วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ยืนยัน!กู้รถ-ร่างนศ.ไทยขับรถตกเหวที่สหรัฐฯ 2 ทุ่มวันนี้
วันที่ 1 ก.ย.2560 นายโทนี่ บอตติ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานเชอรีฟ ได้ยืนยันกับทางสยามทาวน์ยูเอส(SiamTownUS)แล้วว่าวันที่ 1 ก.ย.2560นี้ ทางเจ้าหน้าที่จะมีการทำการเก็บกู้รถและร่างของนักศึกษาไทยที่ขับรถตกเหวที่ไฮเวย์ 180 ที่อุทยานแห่งชาติ คิงส์แคนยอน แคลิฟอร์เนีย โดยจะเริ่มเวลา 6.00 น. ตามเวลาที่แคลิฟอร์เนีย หรือเวลาไทย 20.00 น.
เมืองปากน้ำจัดอบรมมัคนายกน้อยรุ่นที่1
พุทธสมาคมจังหวัดสมุทรปราการจับมือ พศจ. และอนุศาสนาจารย์ จัดอบรมมัคนายกน้อยรุ่นที่ 1
วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นวันที่สองของการอบรมมัคนายกน้อย รุ่นที่ 1 ของพุทธสมาคมจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งวันแรกผ่านไปด้วยดีโดยมีนางเพ็ญประภา แพงไทย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานในพิธีเปิด รวมถึงคณะอนุศาสนาจารย์ จากกองอนุศาสนาจารย์ กรุมยุทธศึกษาทหารบก นำโดยพันเอกอัครินทร์ กำใจบุญ พันโทบวรวิทย์ ไชยศิลป์ และร้อยเอกวีรพนธ์ บุตรนาม พร้อมกันนี้ได้รับความเมตตาจากพระครูภาวนาสมณคุณ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคล ในฐานะที่ปรึกษาและอุปถัมภ์ พุทธสมาคมจังหวัดสมุทรปราการ ได้อนุเคราะห์ให้ใช้สถานที่พร้อมทั้งพระเณรได้จัดสถานที่อย่างสวยงาม
โดยมีการฝึกปฏิบัติตามศาสนพิธีทุกประการ พร้อมกันนี้ยังมีการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเดินจงกรมด้วย
วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นวันที่สองของการอบรมมัคนายกน้อย รุ่นที่ 1 ของพุทธสมาคมจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งวันแรกผ่านไปด้วยดีโดยมีนางเพ็ญประภา แพงไทย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานในพิธีเปิด รวมถึงคณะอนุศาสนาจารย์ จากกองอนุศาสนาจารย์ กรุมยุทธศึกษาทหารบก นำโดยพันเอกอัครินทร์ กำใจบุญ พันโทบวรวิทย์ ไชยศิลป์ และร้อยเอกวีรพนธ์ บุตรนาม พร้อมกันนี้ได้รับความเมตตาจากพระครูภาวนาสมณคุณ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคล ในฐานะที่ปรึกษาและอุปถัมภ์ พุทธสมาคมจังหวัดสมุทรปราการ ได้อนุเคราะห์ให้ใช้สถานที่พร้อมทั้งพระเณรได้จัดสถานที่อย่างสวยงาม
โดยมีการฝึกปฏิบัติตามศาสนพิธีทุกประการ พร้อมกันนี้ยังมีการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเดินจงกรมด้วย
ปฏิปทาหลวงปู่ประสารกวาดห้องสุขาสอนธรรม
ปฏิปทาหลวงปู่ประสารกวาดห้องสุขาสอนธรรม 9 กันยายนนี้จะมีพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุนเข้ามูลนิธิหลวงปู่
วันที่ 1 ก.ย.2560 เฟซบุ๊กหลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณ 1 หมื่นคนได้โพสต์ภาพและข้อความเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2560 ความว่า
"ปฏิปทาของหลวงปู่เป็นตัวอย่างให้ลูกหลานปัจจุบันองค์หลวงปู่อายุ 88 ปีหลวงปู่ท่านให้โอวาทว่าพูดจริงทำจริงเห็นจริง"
เมื่อติดตามดูในเฟซบุ๊กของหลวงปู่แล้วเป็นกิจวัตรที่ท่านทำเป็นประจำ พร้อมกันนี้ในวันที่ 9 กันยายน 2560 จะมีพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุนเข้า "มูลนิธิสงฆ์อาพาธ หลวงปู่ประสาร สุมโน โรงพยาบาลยโสธร" โดยมีคลิปที่"หม่ำ จ๊กมก" เชิญชวนด้วย
วันที่ 1 ก.ย.2560 เฟซบุ๊กหลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณ 1 หมื่นคนได้โพสต์ภาพและข้อความเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2560 ความว่า
"ปฏิปทาของหลวงปู่เป็นตัวอย่างให้ลูกหลานปัจจุบันองค์หลวงปู่อายุ 88 ปีหลวงปู่ท่านให้โอวาทว่าพูดจริงทำจริงเห็นจริง"
เมื่อติดตามดูในเฟซบุ๊กของหลวงปู่แล้วเป็นกิจวัตรที่ท่านทำเป็นประจำ พร้อมกันนี้ในวันที่ 9 กันยายน 2560 จะมีพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุนเข้า "มูลนิธิสงฆ์อาพาธ หลวงปู่ประสาร สุมโน โรงพยาบาลยโสธร" โดยมีคลิปที่"หม่ำ จ๊กมก" เชิญชวนด้วย
"ออมสิน"ถวายมุทิตาสักการะสมเด็จช่วง
วันที่ 31 สิงหาคม 2560 เวลา 16.00 น. ที่วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าถวายมุทิตาสักการะ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺญมหาเถร ป.ธ.9) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ เนื่องในโอกาสเจริญอายุวัฒนมงคลครบ 92 ปี 72 พรรษา วันที่ 26 สิงหาคม 2560
โดยมีนายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และนายสมบัติ พิมพ์สอน ผู้อำนวยการกลุ่มการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก
...................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
มส.ชี้สังคมพหุวัฒนธรรมแท้จริงคือหัวใจอาเซียน
มส.แนะมหาจุฬาฯต้องเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในอาเซียน พร้อมตอบโจทย์ภาครัฐและมหาวิทยาลัย ชี้การอยู่ร่วมกันท่ามกลางพหุวัฒนธรรมหัวใจของอาเซียน มีการจัดการศึกษาเป็นฐาน
