วันที่ 21 มกราคม 2566 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ และน.ส.ศวิตา สำลีพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 จ.เลย ขึ้นเวทีเสวนา ‘SMEs สร้างไทย คนตัวเล็กสร้างชาติ’ ตอน ‘แก้หนี้กันเลย’ ที่ลานวัฒนธรรมริมโขง อ.เชียงคาน จ.เลย และร่วมพูดคุยกับเจ้าของผู้ประกอบการ โดยมีประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ความสใจมาร่วมฟังจำนวนมาก
นายวัชรา สุริยกุล ณ อยุธยา ประธานจังหวัดเลย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า จังหวัดเลยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 3 เครื่องคือ การค้า การบริการ และการเกษตร แต่ในช่วงโควิดภาคการบริการเงียบเหงา การค้าทรงตัว พืชผลการเกษตรราคาตก รวมทั้งเรื่องสงครามทำให้ราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบกาารเป็นหนี้ เงินรัฐบาลจะกู้เงินเข้ามา แต่ SMEs ในแต่ละจังหวัดกลับเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือเหล่านี้ ทั้งจังหวัดได้รับความช่วยเหลือแค่ 2 ราย นอกจากนี้ยังอยากให้ทำกระเช้าขึ้นภูกระดึงเพื่อที่จะได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังอยากให้พรรคช่วยเหลือให้มูลค่าผลผลิตการเพิ่มขึ้น หาเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มค่าแรง โดยแบ่งตามความสามารถและมีโครงการเพิ่มทักษะแรงงานเพื่อเพิ่มค่าแรง พร้อมทั้งขอให้มีการสร้างงานเสริมให้ผู้ค้าสลาก เพื่อเพิ่มทางเลือก หลังจากโดนกดราคาจากผู้รับโควตาสลาก
ด้านน.ส.เบญจมาภรณ์ ฉัตร์คำ เจ้าของบ้านต้นโขงเกสท์เฮ้าส์ กล่าวว่า ไม่มีใครไม่เจอผลกระทบโควิด จนเราต้องปรับตัวให้อยู่รอดกับมันให้ได้ นโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น เป๋าตังค์ เป็นนโยบายระยะสั้น ส่วนนโยบายพักหนี้ คนที่ไปขอพักหนี้ก็กลายเป็นคนไม่มีเครดิต ไม่สามารถไปขอกู้เพิ่มได้ สุดท้ายก็หันไปหน้าหนี้นอกระบบ เพราะยังมีภาระต้องใช้เงิน ลูกก็ต้องเรียน และปัญหาสำคัญสำหรับผู้ประกอบการคือปัญหาการขอใบอนุญาต พ.ร.บ.โรงแรม ทำให้โรงแรมขนาดเล็กต้องทำตามเงื่อนไขเดียวกับโรงแรมขนาดใหญ่ ซึ่งมันไม่เหมาะสม แถมยังต้องเสียภาษีหลายอย่าง แต่ขอให้เสียภาษีแบบเป็นธรรม
ส่วนนางอภิสรา คำมาพา เจ้าของกิจการมะพร้าวแก้วเคียงเลย กล่าวว่า การทำธุรกิจอาหารต้องผ่าน อ.ย. ที่ย่อมาจาก เอายาก เพราะผู้ประกอบการไม่มีเงิน ต้องเก็บเงินก้อนไว้ลงทุน แต่ถ้าจะได้ อ.ย. ก็ต้องหาเงินมาทำโรงเรือน และอื่นๆ ซึ่งมันไม่เอื้อกับธุรกิจขนาดเล็ก
ขณะที่นายสุพันธุ์ กล่าวว่า สิ่งที่ตัดสินใจมาลงการเมือง เพราะว่าตั้งแต่ทำงานในสภาอุตสาหกรรมก็เน้นเรื่องการส่งเสริมพัฒนา SMEs มาตลอด มีโอกาสได้พบกับนายกรัฐมนตรี ก็เสนอแนวทางแก้ไขเศรษฐกิจ เสนอแนวทางเรื่องน้ำ เรื่องเกษตร ท่านเพียงรับปาก แต่ไม่รับทำ เห็นเศรษฐกิจแย่ คนตัวเล็กลำบาก คนเป็นหนี้มากขึ้น จึงเข้ามาสู่การเมืองเพราะต้องการแก้หนี้ให้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ผมเคยชั่งใจจะไม่ลงการเมือง เพราะกลัวเสียเพื่อน แต่ถ้าผมไม่ลงการเมือง ผมจะเสียคนไทยอีกมากและเศรษฐกิจไทยที่ต้องพังเพราะหนี้ วันนี้ผมจึงตั้งใจจะมาแก้หนี้ให้ได้ทั้งในและนอกระบบ” นายสุพันธุ์ กล่าว
