จึงขอให้วัดละเมาะ ปรับรูปแผนที่และประสานงานร่วมกับสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 สาขาเพชรบุรี และผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ร่วมกันดำเนินการต่อไป 



หลังจากนั้นเดินทางต่อไปจังหวัดชุมพร ถึงวัดหูรอ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพรเวลา 16.00 น. เข้ากราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดหูรอ เข้ารับฟังความคิดเห็น กรณีคณะกรรมาธิการเดินทางไปปรึกษาราชการกับอธิบดีกรมชลประทานเพื่อขอใช้ที่ดินของกรมชลประทานเพื่อตั้งวัดเขาน้อยคงคาราม จังหวัดนครราชสีมาซึ่งกรมชลประทานไม่ได้ใช้ประโยชน์บริเวณที่ขอตั้งวัด และส่งคืนกรมธนารักษ์เพื่อให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมาขอใช้พื้นที่ตั้งวัดได้สำเร็จแล้ว เกิดจากความร่วมมือของส่วนราชการโดยคณะกรรมาธิการร่วมลงพื้นที่และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง



จึงทราบว่าวัดหูรอได้ยื่นฟ้องกรมชลประทานให้รื้อถอนถังพักน้ำและท่อส่งน้ำออกไปจากที่ดินของวัด เป็นคดีละเมิด การพิจารณาคดีถึงศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือให้รื้อถอนถังพักน้ำและท่อส่งน้ำออกไปจากที่ดินของวัด

คณะกรรมาธิการเดินทางไปศึกษาดูงานที่จังหวัดชุมพรจึงเข้ากราบนมัสการและศึกษาเรื่องดังกล่าวร่วมท่านเจ้าอาวาส มีความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์แก่วัดและประชาชนคือให้กรมชลประทานมอบถังพักน้ำและต่อท่อจากแหล่งน้ำถาวรเพื่อใช้ในการทำเกตรของชาวบ้านตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ต่อไป



ต่อมาเวลา 17.30 เดินทางเดินทางเข้ากราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดชุมพร พระราชวิจิตรปฏิภาณ (มหานิกาย) เจ้าอาวาสวัดราชบุรณะ อำเภอหลังสวน ถวายรายงานการแก้ไขปัญหาเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566

“สุวิทย์ เมษินทรีย์” ชี้โมเดล ศก. BCG การปรับเปลี่ยนเชิงระบบและยุทธศาสตร์ Game Changer ที่แท้จริงของไทย

 “สุวิทย์ เมษินทรีย์” ชี้โมเดล ศก. BCG การปรับเปลี่ยนเชิงระบบและยุทธศาสตร์ Game Changer ที่แท้จริงของไทย

https://thaipublica.org/2023/01/suvit-bcg-model-thailands-grand-strategy/?fbclid=IwAR3qtka189pQWgSKltqaqHahrjtLcsOncj0I1m1pyJhNwz4BqZbfMN0MadY

"นพดล"ยันเพื่อไทยเดินหน้าแลนด์สไลด์ เพื่อมีเสียง ส.ส. เอาชนะเสียง ส.ว.ตอนโหวตตัวนายกฯในรัฐสภา



เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566  นายนพดล ปัทมะ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ทุกพรรคเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ปี่กลองการเมืองดังขึ้น การปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเริ่มทำงาน ยิ่งกระแสพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์แรงขึ้น ก็เป็นปกติที่ต้องเผชิญแรงเสียดทานทางการเมืองมากขึ้น เพราะที่นั่ง ส.ส.มี 500 ที่นั่ง เมื่อมีคนได้ที่นั่ง ก็จะมีคนเสียที่นั่ง

 "การที่พรรคเพื่อไทยเดินหน้าแลนด์สไลด์ก็เพื่อมีเสียง ส.ส. มากพอที่จะเอาชนะเสียง ส.ว.ตอนโหวตตัวนายกฯ ในรัฐสภาและผลักดันนโยบายพรรคได้เต็มที่โดยไม่ต้องพะวงการเจรจาต่อรองนโยบายรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ไม่ใช่แลนด์สไลด์เพื่อเอาอดีตนายกฯกลับบ้านตามที่มีคนพยายามด้อยค่าความตั้งใจดีของพรรคอย่างต่อเนื่อง" นายนพดล กล่าวและว่า 

 พี่น้องประชาชนอดทนมา 8 ปี ขอให้อดทนอีกไม่เกิน 8 สัปดาห์ ก็คงรู้ว่าวันเลือกตั้งจะเป็นวันไหนที่จะเข้าคูหากาบัตรเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น โดยพรรคมั่นใจว่าทุกครั้งที่ประชาชนมีสิทธิเลือก ประชาชนเลือกพรรคและคนที่ดีที่สุดเสมอ ขอทุกพรรคเคารพเจตจำนงของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง

"กรณ์" เดินหน้า"เศรษฐกิจสายมู" หนึ่งในยุทธศาสตร์ Spectrum Economy หารายได้ 5 ล้านล้าน



"กรณ์" เดินหน้า"เศรษฐกิจสายมู" หนึ่งในยุทธศาสตร์ Spectrum Economy หารายได้ 5 ล้านล้านบาท ดันส่งเสริมจังหวัดละพันล้าน สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566  นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เศรษฐกิจสายมู หรือเศรษฐกิจสีขาว เป็นหนี่งในนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าที่เราได้มีการพูดถึงและนำเสนอมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบาย เนื่องจากเห็นว่า ท่องเที่ยวสายมูไม่ใช่ความงมงาย “มูเตลู” คือความเชื่อและความศรัทธา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน โดยเฉพาะคนไทยเรา หลอมรวมกลายเป็นประเพณี วัฒนธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แม้แต่ในช่วงโควิด ที่ทุกจังหวัดเหลือเที่ยวบินเพียงวันละเที่ยวสองเที่ยว แต่ที่นครศรีธรรมราชกลับมีเที่ยวบิน 50 กว่าเที่ยว เพราะมีวัดเจดีย์ไอ้ไข่ เงินสะพัดสู่ชุมชน ทำให้ชาวบ้านที่ค้าขายอยู่รอบๆ รวมทั้งโรงแรมที่พัก ยังคงมีนักท่องเที่ยวไปอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง 

“เศรษฐกิจสายมูกำลังเป็นเทรนด์ของทั่วโลก สามารถใช้ศรัทธาและแรงบันดาลใจแปรเปลี่ยนเป็นรายได้อย่างมหาศาล พรรคชาติพัฒนากล้า จึงได้นำมาบรรจุในนโยบายเศรษฐกิจ 7 สี  หรือ Spectrum Economy ที่จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว   


นายกรณ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศรัทธามากมาย ถ้าเราฟื้นฟูหรือสร้างสตอรี่เรื่องเล่า คิดดูว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมเยือนแค่ไหน นโยบายของเราคือ 1 จังหวัด 1 พันล้าน โดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดไหนไม่มีสถานที่ที่ดึงความน่าสนใจได้เพียงพอ ก็สร้างขึ้นใหม่ได้ ยกตัวอย่าง หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่อยุธยา ที่นายกอุ๊ วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ ผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างขึ้นมา มีการวางแผนเป็นอย่างดี มีตลาดที่ชาวบ้านสามารถนำสินค้ามาค้าขายโดยรอบ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน สร้างรายได้ให้คนอยุธยาอย่างประเมินค่าไม่ได้ หรือแม้แต่พระพิฆเนศองค์ยืนที่องค์ยืนที่ฉะเชิงเทรา ที่เกิดขึ้นมาได้ก็มีนายกอุ๊เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ขึ้นหลากหลาย นอกจากนี้นายกอุ๊ ยังเป็นกำลังหลักในการสร้างหลวงปู่โต วัดโบสถ์ อ.สามโคก จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.ปทุมธานีด้วย 