วันที่ 31 ส.ค.2560 พระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร. กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคมหาบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เจ้าคณะภาค 2 เจ้อาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร บรรยายเรื่อง "Roadmap สู่การเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในภูมิภาคอาเซียนและของโลก" จัดโดยศูนย์อาเซียนศึกษา มจร ซึ่งมีพระศรีธวัชเมธี รองผู้อำนวยการกล่าวถวายรายงานถึงวัตถุประสงค์ในการทำแผนยุทธศาสตร์ศูนย์อาเซียนศึกษา
พระพรหมบัณฑิต กล่าวว่า ถือว่าเป็นการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมของศูนย์อาเซียนศึกษา ถือว่าเป็นระยะเริ่มต้นในการทำงาน ศูนย์อาเซียนศึกษาเกิดขึ้นเพราะ " เรามีความจำเป็นมากกว่าความต้องการ "ซึ่งทางภาครัฐเปิดประตูเข้าหากันในประชาคมอาเซียน จึงมีความจำเป็นมาก ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนจากภายนอกมากกว่าการขับเคลื่อนจากภายใน คำถามคือ " ปัจจุบันมหาจุฬาฯต้องการศูนย์อาเซียนไหม?" ถือว่าเป็นโจทย์ที่ต้องตอบให้ได้ ก่อนจะเกิดศูนย์อาเซียน มหาจุฬาฯเป็นอย่างไร? ศูนย์อาเซียนมิใช่การเริ่มใหม่ แต่เป็นการรวบรวมสิ่งที่มีอยู่แล้ว
"เราอย่าทำให้เป็นลักษณะขี้ช้างจับตั๊กแตน ศูนย์อาเซียนต้องทำงานระดับคณะ ระดับวิทยาลัย โดยยกวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ IBSC เป็นตัวอย่างว่า ต้องทำให้ระดับวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ คำถามคือ เราตั้งศูนย์อาเซียนศึกษามาทำไม ? เราถึงจะกำหนดวิสัยทัศน์ หรือ SWOT ได้ เราทำเมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนเท่านั้น ถ้าเราตั้งวิสัยทัศน์ว่า เป็นเลิศในการบริการวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและพหุวัฒนธรรมในอาเซียน ระดับโครงการก็สามารถทำได้ จึงต้องกลับมาทบทวนว่า เราจะต้องสนองนโยบายภาครัฐอย่างไร ? ศูนย์อาเซียนมหาวิทยาลัยอื่นตั้งขึ้นเพื่ออะไร? ต้องไปดูคนอื่น มหาจุฬาฯสนองวัตถุประสงค์ของรัฐหรือไม่ อย่างไร? และมหาจุฬาฯต้องการศูนย์อาเซียนหรือไม่อย่างไร ? งานของศูนย์อาเซียนซ้ำซ้อนหรือไม่ ถ้าซ้ำซ้อนตั้งมาเพื่ออะไร?" อธิการบดี มจร กล่าวและว่า
อาเซียนศึกษาต้องตั้งวิสัยทัศน์ที่สามารถตอบโจทย์ระดับประชาคมอาเซียน มี 3 หลัก คือ " เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม การเมือง " โดยใส่ใจเรื่องสันติภาพในอาเซียน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในอาเซียนท่ามกลางพหุวัฒนธรรม ไม่สร้างความขัดแย้งในเรื่องของศาสนาในอาเซียน พระพุทธศาสนาต้องไปสร้างเสถียรภาพในการอยู่ร่วมกัน นี่คือ มุมมองของภาครัฐ ส่วนมุมมองของมหาจุฬาฯ นิสิตมาเรียนมหาจุฬาฯประเทศใดมาเรียนเยอะที่สุด เพราะเหตุใด ในวิทยาลัยเขตเรามีการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศอาเซียนอย่างไร
มหาจุฬาฯจึงมีการพัฒนา 3 ระดับ คือ "ระดับภูมิภาค ระดับอาเซียน และระดับโลก" เช่นที่เป็นรูปธรรม คือ วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาจุฬาฯ ทั่วโลกต้องมาทำวิจัยที่มหาจุฬาฯ จริงๆ แล้ว การศึกษาในระดับปริญญาโท-เอก ไม่อยากให้มีในวิทยาลัยเขต อยากให้มีส่วนกลางเท่านั้นเพราะการพัฒนาคุณภาพไม่อยากให้กระจาย แต่วิทยาลัยเขตต้องสร้างความสัมพันธ์กับภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เราจะเอาวิทยาลัยเขตใดเป็นศูนย์กลางอาเซียน
ศูนย์อาเซียนจะต้องเชื่อมกับวิทยาลัยเขต เช่น เราไปวิทยาลัยเขตสุรินทร์ ต้องมีศูนย์อาเซียน ใครจะเรียนภาษากัมพูชา ต้องไปเชื่อมวิทยาลัยเขตสุรินทร์ วิทยาลัยเขตต้องเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศอาเซียนศูนย์อาเซียนต้องเชื่อมประสาน เราจะบริการด้านพระพุทธศาสนามี 6 ประเทศ เช่น เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา สิงคโปร์ ลาว เป็นต้น ส่วนพหุวัฒนธรรม 3 ประเทศ เช่น มาเลเชีย อินโดนีเชีย บรูไนเป็นศาสนาอิสลาม ส่วนฟิลิปินส์ เป็นศาสนาคริสต์
ด้านเศรษฐกิจ สถาบันการศึกษาต้องส่งเสริมด้านภาษาเพื่อการสื่อสาร ใช้ภาษาในการสื่อสารของประเทศนั้นๆ หรือ ภาษาอังกฤษ แล้วใครรับผิดชอบเกี่ยวกับภาษาอาเซียน นิสิตอยากจะเรียนภาษาอาเซียน ศูนย์อาเซียนจะมีบทบาทอย่างไร ? ภาษาอังกฤษยกให้สถาบันภาษา แต่ภาษาอาเซียนต้องศูนย์อาเซียนเท่านั้น นิสิตอยากจะทราบเกี่ยวกับคัมภีร์พระพุทธศาสนาในอาเซียน เราทำแผนยุทธศาสตร์ถามว่าสัมพันธ์กับวิทยาลัยสงฆ์หรือไม่ ต้องไม่แยกกัน เรามีหลักสูตรสันติศึกษา ต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อิสลามในอินโดนีเชีย มาเลเชีย บรูไน มี ๓ ประเภท แต่ละประเทศอยู่ในกลุ่มใด เราโชคดีที่อยู่ในกลุ่ม เราเป็นศูนย์อาเซียนเราจะทำอย่างไร ? เพื่อการอยู่ร่วมกัน เราต้องจัดประชุมสันติสนทนาระหว่างศาสนา อย่าคิดว่าแค่บริการวิชาการเท่านั้น อย่าคิดแค่บริการวิชาการเท่านั้น แต่ต้องจัดการศึกษา ส่งเสริม แลกเปลี่ยน เชื่อมโยง ทำเองไม่ได้เราจะร่วมมือกับใคร จัดหลักสูตรระยะสั้น หลักสูตรประกาศนียบัตร พุทธศิลป์ในพระพุทธศาสนาในอาเซียน