ทั้งนี้พรรคไทยสร้างไทยมีนโยบายกองทุนเครดิตประชาชน ให้กู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และดอกเบี้ยราคาถูก กู้ได้ตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท มีกองทุน SMEs ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมทั้งยกเว้นภาษี SMEs 3 ปี และกองทุนฟื้นฟูหนี้เสีย ช่วยเหลือให้ทุกคนหลุดออกจากเครดิตบูโรที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด ใช้งบประมาณที่รัฐบาลเคยกู้มาหมื่นล้านบาทมาแก้หนี้เสียให้ประชาชนกว่าห้าแสนคน รวมทั้งพักใช้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินกว่า 1,300 ฉบับเป็นเวลา 3 ปี รัฐทำให้การประกอบกิจการค้าขายเป็นเรื่องยาก ทั้งที่เป็นเรื่อง่ายๆ เพราะปัจจุบันมีกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอ อ.ย. ถ้าเป็นรัฐบาลจะไม่ให้ อ.ย. ทำอะไรแบบนี้ เหลือแค่ยาพอ ส่วนอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม ต้องทำสลากตามระเบียบ แล้วขออนุญาตได้ภายใน 7 วัน
นอกจากนี้ยังมีนโยบายเพิ่มราคาสินค้าเกษตร ยางพาราก้อน 45 บาทต่อกิโลกรัม ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะออกไปเจรจากับต่างประเทศ สร้างกลุ่มประเทศผู้ค้ายางพาราเพื่อกำหนดราคาให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าว, อ้อย, ปาล์ม เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสทำมาหากินด้วยนโยบายเรียนฟรีและลดเวลาเรียนลงไป 3 ปี และนโยบายดึงอีเวนต์โลกมาจัดที่ไทยและทำอีเวนต์ของไทยให้เป็นอีเวนต์โลก เช่น การแข่งขันมวยไทย เป็นต้น สร้างแลนด์มาร์กส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง กองทุนบำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท นโยบายหวยบำเหน็จ เราจะทำให้ทุกคนรวย ปลดหนี้สิน
“ผมมีวิธีการหาเงินหลายวิธี ผมหาเงินได้ ถ้าไม่เอาเงินไปซื้อรถถัง เรือดำน้ำ และแก้คนโกงให้ได้ เราจะเหลือเงินกลับมาให้ประชาชนอีกจำนวนมาก หลายคนบอกว่าพรรคเราเป็นพรรคเล็ก แต่เราจะเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ เราต้องไม่เอาการเมืองมาทำความลำบากให้ประชาชน แต่เอาการเมืองมาช่วยประชาชน” นายสุพันธุ์ กล่าว
ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย ในจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมาร่วมเวทีด้วยอาทิ นายณัฐพล เนื่องชมภู ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 จ.บึงกาฬ, และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จ.อุดรธานี ได้แก่ ว่าที่ ร.ต. ภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น เขต 2 นายหรั่ง ธุระพล เขต 3 นายโชคเสมอ คำมุงคุณ เขต 4 นายโอภาส พรหมโคตร เขต 5 นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ เขต 6 และนายฐานวัฒน์ ธนาธัญญพิชญ์ เขต 7 โดยมีการตั้งโต๊ะลงทะเบียนร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายบำนาญประชาชน กฎหมายพักการใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับใบอนุญาตประมาณ 1,300 ฉบับ และกฎหมายเกี่ยวกับการรวมตัวจัดตั้ง SMEs
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น