วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

"นิยม" เปิดแผน 20 ปี ปฏิรูปการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้ง 4 ยุทธศาสตร์ใหญ่ ชงตั้งสำนักโฆษกคณะสงฆ์


"นิยม เวชกามา" ผู้ช่วย รมต.ประจำนายกฯ เสนอวิสัยทัศน์ "การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 20 ปี" วาง 4 ยุทธศาสตร์หลัก ปฏิรูปการศึกษา–การเผยแผ่–การบริหารจัดการคณะสงฆ์ และสร้างเครือข่ายพุทธทั่วโลก 

วันที่ 11  กันยายน 2568  เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมใหญ่พุทธมณฑล จ.นครปฐม  นายนิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปบรรยายพิเศษ เรื่อง “วิสัยทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ความท้าทายและโอกาส” ในการประชุมสัมมนาบุคลากรเผยแผ่พระพุทธศาสนา” ประจำปีงบประมาณ 2568 ให้กับพระสังฆาธิการ คณะกรรมการการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด และบุคลากรด้านการเผยแผ่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต  นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษ

นายนิยม ได้กล่าวว่า ได้แสดงวิทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน 20 ข้างหน้า โดยได้วางยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ประเด็นหลัก ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์มีการวางหัวข้อย่อย พร้อมกับยกรัฐธรรมนูญปี 2568 ที่วางกรอบไว้  ทำไมต้องมีแผนยุทธศาสตร์  สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายก่อนจะวางแนวทางการพัฒนา เราจำเป็นต้องเข้าใจบริบทแวดล้อมอย่างชัดเจนเสียก่อน  ความท้าทายต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ปัจจุบันมองได้ 5 ประเด็นหลัก คือ 

หนึ่งวิกฤตศรัทธาและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์บางส่วนที่มัวหมอง การตีความพระธรรมวินัยที่บิดเบือน และการเน้นพุทธพาณิชย์มากกว่าพุทธธรรม ทำให้ศรัทธาของประชาชนสั่นคลอน สอง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี วิถีชีวิตที่เร่งรีบ สังคมวัตถุนิยม และอิทธิพลของสื่อดิจิทัล ทำให้คนรุ่นใหม่ห่างเหินจากวัดและการปฏิบัติธรรม สาม ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ ระบบการปกครองคณะสงฆ์บางส่วนอาจยังขาดประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส และไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สี่ ความขัดแย้งทางความคิด การเกิดขึ้นของลัทธิความเชื่อใหม่ๆ และความเห็นต่างในการตีความหลักธรรม อาจนำไปสู่ความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชน และ ห้า ภาวะขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ การลดลงของจำนวนพระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง ส่งผลกระทบต่อการสืบทอดพระศาสนาในระยะยาว



ตรงนี้ ภาระของรัฐหรือรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยและส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและงานคณะสงฆ์ เพราะรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวกำหนดไว้ว่า “รัฐมีหน้าที่ในการดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา” ไม่เฉพาะงานคณะสงฆ์เท่านั้นที่รัฐต้องส่งเสริมแม้กระทั้งในหมู่ชาวพุทธ รัฐก็ต้อง  รัฐต้องส่งเสริมการศึกษาและเผยแผ่หลักธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และพัฒนาจิตใจและปัญญาของประชาชน พร้อมสนับสนุนองค์กรทางศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วม รวมทัังป้องกัน ฟื้นฟู และดึงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในกิจการพระพุทธศาสนาด้วย

ยุทธศาสตร์ที่ 1: การศึกษาเพื่อปัญญา  เป้าหมาย : สร้างพุทธศาสนิกชนที่มี “สัมมาทิฏฐิ” เข้าใจแก่นแท้ของคำสอน สามารถแยกแยะระหว่างพุทธแท้และพุทธเทียมได้

1.โครงการ “พระไตรปิฎกออนไลน์” : จัดทำและเผยแพร่พระไตรปิฎกในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทั้งในรูปแบบหนังสือ สื่อดิจิทัล (E-book, Audiobook) และแอปพลิเคชัน พร้อมคำอธิบายเชิงวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