อย่าคิดว่าแต่บริการวิชาการเท่านั้น แต่ต้องทำให้ครบทุกภารกิจมหาจุฬาฯ สร้างเครือข่ายเชื่อมโยง เราต้องมีคนกลางในประเทศนั้นๆ เพื่อต้องการข้อมูล รวมถึงศิษย์เก่าจากมหาจุฬาฯด้วย อนาคตเราต้องตั้งสำนักงานเพื่อให้คนมาใช้บริการ เพราะศูนย์อาเซียนเทียมเท่ากับวิทยาลัย เราต้องคิดงานให้ใหญ่ ศูนย์อาเซียนมหาจุฬาฯเราต้องระดมความคิดจากนิสิตและคนในประเทศนั้นๆ เขาคาดหวังอะไร ? เขาต้องการอะไร ?
มหาจุฬาฯต้องเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาในอาเซียนเป็นอย่างไร ? ศูนย์อาเซียนจะทำอย่างไร ? เช่น พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาทั่วโลก โดยมีฐานข้อมูล งานวิจัย วรรณกรรม หนังสือพระพุทธศาสนาทั่วโลก พุทธศิลป์ทั่วโลก เรียกว่า มีครบวงจรอยู่ที่เดียว มีศูนย์กลางการประชุมสามารถประชุมกันได้ทั่วโลก ต่อไปจะมีการเชิญครูบาอาจารย์มาจากทั่วโลกมาบรรยาย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใครมีงานวิจัยอะไรมานำเสนอ ศูนย์อาเซียนต้องเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ ต้องสนองงานมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในอาเซียน นิสิตจากอาเซียนต้องสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรม อนาคตต้องมีอาคารสถานที่เป็นของตนเอง เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียน เราต้องคิดให้เต็มรูปแบบในการทำแผนยุทธศาสตร์ ใครอยากรู้พระพุทธศาสนาในอาเซียนต้องมาที่ศูนย์อาเซียน สังคมพหุวัฒนธรรมเราจะประชุมร่วมกันอย่างไร ? ท่ามกลางความแตกต่างทางศาสนา
รัฐบาลมุ่งให้เราทำให้เรื่องพหุวัฒนธรรม แผนยุทธศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับงบประมาณสอดคล้องกับนโยบายของประเทศและนโยบายมหาจุฬาฯ ถึงสามารถมีงบประมาณสนับสนุนได้ แต่ถ้าวิสัยทัศน์เราแคบก็เป็นของส่วนงานอื่น วิสัยทัศน์เราต้องกว้าง เช่น " มีความเป็นเลิศด้านอาเซียน " ต้องมีสำนักงานที่เชื่อมกับวิทยาเขต เน้นเรื่องอะไร ศูนย์อาเซียนศึกษาต้องไม่เริ่มใหม่ นำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาขับเคลื่อน มีใครเป็นผู้ประสานงานในประเทศนั้นๆ ต้องมีสำนักงานในต่างประเทศอาเซียน เราต้องสามารถตอบโจทย์ ทำไมศูนย์อาเซียนศึกษาจะต้องเป็นระดับวิทยาลัย ต้องใช้การ SWOT จุดแข็งเราคืออะไร จุดอ่อนเราคืออะไร เราต้องเตรียมเว็บไซต์ของอาเซียน ทำ 10 ภาษา ให้นิสิตมาช่วยกัน
"ฉะนั้น " เราต้องเริ่มต้นจากจุดแข็งที่เรามี " ใช้หลักของปาเรโต ทำ 20 ส่วนได้ 80ส่วน อย่าทำ 80 แล้วได้ 20 เสียของเสียงบประมาณ ถ้าเราสามารถทำ 20 ได้ 80 นั่นคือสุดยอดของหน่วยงานใหม่ เราต้องใช้เครือข่ายในการทำงาน เอาสิ่งที่เรามีแล้วมาทำ ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก นำนิสิตของเรามาช่วยมาระดมสมองเพื่อความต้องการความคาดหวังที่แท้จริง" พระพรหมบัณฑิต กล่าวในที่สุด
และวันเดียวกันนี้พระพรหมบัณฑิตเป็นประธานกล่าวเปิดงานมหกรรมส่งเสริมศีลธรรมและการประกวดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้านพระพุทธศาสนา ปี 3 (MCU Contest) รอบคัดเลือกระดับภาค ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 1 ณ โรงเรียนส่งเสริมพระพุทธศาสนา วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมกว่า 1,300 คน
"""""""""""""""""""""""""""
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Pramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา ณ ห้องสันติศึกษา มหาจุฬาฯ)
"สนช."ยกชุมชนย่านกะดีจีนเป็นชุมชนสันติสุข
"สนช."แถลงข่าวจัดงานมหกรรม 6 ชุมชน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ ย่านกะดีจีน
วันนี้ เวลา 09.00 น. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้มีการแถลงข่าว การจัดงานมหกรรม 6 ชุมชนย่านกะดีจีน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ เกื้อหนุน สู่สันติสุข ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 1 ผู้ที่เข้าร่วมการแถลงข่าวในวันนี้ นำโดย 1. พลตำรวจเอก พิชิต ควรเดชะคุปต์ ประธานคณะกรรมาธิการ การศาสนาศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว 2. นายสมพร เทพสิทธา ประธานอนุกรรมการด้านศาสนา 3.นายศรีศักดิ์ ว่องส่งสาร ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศิลปะวัฒนธรรม 4.พลอากาศเอก ธงชัย แฉล้มเขตร โฆษกคณะกรรมาธิการ 5. พลเอก ภาณุวัชร นาควงษ์ กรรมาธิการ 6.นางปิ่นทอง วงษ์สกุล ผู้แทนชุมชนย่านกะดีจีน 6 ชุมชน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ
โดยมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อการเรียนรู้เชิงประจักษ์ของสาธารณะชนในวงกว้าง เกี่ยวกับชุมชนต้นแบบของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ในความแตกต่างกันทางศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ล่ะชุมชนในย่านกะดีจีน 2.เพื่อเชิดชูชุมชนย่านกะดีจีน ให้เป็นแบบอย่างของชุมชนสันติสุข พร้อมขยายแนวคิดและวิธีการไปสู่พื้นที่ชุมชนอื่นๆ ที่มีความหลากหลายทางความเชื่อ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนเป็นการเสริมสร้างสันติสุขของสังคมอันเป็นองค์ประกอบสำคัญนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ 3. เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาของชุมชนย่านกะดีจีนอย่างต่อเนื่องในการเป็นชุมชนสันติสุขต้นแบบ