“นายกอุ๊ ก็คือที่ปรึกษาด้านนโยบายของชาติพัฒนากล้าด้วย พวกเราเห็นความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจสีขาว หรือสายมู ที่ถ้าเราลงทุนหลักพันล้านต่อ 1 แหล่งท่องเที่ยว เราจะได้เงินกลับคืนมาอย่างมหาศาล ดูแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอย่างเจ้าแม่กวนอิมที่ฮ่องกง วัดอาซากุสะที่ญี่ปุ่น โบสถ์ที่งดงามในยุโรป หรือแม้แต่พระพรหมเอราวัณที่บ้านเรา ต่างก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกอยากมาชมด้วยตาตัวเอง”นายกรณ์ กล่าว 


หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวคือต้องมี 3 มิติควบคู่ ได้แก่ 1. เพิ่มนักท่องเที่ยว ที่เราต้องลงทุนในระบบสาธารณูปโภค ลงทุนในการอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติ 2. เพิ่มเวลาที่นักท่องเที่ยวอยู่กับเรา จาก 10 วันเป็น 12 วัน ต้องเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวให้หลากหลายและดึงดูด และ 3. เพิ่มเงินที่นักท่องเที่ยวใช้ตอนอยู่กับเรา เพิ่มการใช้จ่ายจับจ่าย ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าเราให้มีราคามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของฝาก อาหาร ที่พัก ฯลฯ ซึ่งยุทธศาสตร์สายมูตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติ


ด้านนายวัชรพงศ์ หรือ นายกอุ๊ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวเสริมว่า ตนเป็นคนแปดริ้ว และได้เห็นความเจริญเติบโตของเมืองแปดริ้วมาตลอดตั้งแต่เด็ก หัวใจการท่องเที่ยวของเมืองแปดริ้วมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือวัดหลวงพ่อโสธร คนมาไหว้หลวงพ่อเยอะมากปีละหลายล้านคน แต่สิ่งที่พบคือมาแค่วัดโสธรแล้วกลับไม่ไปไหนต่อในเมืองแปดริ้ว มีเพียงเป้าหมายเดียวในการมาแปดริ้วคือปิดทองไหว้หลวงพ่อ วัดอื่นไม่มีคนรู้จักไม่มีเกจิไหนหรือพระพุทธรูปใดจะทาบรัศมีและแข่งบารมีกับหลวงพ่อได้ นี่คือจุดแข็งของเมืองแปดริ้วที่ถือว่าเป็นเบอร์1 ของประเทศ แต่ในจุดแข็งกลับมีจุดอ่อนแฝงอยู่ 


การสร้างแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร สามารถพลิกโฉมเมืองแปดริ้ว มีเงินสะพัดเกิดการค้าขาย เกิดอาชีพ เกิดความเจริญในพื้นที่จากที่เคยเป็นเมืองอับคนไม่ไป ที่ดินราคาแพงขึ้นชาวบ้านรวยขึ้น เงินหมุนเวียนทั้งระบบเป็นหลายพันล้านบาทต่อปี และที่สำคัญ มีความยั่งยืน และนี่คือการท่องเที่ยวอีกรูปแบบที่สร้างขึ้นใหม่ในยุคปัจจุบัน


อีกแห่งที่ตนได้สร้างขึ้นมาใหม่คือ อุทยานหลวงปู่ทวด จ.พระนครศรีอยุธยา ตามที่ท่านหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าได้กล่าวข้างต้น ตนเข้ามารับตำแหน่ง นายก อบต.บ้านใหม่ และจัดสร้างขึ้นบนเนื้อที่ 200 ไร่และได้สร้างรูปเหมือนสมเด็จหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด  ขนาดหน้าตักกว้าง 24 เมตร ความสูงรวมฐาน 51 เมตร สร้างจากปูนหุ้มสัมฤทธิ์ เคลือบสีทอง ทั้งองค์นับได้ว่าเป็นรูปเหมือนพระสงฆ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นโมเดลความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งภาคเอกชน ภาคคณะสงฆ์และราชการ ซึ่งตาม ประวัติศาสตร์ หลวงพ่อทวดเคยเดินทางมาพำนักที่กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 15 ปี เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ

"สุชาติ" ควง "วิสาร" ร่วมงานดอกงิ้วบานสามเหลี่ยมทองคำ แนะไทยเร่งพัฒนาพื้นที่ "เชียงราย" คู่ขนาน



เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2566 ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง จังหวัดบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง พร้อมด้วยนายวิสาร เตชะธีรวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย และนายเดชอิศม์ ขาวทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เดินทางเข้าร่วมงานเทศกาลดอกงิ้วบานครั้งที่ 20 ประจำปี 2023 ณ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง จังหวัดบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามหนังสือเชิญของรองผู้ว่าราชการจังหวัดบ่อแก้ว

โอกาสนี้ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และคณะ ได้พบปะหารือ 3 ฝ่ายกับ พล.ท.วิไล หล้าคำฟอง รองนายรัฐมนตรี สปป.ลาว และผู้บริหารระดับสูงของสภากรรมการบริหารเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดยได้หารือถึงโอกาสความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน รวมทั้งปัญหาสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ ชายแดนไทย - สปป.ลาว - เมียนมา  โดย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยและ สปป.ลาว เป็นพี่น้องกัน ต่างฝ่ายต้องพึ่งพากัน โตก็ต้องโตไปด้วยกัน หากฝ่ายไหนมีปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ไข ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่สามารถร่วมมือกันหรือแลกเปลี่ยนกันได้ เช่น การท่องเที่ยวแทนที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศใดประเทศหนึ่ง ควรจะหันมาร่วมมือกันผลักดันให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวทุก ๆ ประเทศในภูมิภาคของเรา ซึ่งวันนี้ สปป.ลาว กำลังพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ยิ่งต้องผลักดันความร่วมมือระหว่างกันเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นพื้นที่ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง ลบล้างภาพเรื่องยาเสพติด การค้ามนุษย์ ภัยคุกคาม และขบวนการหลอกลวงต่าง ๆ 

ตนในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร ได้มีโอกาสพบปะหารือกับคณะทูตานุทูตหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาค ทุกท่านต่างพูดตรงกันว่าประสบปัญหาเกี่ยวกับขบวนการหลอกลวงแรงงานให้ไปเป็นแรงงานทาส เช่น ขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ หรือ มันนี่เกมหลอกลวงให้ร่วมลงทุน ซึ่งตนได้ยืนยันไปหลายวาระแล้วว่ายังไม่พบเรื่องดังกล่าวในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เพราะเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเป็นเมืองที่มุ่งพัฒนาด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เราต้องร่วมกันเฝ้าระวัง ป้องกันและปราบปรามไม่ให้ขบวนการหลอกลวงเหล่านี้เข้ามาในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ

นอกจากนี้ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และคณะ ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมาว่าได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งไทยเห็นว่าควรจะใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านการเจรจาเพื่อส่งเสริมด้านการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าปศุสัตว์ และสินค้าเกษตร เพื่อรองรับคนที่เข้ามาอยู่อาศัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในอนาคต ที่ผ่านมาต้องถือว่าไทยเสียโอกาสไปมากที่ยังไม่มีการริเริ่มโครงการใด ๆ มารองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำของสปป.ลาว ทั้งที่พื้นที่ชายแดนอยู่ติดกัน เอื้อต่อการเดินทางขนส่ง 

ทั้งนี้  ทราบว่า จ.เชียงราย มีความพยายามผลักดันนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัด ตลอดจนมีการก่อสร้างสะพานข้ามแดนถาวรเพื่อพัฒนาด้านการขนส่งและการคมนาคม เพื่อความสะดวกด้านการเดินทางระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบพัฒนาพื้นที่คู่ขนานระหว่าง 2 ฝั่งแม่น้ำโขงให้เจริญเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านการส่งเสริมอาชีพ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวหากเรื่องนี้เกิดขึ้นได้เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศอย่างแน่นอน และสิ่งที่อยากเน้นย้ำคือ โครงการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างเชียงแสนกับเมืองต้นผึ้งหากดำเนินการได้สำเร็จ ย่อมจะเป็นผลดีกับประเทศไทยทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขนส่งสินค้าเกษตรจะสามารถขนส่งได้โดยง่าย 

ในส่วนของการยกระดับความร่วมมือด้านต่าง  ๆ  ระหว่างกันนั้น รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง กล่าวว่า ได้นำปัญหาการหลอกลวงและการค้ามนุษย์ หารือกับรองนายกฯ สปป.ลาว เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคประสบปัญหาดังกล่าว แต่ทราบว่ายังไม่พบที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ จึงฝากให้รองนายกฯ สปป.ลาว เฝ้าระวังขบวนการหลอกลวงเหล่านั้นอย่าให้เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียประโยชน์ของพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ รวมทั้งได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทยให้ใช้กลไกภาครัฐในการป้องกันและปราบปรามปัญหาดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำนั้น เป็นพื้นที่แห่งการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน แม้ว่าจะลงทุนโดยชาวจีน ไม่ใช่ชาวลาว แต่ไม่ใช่พื้นที่สีเทาอย่างที่คนเข้าใจ เพราะส่วนตัวได้ติดตามการเจริญเติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำมาตั้งแต่ต้น และเห็นถึงการพัฒนาในทุกมิติของเขตเศรษฐกิจแห่งนี้ เพื่อเป็นพื้นที่การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ และเป็นพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566

“ภาคเอกชนจังหวัดเลย” ฝากความหวัง “เพื่อไทย” ส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยว ยกระดับรายได้เกษตรกร



“ภาคเอกชนจังหวัดเลย” ฝากความหวัง “เพื่อไทย” ส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวจังหวัดเลย ยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ วอนช่วยแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ยกระดับรายได้เกษตรกรและผู้ค้าลอตเตอรี 

 วันที่ 27 มกราคม 2566  นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล  ส.ส.เลย นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ร่วมหารือกับตัวแทนภาคเอกชนของจังหวัดเลย ซึ่งนำโดย นายธเนศ หาญถนอม ประธานหอการค้าจังหวัด นายวิทยา พลน้ำเที่ยง ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเลย และนายเกรียงศักดิ์  คุณานันท์ศักดิ์ นายกสมาคมพ่อค้าจังหวัดเลย 


โดยกลุ่มนักธุรกิจและภาคเอกชนได้สะท้อนว่าศักยภาพของเมืองเลยมีสูง โดยเฉพาะซอฟต์เพาเวอร์ทั้งวิถีชีวิต การแต่งกาย เสื้อผ้าและอาหาร อีกทั้งและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากเชื่อมต่อกับลาวทั้งบนและล่าง ที่สามารถส่งเสริมให้พี่น้องชาวจังหวัดเลยมีรายได้ และส่งเสริมพัฒนาด้านการท่องเที่ยวให้สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ คือ ภูกระดึง ที่มีข้อเสนอจากภาคเอกชนมานานเรื่องกระเช้าขึ้นภูกระดึง ซึ่งน่าจะสามารถช่วยเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมไปถึงกระเช้าขึ้นภูบ่อบิด ในเขตอำเภอเมือง ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กและเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของเมืองเลยได้ 


นอกจากนี้ภาคเอกชนยังได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาทรัพยากรคน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการพัฒนาเมืองเลยไปสู่สปอร์ตซิตี้ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพเยาวชน แต่ยังขาดแคลนสนามกีฬามาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ยังต้องการพัฒนาด้านการคมนาคม โดยเมืองเลยมีเส้นทางการท่องเที่ยวที่เรียกกันว่าโรแมนติกรูท ซึ่งสามารถยกระดับเชื่อมโยงการเดินทางและการท่องเที่ยวไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่จะดึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านมาเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเลยได้ ในส่วนปัญหาสินค้าเกษตร ยังต้องการการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและคุณภาพสินค้าเกษตร ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีรายได้มากขึ้น รวมไปถึงปัญหาราคายางพาราที่ตกต่ำ และพี่น้องผู้ค้าลอตเตอรี ซึ่งขณะนี้กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ก็ฝากความหวังให้พรรคเพื่อไทยช่วยแก้ไขปัญหา   


นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยอาจมองเห็นมุมกว้าง แต่สิ่งที่ได้รับการสะท้อนมาเป็นประโยชน์สำหรับพรรคที่จะรวบรวมนำไปพัฒนาเป็นนโยบาย ทั้งในเรื่องการท่องเที่ยว และการเกษตร ซึ่งพรรคเพื่อไทยมมีหลักคิดสำคัญ คือ ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ซึ่งในส่วนนี้อาจมีการคิดต่อยอดไปสู่การเตรียมการรองรับพี่น้องผู้ค้าลอตเตอรีที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 


ขณะที่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า จังหวัดเลยมีศักยภาพมาก ในด้านการเกษตรกรก็มีการปลูกข้าว อ้อย มันและยางพารา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเอาเทคโนโลยีเข้ามาจับเพื่อช่วยส่งเสริมการเพาะปลูก และที่สำคัญคือจะต้องช่วยเรื่องการตลาด โดยเปิดช่องทางการขายสินค้าไปในต่างประเทศ เพื่อระบายสินค้าให้เกษตรกร ในส่วนของการท่องเที่ยวจังหวัดเลยนั้นก็เป็นอีกด้านสำคัญจึงจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมในด้านนี้ให้มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีแพลนใหญ่ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในการเพิ่มนักท่องเที่ยว เพิ่มโอกาส เพิ่มรายได้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น นอกจากนี้พรรคเพื่อไทย ยังมีแนวนโยบาย หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์เพาเวอร์ ที่จะส่งเสริมคนที่มีศักยภาพ ให้มีโอกาส จะช่วยให้เกิดการเพิ่มอาชีพ และมีรายได้เพิ่ม

 

“จังหวัดเลยมีศักยภาพเยอะมาก ในหลายด้าน จะก็ขาดเพียงโอกาส พรรคเพื่อไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราพูดเรื่องนโยบายและสามารถทำได้จริง เพราะฉะนั้นในส่วนนี้จึงเป็นความตั้งใจของพรรคเพื่อไทย ที่จะแก้ไขปัญหาปากท้่องให้พี่น้องประชาชน” นางสาวแพทองธารกล่าว

 


วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2566

กระทรวง พม. หนุนโครงการพระธรรมจาริกสู่การพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน



ระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2566 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดารในพระราชูปถัมถ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสำนักงานประธานคณะพระธรรมจาริก ได้จัดให้มีการประชุมปฐมนิเทศพระธรรมจาริกปีที่ 58 ณ วัดศรีโสดา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายกิตติ อินทรกุล รักษาการแทนอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส 

พระพรหมเสนาบดีกล่าวว่า “พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือถิ่นกันดาร ยิ่งในพื้นที่สูงจำเป็นต้องพัฒนาให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพื่อนำหลักการทางพระพุทธศาสนาไปพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ผ่านมา โครงการพระธรรมจาริกได้ทำหน้าที่อย่างดียิ่ง โดยมีการส่งเสริมการเรียนรู้ การให้โอกาสทางการศึกษา การอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ การพัฒนาจิตใจและปัญญา ควบคู่กับการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน คณะสงฆ์ภาค 7 ซึ่งมีพื้นที่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน พร้อมสนับสนุนการทำงานของคณะพระธรรมจาริก เพื่อนำไปสู่วิสัยทัศน์ที่ว่า “ชุมชนบนพื้นที่สูงมีศักยภาพในการร่วมพัฒนาและแก้ไขปัญหาสังคมด้วยตนเองอย่างยั่งยืนตามแนวทางพระพุทธศาสนา”

ด้านนายกิตติ อินทรกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวว่า “ กรมพัฒนาสังคมฯ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมสนับสนุนงบประมาณ กิจกรรม และเสริมสร้างเครือข่ายการทำงานของพระธรรมจาริกให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยจะยกระดับการทำงานของพระธรรมจาริก ควบคู่กับการพัฒนาในระดับพื้นที่จับคู่พัฒนาร่วมกับเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน ยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมนุมตามภูมิปัญญาชาวบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีคุณค่าและความทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ชุมชนพึ่งพาตนเองตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” 

ส่วนพระธรรมวชิราธิบดี ประธานคณะพระธรรมจาริก เจ้าคณะภาค 17 เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ระบุว่า ปัจจุบันโครงการพระธรรมจาริกมีอาศรมธรรมจาริกจำนวน 337 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่การปฏิบัติงานกว่า 20 จังหวัด มีพระธรรมจาริก 489 รูป มีศาสนทายาททั้งสามเณรแยะเยาวชนชายญิง จำนวน 498 รูป/คน ซึ่งกำลังศึกษาในโรงเรียนสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ โรงเรียนวัดวิเวกวนาราม และศูนย์พัฒนาศักยภาพเยาวชนสตรี อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่  นับว่าโครงการพระธรรมจาริกได้ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคมอย่างดียิ่ง โดยปี 2566 นี้จะมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การบรรพชาอุปสมบทชาวเขา การจัดมหกรรมโครงการพระธรรมจาริก แสดงผลงาน ผลิตภัณฑ์ของชาวเขา ณ วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร”

ด้านพระสุธีรัตนบัณฑิต คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะรองประธานพระธรรมจาริก กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ร่วมดำเนินการกับโครงการพระธรรมจาริกและบัณฑิตอาสาของมหาวิทยาลัย เพื่อให้พระสงฆ์รุ่นใหม่มีอุดมการณ์เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการพัฒนาบนพื้นที่สูง ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพพระธรรมจาริกให้มีแนวทางการทำงานร่วมกับภาครัฐ องค์ปกครองท้องถิ่น เพิ่อคนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”


ในการประชุมปฐมนิเทศและการอบรมพระธรรมจาริกประจำปี 2566 นี้ ได้รับการสนับสนุนจากทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานแก่โครงการพระธรรมจาริก และจากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ก่อนจะส่งพระธรรมจาริกขึ้นไปปฏิบัติงาน ณ อาศรมต่างๆ ในพื้นที่ 20 จังหวัดในภาคเหนือตอนบนและภาคกลาง เช่น  อุทัยธานี กาญจนบุรี เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นที่ทีมีพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่จำนวนมาก

กมธ.อุตฯสภาฯบุกสุวรรณภูมิ ตรวจเฟส 3 ‘ธีรรัตน์’ หวั่น นทท.กระจุกตัวแน่นหนักคิวยาว



กมธ.อุตฯสภาฯบุกสุวรรณภูมิ ตรวจเฟส 3 ‘ธีรรัตน์’ ห่วงขยายพื้นที่ทุกอย่าง แต่ ตม.ไม่ขยายเพิ่ม หวั่น นทท.กระจุกตัวแน่นหนักคิวยาวกว่าเดิมแน่

วันที่ 27 มกราคม 2566  นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร  เข้าศึกษาแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน  ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสุเมธ ลือตระกูล ตัวแทนผู้รับจ้างก่อสร้างรันเวย์ 3 และยังมีผู้แทนจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด บริษัท บางกอกไฟลท์ เซอร์วิส จำกัด  เพื่อติดตามการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน เครื่องบิน บุคลากร โลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สู่เป้าหมายการเป็นจุดแวะพัก จุดต่อเครื่องบิน  ไปจนถึงการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นอีกช่องทางในการสร้างรายได้เข้าประเทศ 

นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า ความคืบหน้าในโครงการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 3 ที่มีทั้งการก่อสร้างรันเวย์ เส้นที่ 3 การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 และการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารทางทิศตะวันตก  อาคาร พบว่า ความคืบหน้าการก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนเล็กน้อย ซึ่งจะไม่กระทบกับ กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2567 แต่มีข้อสังเกตว่าแม้จะมีการสร้างอาคารผู้โเยสารหรือรันเวย์เพิ่ม แต่ส่วนของการตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ยังอยู่ที่อาคารหลังเดิม ซึ่งจะทำให้การตรวจคนเข้าเมืองทำได้ล่าช้าและอาจจะกระจุกตัวมากยิ่งขึ้นหรือไม่ ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ควรแก้ไขและต้องหาทางออกรองรับไว้ในอนาคต โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งประเมินจากการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งภายในและนอกประเทศที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวหลังการระบาดของโควิดและเศรษฐกิจที่อาจจะฟื้นตัวด้วย 

“ทุกอย่างเพิ่มหมด แต่ส่วน ตม.ยังเหมือนเดิม เป็นปัญหาที่เราคิดว่าต้องรีบแก้ไข เพราะมีความกังวลว่าการเปิดรับนักท่องเที่ยวจะไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด จากสาเหตุของการจัดการที่ไม่รอบคอบหรือไม่” นางสาวธีรรัตน์ กล่าว


‘อนุดิษฐ์’ ไขก๊อกจากเพื่อไทย ขอเดินหน้าทำตามปณิธาน ‘ปราบโกง-แก้จน-แก้รธน.’