2.ปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรม : พระภิกษุต้องแม่นพระไตรปิฎก ปรับปรุงหลักสูตรนักธรรม-บาลี ให้ทันสมัย เน้นการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจและนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงเพื่อการสอบผ่าน ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการศึกษาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่

3.การอบรมการเขียนข่าว ผลิตคอนเท้นต์ ที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับบทบาทของพระสงฆ์ให้สามารถเป็นผู้นำด้านการเผยแพร่พระธรรมผ่านสื่อยุคใหม่

4.จัดตั้ง “สถาบันพุทธนวัตกรรมและการวิจัย” : เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาเชิงลึก เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสังคมร่วมสมัย เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพจิต และความขัดแย้ง โดยใช้หลักพุทธธรรมเป็นฐาน ส่งเสริมให้พระสงฆ์ตื่นตัวให้รู้ทันสังคม เรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม ที่เปิดโอกาสให้พระหนุ่มเณรน้อย เรียนศาสตร์สมัยใหม่ได้

5.ส่งเสริม “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” : จัดอบรมหลักสูตรพระพุทธศาสนาระยะสั้นสำหรับบุคคลทั่วไปในหลากหลายหัวข้อ เช่น พุทธเศรษฐศาสตร์ พุทธจิตวิทยา พุทธธรรมเพื่อการบริหาร เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การยกระดับการปฏิบัติและการเผยแผ่ (Practice & Propagation Enhancement)  เป้าหมาย: ทำให้วัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมเป็น “สัปปายะสถาน” ที่เป็นที่พึ่งทางใจ และสร้างศาสนทายาทที่มีคุณภาพ 

1.พัฒนาวัดให้เป็น “ศูนย์กลางการพัฒนาชีวิต” : ส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การปฏิบัติธรรม และการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Public Service) โดยมีพระสงฆ์เป็น “พระอาจารย์” และ “โค้ชชีวิต”

2.โครงการ “ธรรมะดิจิทัล” : สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์กลาง (National Dhamma Platform) เพื่อรวบรวมคำสอนที่ถูกต้อง หลักปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นช่องทางให้ประชาชนได้ปรึกษาปัญหาชีวิตกับพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ

3.จัดตั้งสำนักโฆษก และช่องทางสื่อสารของมหาเถรสมาคม เพื่อทำหน้าที่สื่อสารให้ความรู้ข้อหลักธรรมะ ข่าวสารกิจการของคณะสงฆ์ แถลงการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

4.สร้างภาคีเครือข่ายด้านสื่อมวลชน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และประสิทธิภาพการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงที

5.ปฏิรูปการบวชและพัฒนาระบบคัดกรอง : สร้างมาตรฐานกระบวนการบวชให้มีความเข้มข้น เพื่อให้ได้ผู้ที่เข้ามาในพระธรรมวินัยด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง พร้อมจัดตั้งระบบ “พระพี่เลี้ยง” เพื่อดูแลและให้คำปรึกษาแก่พระนวกะ

6.ส่งเสริม “การเผยแผ่เชิงรุกนานาชาติ” สนับสนุนการแปลพระไตรปิฎกและคัมภีร์สำคัญเป็นภาษาต่างๆ จัดตั้งศูนย์วิปัสสนากรรมฐานในต่างประเทศ และส่งพระธรรมทูตที่มีความสามารถทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติไปเผยแผ่พระศาสนาทั่วโลก

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การปฏิรูปการบริหารจัดการองค์กร (Organizational & Governance Reform)  เป้าหมาย สร้างองค์กรคณะสงฆ์ที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และเป็นที่น่าเคารพศรัทธาแผนงานหลัก

1.นำหลัก “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) มาใช้: จัดทำประมวลจริยธรรม (Code of Conduct) สำหรับพระสังฆาธิการทุกระดับ และจัดตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงการพระพุทธศาสนา” ขึ้นมาโดยเฉพาะ

2.พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง (Big Data): จัดทำระบบฐานข้อมูลพระภิกษุ-สามเณร วัด และทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ เพื่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

3.ปฏิรูปกฎหมายคณะสงฆ์: ทบทวนและปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นแกนกลาง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพุทธบริษัทสี่