โดยการสนับสนุนของส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนและขยายผลไปสู่พื้นที่ชุมชนอื่นต่อไป และรวมไปถึงการมาร่วมกันประชาสัมพันธ์งานมหกรรม 6 ชุมชนย่านกะดีจีน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ เกื้อหนุน สู่สันติสุข ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 9 กันยายน 2560 ที่จะถึงนี้
วันนี้ เวลา 09.00 น. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้มีการแถลงข่าว การจัดงานมหกรรม 6 ชุมชนย่านกะดีจีน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ เกื้อหนุน สู่สันติสุข ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 1 ผู้ที่เข้าร่วมการแถลงข่าวในวันนี้ นำโดย 1. พลตำรวจเอก พิชิต ควรเดชะคุปต์ ประธานคณะกรรมาธิการ การศาสนาศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว 2. นายสมพร เทพสิทธา ประธานอนุกรรมการด้านศาสนา 3.นายศรีศักดิ์ ว่องส่งสาร ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศิลปะวัฒนธรรม 4.พลอากาศเอก ธงชัย แฉล้มเขตร โฆษกคณะกรรมาธิการ 5. พลเอก ภาณุวัชร นาควงษ์ กรรมาธิการ 6.นางปิ่นทอง วงษ์สกุล ผู้แทนชุมชนย่านกะดีจีน 6 ชุมชน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ
โดยมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อการเรียนรู้เชิงประจักษ์ของสาธารณะชนในวงกว้าง เกี่ยวกับชุมชนต้นแบบของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ในความแตกต่างกันทางศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ล่ะชุมชนในย่านกะดีจีน 2.เพื่อเชิดชูชุมชนย่านกะดีจีน ให้เป็นแบบอย่างของชุมชนสันติสุข พร้อมขยายแนวคิดและวิธีการไปสู่พื้นที่ชุมชนอื่นๆ ที่มีความหลากหลายทางความเชื่อ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนเป็นการเสริมสร้างสันติสุขของสังคมอันเป็นองค์ประกอบสำคัญนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ 3. เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาของชุมชนย่านกะดีจีนอย่างต่อเนื่องในการเป็นชุมชนสันติสุขต้นแบบ
โดยการสนับสนุนของส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนและขยายผลไปสู่พื้นที่ชุมชนอื่นต่อไป และรวมไปถึงการมาร่วมกันประชาสัมพันธ์งานมหกรรม 6 ชุมชนย่านกะดีจีน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ เกื้อหนุน สู่สันติสุข ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 9 กันยายน 2560 ที่จะถึงนี้
วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เกาหลีใต้จัดประชุมศาสนาสันติภาพโลก17-19ก.ย.นี้
การประชุมศาสนาสันติภาพโลก ครั้งที่ 3 หรือ World Alliance of Religions Peace (WARP) ในด้านของสันติภาพ ศาสนา วัฒนธรรมที่แตกต่างตลอดจนแนวทางการจะอยู่ร่วมกันอย่างไรให้มีความสงบสุข ซึ่งเป็นองค์กร NGO ภายใต้ เครือข่ายของ สหภาพ UN หรือ DPI – Department of Public information
โดยในงานนี้จะมีผู้นำทางด้านศาสนาต่างๆ นักการเมือง ผู้นำสตรีจากทุกมุมโลก สภายุวชนโลก(Youth group) และสื่อชั้นนำต่างๆ รวมถึงภาคประชาชนทั่วโลกมาร่วมกัน มากกว่า 120 ประเทศและคนร่วมงานไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน
การประชุมดังกล่าเพื่อพูดคุยกันถึงประเด็นความขัดแย้งและหาทางออกร่วมกัน และในหัวข้อหลักๆของการประชุมครั้งนี้ก็คือ การร่วมกันและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเสริมสร้างความเข้าใจบนความเชื่อของแต่ละชนชาติและศาสนาและยุติสงคราม ซึ่งงานจะมีระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2560 นี้ ที่เมืองโซล สาธารณรัฐกาหลีใต้
....................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thealami.com/main/content.php?page=sub&category=2&id=1819)
โดยในงานนี้จะมีผู้นำทางด้านศาสนาต่างๆ นักการเมือง ผู้นำสตรีจากทุกมุมโลก สภายุวชนโลก(Youth group) และสื่อชั้นนำต่างๆ รวมถึงภาคประชาชนทั่วโลกมาร่วมกัน มากกว่า 120 ประเทศและคนร่วมงานไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน
การประชุมดังกล่าเพื่อพูดคุยกันถึงประเด็นความขัดแย้งและหาทางออกร่วมกัน และในหัวข้อหลักๆของการประชุมครั้งนี้ก็คือ การร่วมกันและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเสริมสร้างความเข้าใจบนความเชื่อของแต่ละชนชาติและศาสนาและยุติสงคราม ซึ่งงานจะมีระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2560 นี้ ที่เมืองโซล สาธารณรัฐกาหลีใต้
....................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thealami.com/main/content.php?page=sub&category=2&id=1819)
