วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท, ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เปิดเผยว่า ถึงช่วงแห่งการรับปริญญาของมหาวิทยาลัยต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ มจร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งคณะสงฆ์ไทยศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง โดยในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้ามองว่าปริญญา หมายถึง การกำหนดรู้ การทำความรู้จัก การทำความเข้าใจโดยครบถ้วน สามารถแบ่งออกเป็น ๓ ปริญญา ประกอบด้วย
๑)ญาตปริญญา (การรู้จัก)
เป็นกำหนดรู้ด้วยให้เป็นสิ่งอันรู้แล้ว กำหนดรู้ขั้นรู้จัก กำหนดรู้ตามสภาวลักษณะ คือ ทำความรู้จักจำเพาะตัวของสิ่งนั้นโดยตรง พอให้ชื่อว่าได้เป็นอันรู้จักสิ่งนั้นแล้ว เช่นว่ารู้ นี้คือเวทนา เวทนาคือสิ่งที่มีลักษณะเสวยอารมณ์
๒)ตีรณปริญญา (การรู้รอบ)
เป็นการกำหนดรู้ด้วยการพิจารณา กำหนดรู้ขั้นพิจารณา กำหนดรู้โดยสามัญลักษณะ คือ ทำความรู้จักสิ่งนั้นพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เช่นว่า เวทนาไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
๓)ปหานปริญญา (การรู้ละ)
เป็นการกำหนดรู้ด้วยการละ กำหนดรู้ถึงขั้นละได้ กำหนดรู้โดยตัดทางมิให้ฉันทราคะเกิดมีในสิ่งนั้น คือรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ละนิจจสัญญา
ปริญญา ๓ นี้ เป็นโลกียะ มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เป็นกิจในอริยสัจข้อที่ ๑ คือ ทุกข์ ในทางปฏิบัติ จัดเข้าใน วิสุทธิข้อ ๓ ถึง ๖ คือ ตั้งแต่นามรูปปริเฉท ถึง ปัจจยปริคคหะ เป็นภูมิแห่งญาตปริญญา ตั้งแต่กลาปสัมมสนะ ถึง อุทยัพพยานุปัสสนา เป็นภูมิแห่งตีรณปริญญา ตั้งแต่ ภังคานุปัสสนาขึ้นไป เป็นภูมิแห่งปหานปริญญา
ความเมตตาของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพรหมบัณฑิต ปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนา ได้ให้แง่มุมของปริญญาไว้น่าสนใจ โดยสะท้อนว่า ปริญญานั้นเป็นเรื่องของชาวโลก เรียกว่าปริญญาบัตร จบปริญญาตรี ก็เป็นปริญญาชั้นปริญญาตรี สูงขึ้นไปก็เป็นปริญญาโท สูงขึ้นไปอีกก็เป็นปริญญาเอก แต่ไม่ใช่ปริญญาในพระพุทธศาสนา โดยปริญญาในพระ พุทธศาสนาใครก็มีสิทธิ์ได้รับปริญญานี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าห้องเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ปฏิบัติตนในฐานะชาวพุทธอย่างสม่ำเสมอ ก็ได้ปริญญา ๓ ขั้นเหมือนกัน
โดยสอดรับกับพระบาลีว่า ตีหิ ปริญญาหิ ปริชาเนยุย เป็นต้น แปลความว่า คนเราควรรู้หรือรอบรู้ด้วยปริญญา ๓ ขั้น ประกอบด้วย ๑)ญาตปริญญา ๒)ติรณปริญญา ๓)ปหานปริญญา ถ้าได้ปริญญาครบ ๓ ขั้น ชื่อว่าได้ปริญญาเอกในทางพระพุทธศาสนา บางคนจบปริญญาเอกทางโลก แต่สอบตกปริญญาทางพระพุทธศาสนา มีปัญหาชีวิต มีปัญหาครอบครัว ฆ่ากันตายบ้าง ทำร้ายกันบ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง ติดคุกบ้าง สอบตกหมดยกบ้านยกครอบครัว แสดงว่าไม่มีความรู้ในทางพระพุทธศาสนา สมกับที่เป็นปริญญาคือเข้าวัดเข้าวาฟังเทศน์ ฟังธรรม โดยปริญญาในทางพระพุทธศาสนาชื่อว่ามี ๓ ขั้น ประกอบด้วย
ขั้นที่ ๑ ญาตปริญญา แปลว่าขั้นรู้จัก ถือว่าเป็นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ขั้นว่าอะไรเป็นอะไรนี้เป็นเบื้องต้น เป็นปริญญาแรก คือเป็นปริญญาตรีเท่านั้น โดยรู้ว่าอะไรคืออะไรยังไม่ช่วยให้ตนเองดับทุกข์ เป้าหมายคือแก้ปัญหา รู้ว่าอะไรเป็นอะไรยังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้
ขั้นที่๒ ตีรณปริญญา แปลว่าขั้นพิจารณา เป็นการรู้เชื่อมโยงว่ามันมาจากไหน มีเหตุเป็นอย่างไร จะดับเหตุได้อย่างไร เรียกว่า ตีรณปริญญา หมอรู้รอบพิจารณาว่ามะเร็งมาจากไหน ทานยาอะไร ฉีดยาอะไรแล้วมันจะหาย นี้เรียกว่ารู้สูงขึ้นไป
ขั้นที่ ๓ เรียกว่าปหานปริญญา แปลว่าขั้นละ ตอนรักษานี้ หมอรักษาก็ดี เราร่วมกันรักษาก็ดี ในฐานะคนไข้ใช้ยาขนานนี้ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง สมุนไพรช่วยได้ไหม เคโมเทเลพีค ฉีดเคมีเข้าไป ดีขึ้นหรือเราแพ้ยา แล้วควรที่จะรักษาต่อ หรือควรจะหยุด อันนี้เป็นขั้นที่ ๓ เพียงแต่รู้ว่าเราป่วยเป็นอะไรอย่างเดียว เป็นขั้นที่ ๑ การเจ็บป่วยมาจากสมุฏฐานอะไร รักษาอย่างไรเป็นขั้นที่ ๒ การรักษาติดตามเป็นขั้นที่ ๓ คนเรานั้นต้องรู้ให้ครบ ๓ ขั้น จึงเรียกว่าได้ปริญญาในชีวิตครบจริงๆ
ถือว่าเป็นความตอนหนึ่ง พระธรรมเทศนา ปริญญากถา ว่าด้วยปริญญาทางศาสนา วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดย พระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต ครูบาอาจารย์ที่เป็นต้นแบบที่มีวิชายอด จรณะเยี่ยม เปี่ยมด้วยกรุณา หยิบยื่นดวงตาชาวโลก โดยสรุปว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงปริญญาได้ แต่ต้องมุ่งปหานปริญญา เป็นปริญญาขั้นสูงสุดด้วยการรู้ละ เพราะปริญญามุ่งรู้จัก มุ่งรู้รอบ มุ่งรู้ละถือว่าขั้นสูง จากปริญญาบัตรทางโลกยกเป็นปริญญาแห่งชีวิต ยกระดับปริญญาโลกเป็นปริญญาทางธรรม เพราะปริญญาในพระพุทธศาสนาทุกคนมีสิทธิ์ได้รับและเข้าถึงอย่างเสมอภาคแต่ต้องฝึกพัฒนาตนเอง สิ่งที่น่าห่วงมากในปัจจุบันคือ จบปริญญาตรี โท เอกทางโลก แต่สอบตกปริญญาทางพระพุทธศาสนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น