วันที่ 27 มกราคม 2566 เวลา 10.00 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม. เขตสายไหม และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และอดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประกาศลาออกจากพรรคเพื่อไทย ที่เคหะออเงิน เขตสายไหม โดยมีประชาชนและทีมงานเข้าร่วมการแถลงข่าว อาทิ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ แกนนำกลุ่มสายไหมต้องรอด, นายสมศักดิ์ ล้อเพชรรุ่งเรือง กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยสายไหม, นางวรนุช ศิริพัฒนานันท์ ประธานสภาวัฒนธรรมสายไหม และน.อ.สุธิ โภคะสุวรรณา หัวหน้าสำนักงานศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย เขตสายไหม 

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนในทางการเมืองมาตลอด จนได้เป็นผู้แทนของคนในเขตสายไหมมากว่า 16  ปี เพราะทุกคนมีหัวใจ มีจุดยืน และอุดมการณ์เดียวกัน คือความเสียสละต่อบ้านเมือง อยากเห็นประเทศเดินต่อไปข้างหน้า อยากเห็นคนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดี และพ้นจากความยากจน ซึ่งเป็นปณิธานของพ่อ น.ต.ฐิติ นาครทรรพ อดีตเลขาธิการพรรคสามัคคีธรรม แต่ก็ยังไม่มีใครทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะในภาคอีสานที่แม้จะมีประชากรและมี ส.ส.ในสภามากที่สุด 


น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ขณะที่ตัวเองรับราชการเป็นทหารอากาศมีความก้าวหน้ามาก แต่ยอมทิ้งอาชีพที่ตัวเองรักมาเป็นนักการเมือง เพราะหวังจะสานต่อปณิธานของพ่อให้เสร็จ และด้วยคำชักชวนของ น.ต.ศิธา ทิวารี ภายใต้สังกัดพรรคไทยรักไทย ดร.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการการเลือกตั้ง กทม. ให้โอกาสได้ลงสมัคร ส.ส. ในปี 2550


“ผมเคยทำหน้าที่ปกป้องน่านฟ้าอธิปไตยของชาติ ผมก็คิดว่า มันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องทำหน้าที่ปกป้องประชาธิปไตยและรับใช้พี่น้องประชาชน”


นอกจากนี้ ตัวเองตั้งใจทำให้สำเร็จอีกข้อคือ การตรวจสอบการบริหารราชการเพื่อหยุดการคอร์รัปชัน เพราะบ้านเมืองของเราถูกกัดกร่อนจากเรื่องนี้ ตลอดชีวิตการเมืองตัวเองไม่เคยถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือถูกตรวจสอบว่ามีการทุจริตคอรัปชันเลย แม้โครงการแท็ปเล็ตที่มีงบประมาณให้เกือบสี่พันล้านบาท ที่กระทรวงไอซีทีตอนนั้นใช้ไปเพียงสองพันล้านบาทเศษเท่านั้น แต่ก็น่าเสียดายที่โครงการถูกเลิกไปเพราะรัฐประหาร ไม่อย่างนั้นวันนี้คงดีกว่านี้


อย่างไรก็ตาม น.อ.อนุดิษฐ์ ยืนยันว่า อุดมการณ์และจุดยืนทางการเมืองไม่เคยเปลี่ยน แต่เพื่อเติมเต็มภารกิจที่ต้องการทำจริงๆ ก่อนจะหมดลมหายใจไปจากโลกนี้ คือ การไม่ก้มหัวให้เผด็จการ หยุดการโกงชาติโดยการตั้งองค์กรภาคประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเพื่อส่งมอบประเทศที่ดีที่สุดให้ลูกหลาน


“ผมขอลาออกจาพรรคเพื่อไทย ขอบคุณพี่น้องในพรรคเพื่อไทย พนักงานในพรรค ผู้ประสานงาน แม่บ้าน และรปภ. ทุกคนที่ดูแลตัวเองและทีมงานของผมมาเป็นอย่างดี ขอบคุณอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสองท่าน ขอบคุณน้องโอ๊ค พานทองแท้ และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทุกคน หลังจากนี้ผมจะเดินหน้าทำตามปณิธานต่อ ไม่ใช่เพียงแค่สายไหมต้องรอดเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าคนไทยก็จะต้องรอด ถ้าพวกเราทุกคนรวมพลังกัน ไม่ทะเลาะกัน มีความรัก ความสามัคคี เอื้ออาทรต่อกัน  และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง” น.อ.อนุดิษฐ กล่าว  จากนั้นมีประชาชนในพื้นที่มอบดอกไม้และเข้ามากอดให้กำลังใจ น.อ.อนุดิษฐ์ อย่างอบอุ่น

กมธ.ศาสนาสภาฯฮึ่ม! เรียกผู้เกี่ยวข้องชี้แจงปมพระครูไก่ ชี้สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการพุทธศาสนา



วันที่ 27 มกราคม 2566   ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่ากรณีพระอาจารย์สุวิทย์ ชินวโร หรือครูบาไก่  ประธานที่พักสงฆ์วัดป่าปฐมเทวาราม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ถูกอดีตลูกศิษย์เปิดเผยคลิปสรงน้ำซ้อนเจ็ตสกี และมีผู้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน กมธ.ศาสนาฯ ได้รับการร้องเรียน แล้วเห็นว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้วงการพระพุทธศาสนา หากปมดังกล่าวเนิ่นช้าไป จึงจะเชิญสำนักงานพระพุทธศานาศาสนาแห่งชาติ เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธรรมยุต) คู่กรณีและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง ในวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น. นี้

ด้านดร.ณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการพิจารณาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวตนได้โทรศัพท์สอบถามไปยัง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประจำจังหวัดขอนแก่น ได้ความว่าได้ดำเนินการเข้าไปสอบถาม รับข้อกล่าวหา รวมทั้งคณะสงฆ์ก็รับไปพิจารณา ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการ 

ทั้งนี้ นายณพลเดช กล่าวเพิ่มเติมว่าตนเห็นว่าหากรณีดังกล่าวไม่มีการแก้ไขให้รวดเร็วอย่างถูกต้อง กระบวนการยุติธรรมที่เนินช้าก็จะไม่ยุติธรรมในภายหลัง และเกิดความเสียหายต่อวงการสงฆ์เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจต้องมีกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาให้มีการรวบรัดในกรณีในด้านการกระทบต่อวงการศาสนาให้เร็วขึ้น อีกทั้งการเสนอข่าวควรให้ความเป็นกลางทั้งสองฝ่าย


"พปชร." เตรียมเปิดตัวเพลงใหม่ "ก้าวข้ามความขัดแย้" กลางงานประชุมใหญ่พรรควันนี้



วันที่ 27 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกเพลงใหม่เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งเเต่งโดยศิลปิน ดี้ -นิติพงษ์ ห่อนาค โดยจะมีการเปิดตัวเพลงเป็นครั้งแรก ในที่ประชุมใหญ่ของพรรควันนี้ โดยเนื้อหาเพลงมีใจความ ว่า

“มาเรามาด้วยกัน  ร่วมสร้างสรรค์การเมือง 

เพื่อความรุ่งเรือง ต้องมาด้วยกัน 

อะไรที่มีที่ไม่เข้าใจ ก็แก้กันไปคนไทยช่วยกัน 

หยุดความหวาดระแวง และมาปรองดองหัวใจ 

ต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ได้ รักกัน พลังประชารัฐ 

จะก้าวข้ามความขัดแย้ง รวบรวมทุกแรง 

ไม่แบ่งความรักศรัทธา พลังประชารัฐ 

จะขอรวมใจประชา ให้ไปข้างหน้า 

เพื่อวันแห่งความสดใส ด้วย..พลังประชารัฐ 

เราเคยมีผลงาน ผ่านให้เห็นกันมา

ได้พัฒนา ดูแลบ้านเมือง และพร้อมอาสาดูแลต่อไป จะทุ่มสุดใจให้ไทยรุ่งเรือง”