"สกอ."ประเมินสันติศึกษา"มจร"ให้ระดับดีมาก2ปีซ้อน
"สกอ."ประเมินคุณภาพการศึกษาหลักสูตรสันติศึกษา "มจร" ให้ระดับดีมาก 2 ปีซ้อน ได้ 4.23 คะแนนจาก 5 ปีหน้าได้แค่ 3.01 ขึ้นทะเบียน TQR ทันที
วันที่ 30 ส.ค.2560 พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา เปิดเผยว่า วันนี้(30 ส.ค.2560) คณะกรรมการประเมินคุณภาพภายนอกที่อยู่ในบัญชีของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ประกอบด้วย พระธรรมกิตติเมธี,ดร. ประธานกรรมการ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ดร.สวัสดิ์ อโณทัย อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเซ็นจอห์น กรรมการ และ รศ.ดร.วิไล ตั้งจิตสมคิด รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กรรมการและเลขานุการ ได้ส่งผลการประเมินหลักสูตรปริญญาโท สาขาสันติศึกษา อยู่ในระดับดีมาก 2 ปีซ้อน
"โดยได้คะแนนการประเมิน 4.23 จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งหากปีหน้าหลักสูตรสันติศึกษาได้คะแนนการประเมินไม่ต่ำกว่า 3.01 จะทำให้หลักสูตรสามารถขึ้นทะเบียนและรับรองคุณภาพหลักสูตรตามเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษา (TQR) เป็นหลักสูตรแรกของมหาวิทยาลัยทันที ซึ่งการการันตีดังกล่าว จะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และจะทำให้กลุ่มคนจำนวนมากมีทางเลือกในการตัดสินใจเข้ามาเลือกศึกษาหลักสูตรสันติศึกษาที่จัดโดย มจร ที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ของ สกอ." ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา มจร กล่าวและว่า
ปัจจุบันนี้หลักสูตรสันติศึกษาได้เปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทเป็นรุ่นที่ 5 แล้ว โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาเกือบ 100รูป/คน ส่วนระดับปริญญาเอกนั้นได้เปิดเป็นรุ่นที่ 2 โดยมีนิสิตรวมกันมากกว่า 60 รูป/คน พร้อมกันนี้ยังได้เปิดหลักสูตรปริญญาเอก ภาษาอังกฤษ เป็นรุ่นแรกจำนวน 10 รูป/คน อีกด้วย ทั้งนี้ได้มุ่งหวังมาเนิ่นนานว่า เมื่อพัฒนาหลักสูตรสันติศึกษาภาษาไทย จนพออยู่ตัวแล้ว จะเดินหน้าพาสันติศึกษาสู่ระดับอินเตอร์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้นิสิตทั้งไทยและต่างประเทศได้เข้ามาศึกษาและเรียนรู้ บัดนี้ สันติศึกษาเดินหน้าจากไทยสู่ภาคอินเตอร์เรียบร้อยแล้ว โดยมีนิสิตทั้งไทยและต่างประเทศ รุ่นแรกจำนวน 10 รูป/คน
วันที่ 30 ส.ค.2560 พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา เปิดเผยว่า วันนี้(30 ส.ค.2560) คณะกรรมการประเมินคุณภาพภายนอกที่อยู่ในบัญชีของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ประกอบด้วย พระธรรมกิตติเมธี,ดร. ประธานกรรมการ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ดร.สวัสดิ์ อโณทัย อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเซ็นจอห์น กรรมการ และ รศ.ดร.วิไล ตั้งจิตสมคิด รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กรรมการและเลขานุการ ได้ส่งผลการประเมินหลักสูตรปริญญาโท สาขาสันติศึกษา อยู่ในระดับดีมาก 2 ปีซ้อน
"โดยได้คะแนนการประเมิน 4.23 จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งหากปีหน้าหลักสูตรสันติศึกษาได้คะแนนการประเมินไม่ต่ำกว่า 3.01 จะทำให้หลักสูตรสามารถขึ้นทะเบียนและรับรองคุณภาพหลักสูตรตามเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษา (TQR) เป็นหลักสูตรแรกของมหาวิทยาลัยทันที ซึ่งการการันตีดังกล่าว จะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และจะทำให้กลุ่มคนจำนวนมากมีทางเลือกในการตัดสินใจเข้ามาเลือกศึกษาหลักสูตรสันติศึกษาที่จัดโดย มจร ที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ของ สกอ." ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา มจร กล่าวและว่า
ปัจจุบันนี้หลักสูตรสันติศึกษาได้เปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทเป็นรุ่นที่ 5 แล้ว โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาเกือบ 100รูป/คน ส่วนระดับปริญญาเอกนั้นได้เปิดเป็นรุ่นที่ 2 โดยมีนิสิตรวมกันมากกว่า 60 รูป/คน พร้อมกันนี้ยังได้เปิดหลักสูตรปริญญาเอก ภาษาอังกฤษ เป็นรุ่นแรกจำนวน 10 รูป/คน อีกด้วย ทั้งนี้ได้มุ่งหวังมาเนิ่นนานว่า เมื่อพัฒนาหลักสูตรสันติศึกษาภาษาไทย จนพออยู่ตัวแล้ว จะเดินหน้าพาสันติศึกษาสู่ระดับอินเตอร์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้นิสิตทั้งไทยและต่างประเทศได้เข้ามาศึกษาและเรียนรู้ บัดนี้ สันติศึกษาเดินหน้าจากไทยสู่ภาคอินเตอร์เรียบร้อยแล้ว โดยมีนิสิตทั้งไทยและต่างประเทศ รุ่นแรกจำนวน 10 รูป/คน
พระวีระทูแหกกฎมส.เมียนมาขึ้นเวทีโจมตีโรฮิงญา
พระวีระทูแหกกฎมส.เมียนมาขึ้นเวทีโจมตีโรฮิงญา ค้านรายงานของ "โคฟี
อันนัน" พร้อมให้ใช้กฏอัยการศึกในรัฐยะไข่
ขณะที่บีบีซีตีรายงานชาวพุทธยะไข่ต้องอพยพอยู่อย่างลำบากเช่นกัน