5.จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาพระพุทธศาสนา”: ระดมทุนจากภาคประชาชนและภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาอย่างเป็นระบบและตรวจสอบได้

ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างเครือข่ายและส่งเสริมการมีส่วนร่วม (Network & Participation Building) เป้าหมาย ผนึกกำลัง “พุทธบริษัท 4” (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ให้ร่วมกันขับเคลื่อนงานพระศาสนาอย่างเป็นเอกภาพ

1.จัดตั้ง “สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ”: สร้างเวทีกลางให้ตัวแทนจากองค์กรชาวพุทธต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยน และกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกันเป็นประจำทุกปี

2.โครงการ “ครอบครัวธรรมะ”: ส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวเป็นรากฐานในการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาให้แก่เยาวชน

3.ส่งเสริม “องค์กรชาวพุทธเพื่อสังคม”: สนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินงานขององค์กรชาวพุทธที่ทำงานด้านต่างๆ เช่น การช่วยเหลือผู้ยากไร้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างสันติภาพ

4.สร้าง “เครือข่ายพุทธนานาชาติ”: สร้างความร่วมมือกับองค์กรชาวพุทธทั่วโลกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันเผยแผ่สัจธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กว้างไกล

“ปัจจัยแห่งความสำเร็จ การจะทำให้แผนนี้สำเร็จลุล่วงได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือ “ความจริงจังและจริงใจ” ของคณะสงฆ์ผู้เป็นผู้นำ และ “พลังศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา” ของพุทธศาสนิกชนทุกคน  แผนพัฒนาฉบับนี้เป็นเพียงกรอบแนวทางกว้างๆ ที่จะต้องมีการนำไปขยายผลและกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในลำดับต่อไป อาตมภาพหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะนำพาให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เป็นแสงสว่างนำทางให้แก่สังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน..”  นายนิยม กล่าวฝากทิ้งท้าย

วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 20 ปี

บทนำ

พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสังคมไทยมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ในบริบทปัจจุบัน ศาสนาประสบความท้าทายจากกระแสโลกาภิวัตน์ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ทำให้รูปแบบการเผยแผ่พระธรรมคำสอนจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย

การบรรยายพิเศษของนายนิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ณ พุทธมณฑล ได้เสนอ “วิสัยทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 20 ปี” โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 4 ประการ เพื่อรับมือกับปัญหาและความท้าทายที่กระทบต่อพระพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 21


ความท้าทายของพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน

จากการวิเคราะห์ของนายนิยม สามารถสรุปความท้าทายหลัก 5 ประการ ได้แก่

  1. วิกฤตศรัทธาและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน – ปัญหาพุทธพาณิชย์ ภาพลักษณ์สงฆ์เสื่อม และการบิดเบือนคำสอน

  2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี – ความเร่งรีบ วัตถุนิยม และสื่อดิจิทัลที่ดึงคนรุ่นใหม่ออกห่างวัด

  3. ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ – ระบบคณะสงฆ์ขาดประสิทธิภาพและความโปร่งใส

  4. ความขัดแย้งทางความคิดและความเชื่อ – การตีความหลักธรรมที่หลากหลายและความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ

  5. ภาวะขาดแคลนบุคลากรคุณภาพ – การลดลงของพระสงฆ์ที่ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง

ความท้าทายเหล่านี้ไม่เพียงกระทบต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชน แต่ยังสะท้อนความจำเป็นในการปรับปรุงการเผยแผ่และการบริหารจัดการพระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบ


ยุทธศาสตร์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 20 ปี

1. การศึกษาเพื่อปัญญา

เน้นการปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรม จัดทำ พระไตรปิฎกออนไลน์ ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมทางพุทธศาสนา รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งนี้เพื่อสร้างพุทธศาสนิกชนที่มี “สัมมาทิฏฐิ” และสามารถแยกแยะพุทธแท้–พุทธเทียมได้