สำหรับการประชุมใหญ่สามัญของพรรคในวันนี้ มีวาระที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ 8 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ 1. แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 9 ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีจำนวนไม่เกิน 30 คน และยกเลิกตำแหน่ง ผอ.พรรค

ประเด็นที่ 2. แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 11 ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคการเมือง ให้เลือกตั้งในที่ประชุมใหญ่ มติของที่ประชุมที่เห็นชอบให้ผู้เข้ารับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จะต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม

ประเด็นที่ 3. แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 17 (1) ให้หัวหน้าพรรคมีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ 1.แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการสำนักงานพรรค รองเลขาธิการพรรค โฆษกพรรค รองโฆษกพรรค และตำแหน่งอื่นๆในการบริหารพรรค 2.แต่งตั้งและถอดถอนคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานเพื่อประโยชน์ของกิจการพรรคการเมือง มีอำนาจหน้าที่ตามที่หัวหน้าพรรคการเมืองมอบหมาย 3.แต่งตั้งและถอดถอนที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร 4.อนุมัติจัดตั้ง และยุบเลิกสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด หรือให้กรรมการสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดพ้นจากตำแหน่ง ให้หัวหน้าพรรคมอบหมายรองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคคนหนึ่งคนใดหรือหลายคนดำเนินการแทนก็ได้ และรายงานให้คณะกรรมการบริหารพรรคทราบ

ประเด็นที่ 4 ยกเลิกความใน (4) ของข้อ 17 ให้ยกเลิกหน้าที่และอำนาจของผู้อำนวยการพรรค ประเด็นที่ 5 แก้ไขเพิ่มเติมข้อ30 ให้ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดที่ครบวาระอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดขึ้นใหม่ เว้นแต่หัวหน้าพรรค หรือรองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคที่หัวหน้าพรรคมอบหมาย มีคำสั่งให้ไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

ประเด็นที่ 6 เพิ่มความวรรคสามของข้อ 90 เพื่อประโยชน์ในการคัดเลือกบุคคลเสนอให้ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง จะดำเนินการคัดเลือกไว้เป็นการล่วงหน้าก่อนวันประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยการประกาศเชิญชวนและการเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควรจะเสนอให้ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการบริหารพรรค ให้ดำเนินการในที่ประชุมใหญ่ของพรรคก็ได้

ประเด็นที่ 7 เพิ่มบทเฉพาะกาล เพิ่มข้อ 115 รองหัวหน้าพรรคที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนข้อบังคับแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้บังคับใช้ ให้ยังคงดำรงตำแน่งรองหัวหน้าพรรคต่อไปจนกว่าครบวาระ

ประเด็นที่ 8 เพิ่มข้อ116 เมื่อมีประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ให้ข้อบังคับฉบับนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว



โรงเรียนบ้านซองแมว ตำบลหนองจิก อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เชิญร่วมเป็นผู้ใหญ่ใจบุญที่เกื้อหนุนการศึกษา ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566  จัดหาอุปกรณ์ทางการศึกษา และบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านดนตรี

วันที่ 27 มกราคม 2566 ดร.กฤต หมื่นเจริญ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านซองแมว ตำบลหนองจิก อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เปิดเผยว่า โรงเรียนบ้านซองแมว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 ก่อสร้าง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 มีหมู่บ้านในเขตบริการ 3  หมู่บ้าน คือ บ้านซองแมว หมู่ที่ 2  บ้านไชโย หมู่ที่ 7  และบ้านโนนทอง หมู่ที่ 19 โดยจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3  มีนักเรียนทั้งหมด 126 คน มีครูและบุคลากร จำนวน 18 คน ในการจัดการเรียนการสอน มุ่งเน้นให้นักเรียนมีพัฒนาการตามศักยภาพและพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ จึงจำเป็นต้องพัฒนาสมองทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านความรู้คู่คุณธรรม และมีสภาพทางอารมณ์ที่ดี

ทั้งนี้ โรงเรียนบ้านซองแมว ยังขาดแคลนงบประมาณ และทุนทรัพย์ในการจัดหาอุปกรณ์ทางการศึกษา และบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านดนตรี โรงเรียนจึงได้จัดทำผ้าป่าทางการศึกษา เพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการศึกษาและจ้างบุคลากรในครั้งนี้  โรงเรียนบ้านซองแมว จึงขอเชิญศิษย์เก่า และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมเป็นเจ้าภาพผ้าป่าตามกำลังศรัทธา



“ในโอกาสนี้ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงอภิบาลคุ้มครองท่านและครอบครัว ประสบแต่ความสุขความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ  ปฏิภาณธนสารสมบัติทุกประการเทอญ”

โดยผู้ใจบุญสามารถร่วมบริจาคได้ที่ บัญชีเลขที่ 4170669398  ธนาคารกรุงไทย สาขาบรบือ โทรศัพท์ 065-6145933

สำหรับ กำหนดการจัดงาน มีดังนี้


               วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 


                 เวลา    09.00  น.   ทำบุญเลี้ยงภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ รวมตั้งกองผ้าป่าของชุมชนในแต่ละสาย


                 เวลา    10.00 น.   แห่ผ้าป่าจากทั่วทุกสารทิศเข้าสู่โรงเรียนบ้านซองแมว


                 เวลา     11.00 น.   ทำพิธีทอดผ้าป่าการศึกษา


                  เวลา    12.00 น.   ร่วมรับประทานอาหาร เสร็จพิธี

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2566

สภาล่มเป็นอาจิณอีกแล้ว! ส.ส.แห่ลาออก "เบญญา" ชิงไขก๊อกยังไม่ทันปฏิญาณตน



ส.ส.แห่ลาออกเหลือเสียงในสภา 429 เสียง ทำองค์ประชุมเหลือ 215 ด้าน"เบญญา" ชิงไขก๊อก ยังไม่ทันปฏิญาณตน ส่งผลล่มเป็นอาจิณอีกแล้ว "สุชาติ" สั่งปิดประชุมหลังนับองค์ได้แค่ 153 เสียง โอดได้รับฉายา ‘มือปิดประชุม’ แต่จำต้องทำปิดเพราะขาดอีกเยอะ

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566  ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้แจ้งถึงการลาออกจากส.ส.และการสังกัดพรรคการเมืองจำนวน 7 คน ได้แก่ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย, นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย นายอภิชา เลิศพชร กมล ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย นายศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรประชาธิปัตย์ นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ นายนิยม วิวรรธนดิฐกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจไทย และ นางเบญญา นันทขว้าง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลัง ทำให้มีส.ส.ปฏิบัติหน้าที่ได้ 429 คน โดยต้องใช้องค์ประชุม 215 คน

พร้อมกับให้ส.ส.ที่ได้รับการเลื่อนลำดับมาแทนตำแหน่งที่ว่าง4 คน คือ นายพิชัย ขจรเรืองโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจไท, นายโกมินทร์ ทีฆธนานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ, นายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และนายสุรบถ หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่

สำหรับนางเบญญานั้นได้รับการเลื่อนลำดับมาแทนนายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลัง ซึ่งราชกิจจานุเบกษาประกาศการเลื่อนลำดับเมื่อ 19 มกราคม ซึ่งได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งส.ส. เมื่อ 24 มกราคม ก่อนที่จะมีการกล่าวปฏิญาณตนต่อที่ประชุมก่อนปฏิบัติหน้าที่