วันที่ 30 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่มหาเถรสมาคมประเทศเมียนมาได้ประกาศห้ามพระวิระทูปราศัยในที่สาธารณะโดยใช้คำพูดสร้างความเกลียดชัง ปรากฏว่าวันนี้พระวีระทูได้แหกฎดังกล่าว ขึ้นเวทีที่หน้าศาลากลางเมืองย่างกุ้ง ประกาศไม่ยอมรับรายงานเรื่องรัฐยะไข่ของนายโคฟี อันนัน พร้อมประณามการโจมตีของ ARSA และเรียกร้องให้ประกาศใช้กฏอัยการศึกในรัฐยะไข่
อย่างไรก็ตามตามที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นชาวมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ประเทศเมียนมาอย่างรุนแรงที่รัฐยะไข่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย และประชาชนทั้งชาวโรฮิงจญาและชาวเมียนมาที่นับถือพุทธได้อพยพออกนอกพื้นที่เป็นจำนวนมาก
ทั้งนั้นเว็บไซต์บีบีซีได้รายงานว่า เหตุโจมตีด่านตำรวจหลายแห่งในรัฐยะไข่โดยกลุ่มติดอาวุธมุสลิมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย สื่อต่างชาติให้ความสนใจรายงานถึงชะตากรรมของชาวโรฮิงญาหลายพันคนที่ต้องอพยพหนีภัยเข้าสู่บังกลาเทศ ขณะที่ชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธนับร้อยที่ติดและซ่อนตัวอยู่ในบริเวณที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มติดอาวุธและกองกำลังของเมียนมาเป็นอีกกลุ่มผู้ประสบภัยที่อาจไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก
ไม่ใช่เพียงชาวโรฮิงญาที่ตกเป็นเหยื่อ
"เรารอให้ตำรวจมาช่วยพาพวกเราออกไปจากที่นี่ แต่ตำรวจก็ถูกโจมตีระหว่างทาง เราออกจากที่นี่ไม่ได้ ...ไม่มีใครมาช่วยเราเลย" ตัน ตัน เท ครูชาวพุทธในที่หลบภัยอยู่ในหมู่บ้านเจง เชา หนึ่งในพื้นที่ที่เกิดความรุนแรงในรัฐยะไข่ บอกกับบีบีซีแผนกภาษาพม่า
โซ วิน บรรณาธิการบีบีซีแผนกภาษาพม่า อธิบายว่า คนภายนอกที่กำลังจับตามองปัญหานี้มักมีความคิดว่า ชาวโรฮิงญาเป็น "ชนกลุ่มน้อย" ในความรุนแรงครั้งนี้ ทั้งที่จริงแล้ว ในสามเขตที่เกิดการปะทะล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเมืองบูดิดอว์ ราติดอว์ และมองดอว์ นั้นมีประชากรชาวโรฮิงญาเป็นสัดส่วนถึง 96 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน
ยะไข่: ไฟแห่งความขัดแย้งปะทุขึ้นอีก เพิ่มเติม: ยอดตายพุ่งแตะ 71 ราย เหตุกลุ่มติดอาวุธมุสลิมโจมตีตำรวจรัฐยะไข่
แม้ว่าก่อนหน้านี้ มีรายงานว่ากองทัพรัฐบาลเมียนมาได้เข้าอพยพชาวยะไข่ที่ไม่ใช่มุสลิมราว 4,000 คนออกจากพื้นที่สู้รบไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว โซ วิน ระบุว่า ยังมีชาวยะไข่ที่เป็นชาวพุทธติดอยู่ในพื้นที่ความรุนแรง และบางส่วนต้องหนีเข้าป่า หลายคนเป็นครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนที่ถูกส่งมาจากเมืองหลัก ๆ ในรัฐยะไข่ และในบางกรณี ชาวบ้านในบริเวณนั้นก็ร่วมมือกับกลุ่มติดอาวุธด้วยทำให้พวกเขาไม่กล้าหนีออกไป
"เพราะคนส่วนใหญ่ในพื้นที่นั้นเป็นชาวโรฮิงญา พวกเขา [ชาวพุทธ] เองก็ต้องหนีเอาตัวรอด หลายคนต้องหลบอยู่ในป่า รอให้กองกำลังของรัฐบาลเมียนมามารับ ทางบีบีซีแผนกภาษาพม่าได้แจ้งไปยังกองกำลังที่จะให้การช่วยเหลือแล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้เพราะการโจมตีเกิดขึ้นหลายจุดมาก"นายโซ วิน ระบุ
โซ วิน มองว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวของชาวยะไข่ไม่ได้รับการพูดถึงมากนักเมื่อเทียบกับข่าวชะตากรรมของชาวโรฮิงญา เป็นเพราะเมื่อชาวโรฮิงญาข้ามไปยังฝั่งบังกลาเทศสำเร็จ สื่อต่างชาติเข้าถึงเพื่อสัมภาษณ์ได้ ซึ่งต่างจากชาวยะไข่กลุ่มดังกล่าวที่ยังไม่มีใครเข้าถึง
เขาบอกว่า เท่าที่ทราบ มีชาวพุทธประมาณสองสามร้อยคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ในตอนนี้ แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่เป้าหมายหลักของกลุ่มติดอาวุธ แต่พวกเขาบอกกับบีบีซีว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย บ้านเรือนถูกทำลายและจุดไฟเผาเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จำนวนชาวพุทธที่ตกอยู่ในอันตรายยังเทียบไม่ได้กับจำนวนชาวโรฮิงญาที่ต้องลี้ภัยการสู้รบ ในวันนี้ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานออกมาระบุว่ามีชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 18,500 คน ที่ต้องอพยพหนีภัยไปยังบังกลาเทศนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะกันเมื่อ 6 วันที่แล้ว ขณะที่ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่ายังคงมีความรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ บ้านเรือนหลายหลังถูกเผาทำลาย และมีประชาชนอย่างน้อย 110 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ 11 คน เสียชีวิต
กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน (ARSA)
บรรณาธิการแผนกภาษาพม่าบอกว่า ขัดแย้งในรัฐยะไข่เป็นประเด็นที่ซับซ้อน และสิ่งทำได้ก็คือการพูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างเช่นความรุนแรงล่าสุดที่เกิดขึ้น ซึ่งเริ่มจากการที่กลุ่มติดอาวุธบุกโจมตีสถานีและด่านตำรวจ ทำให้กองทัพต้องเข้ามาดำเนินปฏิบัติการควบคุมพื้นที่ ซึ่งทำให้ชาวโรฮิงญาต้องอพยพหนีออกจากประเทศไป