2. การยกระดับการปฏิบัติและการเผยแผ่

มุ่งให้วัดเป็น ศูนย์กลางการพัฒนาชีวิต สร้างแพลตฟอร์ม “ธรรมะดิจิทัล” จัดตั้งสำนักโฆษกคณะสงฆ์ ปฏิรูปกระบวนการบวช และขยายงานเผยแผ่เชิงรุกสู่ระดับนานาชาติ

3. การปฏิรูปการบริหารจัดการองค์กร

ผลักดันให้คณะสงฆ์ใช้หลักธรรมาภิบาล จัดตั้งหน่วยงานป้องกันการทุจริต พัฒนาฐานข้อมูลกลาง ปรับปรุงกฎหมายคณะสงฆ์ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาพระพุทธศาสนา เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้

4. การสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม

จัดตั้ง สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ สนับสนุน “ครอบครัวธรรมะ” และองค์กรพุทธเพื่อสังคม ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายพุทธนานาชาติ เพื่อให้พระพุทธศาสนาเป็นพลังเชื่อมโยงทั้งในและต่างประเทศ


การวิเคราะห์เชิงวิชาการ

แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีนี้สะท้อน มิติการปฏิรูปแบบองค์รวม ตั้งแต่ระดับการศึกษา ปฏิบัติการเผยแผ่ การบริหารจัดการ จนถึงการสร้างเครือข่าย ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้

  1. ด้านทฤษฎี: แผนนี้มีรากฐานสอดคล้องกับหลัก ไตรสิกขา (ศีล–สมาธิ–ปัญญา) โดยเน้นการศึกษา (ปัญญา) การปฏิบัติธรรม (สมาธิ) และการบริหารจัดการอย่างมีคุณธรรม (ศีล)

  2. ด้านนโยบายสาธารณะ: การกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ยาวนาน 20 ปี ช่วยให้เกิดวิสัยทัศน์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับกลไกการบังคับใช้และความต่อเนื่องของนโยบายจากรัฐและคณะสงฆ์

  3. ด้านการจัดการศาสนา: การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลและฐานข้อมูลกลาง ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยให้พระพุทธศาสนาทันต่อสังคมยุคใหม่ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้การเผยแผ่ถูกลดทอนเหลือเพียง “ข้อมูล” โดยขาดมิติการปฏิบัติ

  4. ด้านสังคมและวัฒนธรรม: แผนนี้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ครอบครัว และองค์กรพุทธเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งสะท้อนแนวคิด “พุทธบริษัท 4” อย่างแท้จริง แต่ความท้าทายคือการประสานงานให้เป็นเอกภาพและยั่งยืน


ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. ควรกำหนด ตัวชี้วัดเชิงรูปธรรม ของแต่ละยุทธศาสตร์ เช่น จำนวนวัดต้นแบบ ศูนย์ธรรมะดิจิทัล หรือองค์กรเครือข่ายที่เข้าร่วม

  2. สร้างกลไก ติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง โดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบ

  3. พัฒนา บุคลากรสงฆ์และฆราวาส ที่มีทักษะด้านดิจิทัล การสื่อสารสาธารณะ และการบริหารจัดการ เพื่อเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนแผน

  4. ส่งเสริม ความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นร่วมสมัย เช่น สิ่งแวดล้อม สันติภาพ และสุขภาพจิต เพื่อให้พระพุทธศาสนามีบทบาทในระดับโลก


บทสรุป

แผน “การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 20 ปี” ของนายนิยม เวชกามา เป็นความพยายามเชิงยุทธศาสตร์ในการวางอนาคตพระศาสนาให้สอดคล้องกับสังคมสมัยใหม่ โดยมุ่งแก้ไขทั้งมิติวิกฤตศรัทธา ปัญหาการบริหาร และการขาดแคลนบุคลากร พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายพุทธสู่ระดับนานาชาติ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนนี้ขึ้นอยู่กับ ความจริงจังและจริงใจของคณะสงฆ์ ร่วมกับ พลังศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาของพุทธศาสนิกชน หากสามารถประสานพลังได้อย่างมีระบบ พระพุทธศาสนาย่อมยังคงเป็นพลังทางจิตวิญญาณและคุณธรรมที่นำทางสังคมไทยและโลกอย่างยั่งยืน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...