 ล่มเป็นอาจิณ! ‘สุชาติ’ สั่งปิดประชุมหลังนับองค์ได้แค่ 153 เสียง 

ต่อมาเวลา 13.00 น. นายศุภชัย ได้เข้าวาระการพิจารณาเพื่อรับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี2564 โดยมีการเปิดให้สมาชิกได้อภิปรายซักถาม พร้อมให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องตอบชี้แจง โดยนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นหารือให้มีการตรวจสอบองค์ประชุมเนื่องจาก ไม่สบายใจ ที่ในวันนี้มีกระทู้สดจำนวน10กระทู้ เป็นเรื่องสำคัญต่อบ้านเมือง แต่มาตอบเพียง2กระทู้เท่านั้น แสดงว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯแห่งนี้ ซึ่งนายศุภชัย ชี้แจงนายอุบลศักดิ์ว่า ถือเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่ขอร้องให้การประชุมเดินหน้าไปตามปกติ เพื่อให้มีการทำงานมากที่สุด เพราะสภาฯเหลือน้อยแล้ว

ขณะที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวสนับสนุนข้อเสนอของนายอุบลศักดิ์ พร้อมกล่าวว่าเมื่อวันที่ 25 มกราคม มีการประชุมร่วมรัฐสภา วาระพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่ามีส.ว.ไม่มาแสดงตน และ ฝ่ายรัฐบาลไม่ให้ความร่วมมือ และในการประชุมสภาฯ วาระกระทู้ที่สำคัญ ที่พบว่ามีบางพรรคการเมืองใช้สถานที่ของผู้ค้ายาเสพติดเป็นอาคารสำนักงาน แต่ไม่ได้พูดในสภา ต้องเลื่อนไปวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ซึ่งเชื่อว่ายุบสภาไปแล้ว ดังนั้นการประชุมวันนี้( 26 มกราคม) จะให้ฝ่ายค้านนั่งฟังเพื่ออะไร รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ส.ส.ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลต้องรับผิดชอบเป็นองค์ประชุม ไม่ใช่ให้ฝ่ายค้านนั่งเป็นองค์ประชุม แต่ไม่อยู่ ต้องทำตามข้อบังคับของสภาฯ อย่างเคร่งครัดให้ตรวจสอบองค์ประชุม ถือเป็นความรับผิดชอบแต่ละบุคคล

ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมกล่าวขึ้นว่า “ผมนั่งอยู่บนนี้ เห็นหมด ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ารรัฐบาลอยู่พอๆกัน การทำหน้าที่ในสภาเป็นหน้าที่ของส.ส.ทุกกคน เพราะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ส่วนเรื่องเมื่อวานให้เป็นเรื่องเมื่อวาน ส่วนวันนี้เป็นเรื่องของวันนี้” พร้อมร้องขอให้ยกเลิกการเสนอนับองค์ประชุม แต่ไม่เป็นผลทำให้นายศุภชัย ต้องเรียกสมาชิกมาแสดงตนเมื่อเวลา 12.58 น.

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการแสดงตนดังกล่าวมีส.ส. กว่า 30 คนที่ใช้การแสดงตนด้วยการขานชื่อแทนการกดบัตรแสดงตน หลังจากที่ ส.ส.เพื่อไทย ชี้ชวนให้ประชาชนเห็นว่าการเข้าประชุมนั้นเป็นความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล

ต่อมาในเวลา13.20น. นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง ได้สลับมาทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม และใช้เวลารอองค์ประชุมเพียงไม่กี่นาที ก่อนจะกล่าวปิดการแสดงตน พร้อมกล่าวด้วยว่า “ผมขึ้นทีไร ก็ปิดการประชุมทุกที จนได้รับฉายาว่ามือปิดประชุม แต่ผมไม่รู้จะประชุมต่อได้อย่างไร เพราะองค์ประชุมไม่ครบ มีคนกดบัตรแสดงตน 122 คน และแสดงตนผ่านการขานชื่อ 30 คน และรวมผมด้วย เป็น 31 คน แต่ยังขาดอีกเยอะ องค์ประชุม ไม่เป็นองค์ประชุมต้องเลิกโดยปริยาย ต้องเลิกประชุม” และได้สั่งปิดประชุมในเวลา13.25น.

ทั้งนี้การที่องค์ประชุมสภาฯล่มดังกล่าวในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2566 เป็นต้นมา

"ดร.มหานิยม" ฉุน" นายกฯ"ตั้งกระทู้ถาม ทวงเงินตอบแทนบุคลากรม.สงฆ์ปัตตานีเป็นปีถูกเลื่อนตลอด



เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566  ที่ห้องประชุมรัฐสภา ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย  ได้ตั้งกระทู้ถามทั่วไปเพื่อถามนายกรัฐมนตรี ถึงการหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการรับเงินตอบแทน หรือเบี้ยหวัดเสี่ยงภัยให้กับบุคลากรที่ทำงานในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ในพื้นที่ 3  จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งใน 3  จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส เป็นปัญหาสำคัญที่ยื้อเยื้อมาตลอดและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขของประชาชนอยู่ ถึงแม้ในปัจจุบัน 

รัฐบาลจะใช้กำลังทหารและตำรวจเพื่อการดูแลความไม่สงบและป้องกันการถูกทำร้ายให้กับประชาชน แต่ยังไม่สามารถยุติความรุนแรงเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะการทำร้ายเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ การลอบฆ่าทหาร ตำรวจ ครู และพระภิกษุสงฆ์ที่ออกบิณทบาต ตลอดจนประชาชนทั่วไปก็ยังปรากฎให้เห็นในสื่อที่เสนอข่าว อย่างต่อเนื่องแทบทุกวัน เนื่องจากในพื้นที่ 3  จังหวัดชายแดนภาคใต้มีประชากรไทยที่นับถือศาสนาพุทธ คิดเป็นร้อยละ ๗ ของประซากรโดยรวมในพื้นที่ หรือ ประมาณ 125,000 คน ซึ่งความรุนแรงใน  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ สามเณร และชาวพุทธในพื้นที่ดังกล่าว เป็นอย่างมาก 

ทั้งการดำรงชีวิต การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี บุคลากรมีความเสี่ยงภัยจากการทำงานในมหาวิทยาลัยสงฆ์ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และที่สำคัญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ได้รับเงินตอบแทนหรือเบี้ยหวัดใด ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานราชการอื่น ๆ 

ทั้งนี้ ดร.นิยม  ได้ตั้งคำถาม ไปยังนายกรัฐมนตรี ว่า 

1. รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเงินตอบแทนหรือเบี้ยหวัดเสี่ยงภัยให้กับบุคลากรที่ทำงานมหาวิทยาลัยสงฆ์ในพื้นที่ 3  จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยมหาราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี ขอทราบรายละเอียด 3. รัฐบาล มีแผนงาน โครงการ และมาตรการกำกับดูแลอย่างไร เกี่ยวกับการรับเงินตอบแทน

หรือเบี้ยหวัดให้กับบุคลากรที่ทำงานในมหาวิทยาลัยสงฆ์ในพื้นที่ 3  จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากไม่มี จะขอให้พิจารณางบประมาณแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ จะได้หรือไม่ ปีงบประมาณใด อย่างไร ขอทราบรายละเอียด