โซ วิน ระบุว่า กลุ่มติดอาวุธนี้มีชื่อว่า กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน หรือกลุ่มอาร์ซา (Arakan Rohingya Salvation Army - ARSA) เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด่านตำรวจเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ที่ทำให้ตำรวจ 9 นาย เสียชีวิต
รัฐบาลเมียนมาบอกว่าผู้นำกลุ่มนี้ได้รับการฝึกฝนด้านอุดมการณ์และการสู้รบมาจากต่างแดน โยผู้นำกลุ่มคือนายอตา อุลลาห์ เป็นชาวโรฮิงญาที่เกิดในปากีสถานและไปเติบโตที่ซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มยืนยันว่าไม่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มนักรบจีฮัดหรือกลุ่มผู้มีแนวคิดสุดโต่งทางศาสนาแต่อย่างใด สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มที่โกรธแค้นต่อเหตุรุนแรงที่ชาวโรฮิงญาถูกกระทำนับแต่ปี 2012 เป็นต้นมา และวัตถุประสงค์หลักในการต่อสู้คือเพื่อปกป้องชาวมุสลิมโรฮิงญาจากการกดขี่ประหัตประหารของรัฐบาลเมียนมาเท่านั้น
กระบวนการหาสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธนี้คือการเข้าไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ และฆ่าเจ้าหน้าที่ชาวโรฮิงญาที่รัฐบาลแต่งตั้งให้ดูแลแต่ละหมู่บ้านเสีย ก่อนที่จะฝึกคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรบ ด้วยความที่ชาวโรฮิงญามักถูกเลือกปฏิบัติเพราะถูกมองว่าเป็นคนไร้สัญชาติ ทำให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ถูกชักจูงให้มีความคิดรุนแรงได้ง่าย
หัวหน้าของกลุ่มนี้อ้างว่าพวกเขามีจำนวนสมาชิกถึงพันคน และหลังจากฝึกซ้อมทางการทหารแล้ว สมาชิกก็จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับชาวบ้าน และพร้อมที่จะออกมาสู้รบเมื่อมีเหตุรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เสนอแก้กฎหมายสัญชาติแนวทางเพื่อสันติภาพของ โคฟี อันนัน
ย้อนไปเมื่อปี 1982 กฎหมายสัญชาติในเมียนมาถูกเขียนขึ้นเพื่อรับมือกับคนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดียและจีนที่หลั่งไหลเข้าไปในประเทศ กฎหมายฉบับนี้ห้ามไม่ให้มีการให้สัญชาติผู้ใด ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบรรพบุรุษของตนได้อาศัยอยู่ในเมียนมามาเป็นระยะเวลาที่กำหนด และนี่กลายเป็นประเด็นปัญหาหลักของชาวโรฮิงญา ที่รัฐบาลเมียนมาใช้คำว่า "บังกลาเทศ" ในการนิยามพวกเขา และยืนยันว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมาจากประเทศบังกลาเทศ
การแก้ไข้ข้อบังคับในกฎหมายเรื่องนี้เป็นหนึ่งในข้อเสนอของคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐยะไข่ที่นำโดยนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อลดความรุนแรงในรัฐยะไข่และเปิดทางในการให้สัญชาติกับชาวโรฮิงญา เนื่องจากเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากการส่งมอบข้อเสนอนี้ รัฐบาลเมียนมาจึงมองว่า เป็นการวางแผนของกลุ่มติดอาวุธเพราะพวกเขาไม่ต้องการยอมรับข้อเสนอที่คณะกรรมการส่งมอบ และต้องการเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติก่อนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติในเดือนหน้า
""""""""""""""""""""""""""
(หมายเหตุ : - ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Khurtai Maisoong และ http://www.bbc.com/thai/international-41095972)
วันที่ 30 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่มหาเถรสมาคมประเทศเมียนมาได้ประกาศห้ามพระวิระทูปราศัยในที่สาธารณะโดยใช้คำพูดสร้างความเกลียดชัง ปรากฏว่าวันนี้พระวีระทูได้แหกฎดังกล่าว ขึ้นเวทีที่หน้าศาลากลางเมืองย่างกุ้ง ประกาศไม่ยอมรับรายงานเรื่องรัฐยะไข่ของนายโคฟี อันนัน พร้อมประณามการโจมตีของ ARSA และเรียกร้องให้ประกาศใช้กฏอัยการศึกในรัฐยะไข่
อย่างไรก็ตามตามที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นชาวมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ประเทศเมียนมาอย่างรุนแรงที่รัฐยะไข่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย และประชาชนทั้งชาวโรฮิงจญาและชาวเมียนมาที่นับถือพุทธได้อพยพออกนอกพื้นที่เป็นจำนวนมาก
ทั้งนั้นเว็บไซต์บีบีซีได้รายงานว่า เหตุโจมตีด่านตำรวจหลายแห่งในรัฐยะไข่โดยกลุ่มติดอาวุธมุสลิมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย สื่อต่างชาติให้ความสนใจรายงานถึงชะตากรรมของชาวโรฮิงญาหลายพันคนที่ต้องอพยพหนีภัยเข้าสู่บังกลาเทศ ขณะที่ชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธนับร้อยที่ติดและซ่อนตัวอยู่ในบริเวณที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มติดอาวุธและกองกำลังของเมียนมาเป็นอีกกลุ่มผู้ประสบภัยที่อาจไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก
ไม่ใช่เพียงชาวโรฮิงญาที่ตกเป็นเหยื่อ
"เรารอให้ตำรวจมาช่วยพาพวกเราออกไปจากที่นี่ แต่ตำรวจก็ถูกโจมตีระหว่างทาง เราออกจากที่นี่ไม่ได้ ...ไม่มีใครมาช่วยเราเลย" ตัน ตัน เท ครูชาวพุทธในที่หลบภัยอยู่ในหมู่บ้านเจง เชา หนึ่งในพื้นที่ที่เกิดความรุนแรงในรัฐยะไข่ บอกกับบีบีซีแผนกภาษาพม่า