ดร.นิยม ได้ตั้งกระทู้ถามไปตั้งแต่ วันที่ 29 เมษายน 2565 ในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25  ปีที่ 4 ครั้งที่ 21 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย ให้ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มาเป็นผู้ตอบ  และรมต.ก็เลื่อนการตอบ จนล่วงเลยมาถึงสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 4 ครั้งที่ 21(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง)  จึงได้ยื่นกระทู้อีกครั้ง แต่ก็ได้รับการเลื่อน การตอบกระทู้ ไปถึง 3 ครั้ง และในวันนี้ เป็นวันที่ รมต กระทรวงอุดมศึกษาฯ ต้องมาตอบ แต่พอถึงเวลา ก็เลื่อนอีกเป็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 

ดร.นิยม เห็นว่า เป็นการละเลย ไม่ใส่ใจ ที่จะให้ความช่วยเหลือต่อพระสงฆ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย บ่งบอกถึงการละเลยความรับผิดชอบ และไม่แยแสต่อพระพุทธศาสนา จึงอยากให้ ประธานในที่ประชุมรัฐสภา สั่งการให้ นายกรัฐมนตรีหรือ รมตฯ กระทรวงอุดมศึกษาฯ ให้การตอบกลับกระทู้นี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  ก่อนที่รัฐสภาจะสิ้นสุดวาระนี้ 

กรมศิลป์รับมอบพระพุทธรูปแกะสลักโบราณคืนจากชาวออสเตรเลีย



วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 นายณัฐพล ขันธหิรัญ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และคณะ ประกอบด้วยนางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ นายธนวัต ศิริกุล รองอธิบดีกรมสารเทศ นายณัฐพล ณ สงขลา ผู้อำนวยการกองทูตวัฒนธรรม เป็นผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ในพิธีมอบพระพุทธรูปไม้ที่มีผู้ประสงค์ส่งมอบคืนให้กับประเทศไทยผ่านกระทรวงการต่างประเทศให้แก่กรมศิลปากร เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ได้มอบหมายให้นายสถาพร เที่ยงธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยนางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นผู้แทนกรมศิลปากรเข้าร่วมในพิธี  ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ

พระพุทธรูปไม้แกะสลักที่ได้รับมอบในครั้งนี้มีจำนวน 9 องค์ เป็นพระพุทธรูปไม้แกะสลักขนาดเล็ก ซึ่งนาย Murray Upton ชาวออสเตรเลีย ประสงค์จะมอบคืนให้แก่ประเทศไทย โดยได้ประสานผ่านทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตามข้อมูลระบุว่า นาย Upton ได้รับพระพุทธรูปจากบิดาซึ่งเป็นนักสำรวจและวิศวกรของบริษัท Southern Siam ที่ได้สำรวจเส้นทางและก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2454 ในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง

ทางกรมศิลปากรได้พิจารณาและนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2565 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในการรับพระพุทธรูปดังกล่าวกลับคืนสู่ประเทศไทย กรมศิลปากรจึงขอความร่วมมือกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เป็นผู้แทนรับมอบและจัดส่งผ่านถุงเมล์การทูตกลับคืนสู่ประเทศไทย

สำหรับพระพุทธรูปไม้แกะสลักดังกล่าว ตามประวัติและรูปแบบศิลปกรรมเป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยฝีมือช่างพื้นถิ่นคงมีแหล่งที่มาจากภาคใต้ของประเทศไทย ปัจจุบันเหลือจำนวนไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่มักเป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนในพื้นที่สร้างถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อประดิษฐานในวัด หรือถ้ำศาสนสถาน จึงเป็นการดีที่ได้นำกลับมาเพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษารูปแบบศิลปกรรมของท้องถิ่นภาคใต้

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่รับมอบแล้วจะนำไปเก็บรักษาและจัดแสดงที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานีต่อไป

พล.อ.ประวิตรประชุมวางแผนทำงบฯปี 67 บูรณาการ 3 คณะ น้อมนำศาสตร์พระราชาสอดรับยุทธศาสตร์ชาติ



พล.อ.ประวิตรประชุมวางแผนทำงบฯปี67 บูรณาการ 3 คณะ  เกาะติดแก้ปัญหา จชต.-น้ำ-รัฐบาลดิจิทัล  น้อมนำศาสตร์พระราชาประยุกต์สอดรับยุทธศาสตร์ชาติ  ย้ำงานไม่ซ้ำซ้อน  ปชช.มีส่วนร่วม ได้ประโยชน์ตรงความต้องการ

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566  เวลา 10.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการปี 2567 ทั้ง 3 คณะต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็น 3 แผนงาน จากทั้งหมด 11 แผนงาน ที่ นรม.มอบหมาย  ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ  สมช.  ทำเนียบรัฐบาล

การประชุมคณะแรก (คณะที่ 1.1) การขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา จชต. ซึ่งมี สมช.เป็นเจ้าภาพหลัก ร่วมกับ กอ.รมน. และ ศอ.บต. โดยที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ กรอบงบประมาณรายจ่ายบูรณาการตามแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา จชต. งบปี2567 มีหลักเกณฑ์ในการจัดทำงบฯที่สำคัญ อาทิ ต้องสอดคล้องกับเจตนารมย์และเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีการเชื่อมโยงสนับสนุนซึ่งกันและกัน แบบห่วงโซ่คุณค่า (value chain) คำนึงถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของ UN รวมถึงให้มีการขยายผลตามแนวศาสตร์พระราชา และยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เป็นต้น ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ให้นโยบายการทำงาน ต้องลดความหวาดระแวง สร้างกระบวนการยุติธรรมให้เด่นชัด มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความยากจน และการพัฒนาการศึกษา ให้เป็นรูปธรรม

ต่อด้วย การประชุมคณะที่สอง (คณะที่ 1.2) แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มี สทนช.เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก โดยที่ประชุมได้เห็นชอบ หลักเกณฑ์การพิจารณาแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปี67 ซึ่งต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี และเป็นแผน/โครงการ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำที่ กนช. เห็นชอบแล้ว รวมทั้งได้พิจารณาเห็นชอบ แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำประจำปี 2567 ซึ่งจะมี 21 หน่วยงานจาก 8กระทรวง รับผิดชอบ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร  ได้กำชับ ให้ สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับประโยชน์ อย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน เนื่องจากน้ำมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ต่อทุกคน ทุกพื้นที่ และการบริหาร งป.ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ด้วย 

จากนั้น เป็นการประชุมคณะที่สาม (คณะที่ 1.3) แผนงานบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล โดยมีสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.)เป็นเจ้าภาพหลัก และมีการเห็นชอบ แนวทางการดำเนินงาน ภายใต้แผนงานบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล อย่างเป็นรูปธรรม มุ่งเน้น การพัฒนาบุคลากร การลดความซ้ำซ้อน การประหยัดงบประมาณ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ให้ครอบคลุมการบริการ และยกระดับคุณภาพการดำเนินชีวิตของประชาชน ทุกรูปแบบ

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบทั้ง 3แผนงาน โดยต้องร่วมกันคิด ร่วมกันทำ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยภาคประชาชน ให้ได้แนวทางที่ชัดเจน น้อมนำศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม เป็นรูปธรรม โดยงานจะต้องไม่เกิดการซ้ำซ้อน อย่างเด็ดขาด และการใช้งบประมาณอย่างประหยัด คุ้มค่า เกิดประสิทธิภาพ ประชาชนในพื้นที่จะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด ทั่วถึง นำมาซึ่งความอยู่ดีกินดี และยั่งยืน ต่อไป

วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์

  วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23: พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ พระไตรปิฎกเล...