โซ วิน บรรณาธิการบีบีซีแผนกภาษาพม่า อธิบายว่า คนภายนอกที่กำลังจับตามองปัญหานี้มักมีความคิดว่า ชาวโรฮิงญาเป็น "ชนกลุ่มน้อย" ในความรุนแรงครั้งนี้ ทั้งที่จริงแล้ว ในสามเขตที่เกิดการปะทะล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเมืองบูดิดอว์ ราติดอว์ และมองดอว์ นั้นมีประชากรชาวโรฮิงญาเป็นสัดส่วนถึง 96 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน
ยะไข่: ไฟแห่งความขัดแย้งปะทุขึ้นอีก เพิ่มเติม: ยอดตายพุ่งแตะ 71 ราย เหตุกลุ่มติดอาวุธมุสลิมโจมตีตำรวจรัฐยะไข่
แม้ว่าก่อนหน้านี้ มีรายงานว่ากองทัพรัฐบาลเมียนมาได้เข้าอพยพชาวยะไข่ที่ไม่ใช่มุสลิมราว 4,000 คนออกจากพื้นที่สู้รบไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว โซ วิน ระบุว่า ยังมีชาวยะไข่ที่เป็นชาวพุทธติดอยู่ในพื้นที่ความรุนแรง และบางส่วนต้องหนีเข้าป่า หลายคนเป็นครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนที่ถูกส่งมาจากเมืองหลัก ๆ ในรัฐยะไข่ และในบางกรณี ชาวบ้านในบริเวณนั้นก็ร่วมมือกับกลุ่มติดอาวุธด้วยทำให้พวกเขาไม่กล้าหนีออกไป
"เพราะคนส่วนใหญ่ในพื้นที่นั้นเป็นชาวโรฮิงญา พวกเขา [ชาวพุทธ] เองก็ต้องหนีเอาตัวรอด หลายคนต้องหลบอยู่ในป่า รอให้กองกำลังของรัฐบาลเมียนมามารับ ทางบีบีซีแผนกภาษาพม่าได้แจ้งไปยังกองกำลังที่จะให้การช่วยเหลือแล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้เพราะการโจมตีเกิดขึ้นหลายจุดมาก"นายโซ วิน ระบุ
โซ วิน มองว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวของชาวยะไข่ไม่ได้รับการพูดถึงมากนักเมื่อเทียบกับข่าวชะตากรรมของชาวโรฮิงญา เป็นเพราะเมื่อชาวโรฮิงญาข้ามไปยังฝั่งบังกลาเทศสำเร็จ สื่อต่างชาติเข้าถึงเพื่อสัมภาษณ์ได้ ซึ่งต่างจากชาวยะไข่กลุ่มดังกล่าวที่ยังไม่มีใครเข้าถึง
เขาบอกว่า เท่าที่ทราบ มีชาวพุทธประมาณสองสามร้อยคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ในตอนนี้ แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่เป้าหมายหลักของกลุ่มติดอาวุธ แต่พวกเขาบอกกับบีบีซีว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย บ้านเรือนถูกทำลายและจุดไฟเผาเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จำนวนชาวพุทธที่ตกอยู่ในอันตรายยังเทียบไม่ได้กับจำนวนชาวโรฮิงญาที่ต้องลี้ภัยการสู้รบ ในวันนี้ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานออกมาระบุว่ามีชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 18,500 คน ที่ต้องอพยพหนีภัยไปยังบังกลาเทศนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะกันเมื่อ 6 วันที่แล้ว ขณะที่ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่ายังคงมีความรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ บ้านเรือนหลายหลังถูกเผาทำลาย และมีประชาชนอย่างน้อย 110 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ 11 คน เสียชีวิต
กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน (ARSA)
บรรณาธิการแผนกภาษาพม่าบอกว่า ขัดแย้งในรัฐยะไข่เป็นประเด็นที่ซับซ้อน และสิ่งทำได้ก็คือการพูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างเช่นความรุนแรงล่าสุดที่เกิดขึ้น ซึ่งเริ่มจากการที่กลุ่มติดอาวุธบุกโจมตีสถานีและด่านตำรวจ ทำให้กองทัพต้องเข้ามาดำเนินปฏิบัติการควบคุมพื้นที่ ซึ่งทำให้ชาวโรฮิงญาต้องอพยพหนีออกจากประเทศไป
โซ วิน ระบุว่า กลุ่มติดอาวุธนี้มีชื่อว่า กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน หรือกลุ่มอาร์ซา (Arakan Rohingya Salvation Army - ARSA) เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด่านตำรวจเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ที่ทำให้ตำรวจ 9 นาย เสียชีวิต
รัฐบาลเมียนมาบอกว่าผู้นำกลุ่มนี้ได้รับการฝึกฝนด้านอุดมการณ์และการสู้รบมาจากต่างแดน โยผู้นำกลุ่มคือนายอตา อุลลาห์ เป็นชาวโรฮิงญาที่เกิดในปากีสถานและไปเติบโตที่ซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มยืนยันว่าไม่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มนักรบจีฮัดหรือกลุ่มผู้มีแนวคิดสุดโต่งทางศาสนาแต่อย่างใด สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มที่โกรธแค้นต่อเหตุรุนแรงที่ชาวโรฮิงญาถูกกระทำนับแต่ปี 2012 เป็นต้นมา และวัตถุประสงค์หลักในการต่อสู้คือเพื่อปกป้องชาวมุสลิมโรฮิงญาจากการกดขี่ประหัตประหารของรัฐบาลเมียนมาเท่านั้น
กระบวนการหาสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธนี้คือการเข้าไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ และฆ่าเจ้าหน้าที่ชาวโรฮิงญาที่รัฐบาลแต่งตั้งให้ดูแลแต่ละหมู่บ้านเสีย ก่อนที่จะฝึกคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรบ ด้วยความที่ชาวโรฮิงญามักถูกเลือกปฏิบัติเพราะถูกมองว่าเป็นคนไร้สัญชาติ ทำให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ถูกชักจูงให้มีความคิดรุนแรงได้ง่าย
หัวหน้าของกลุ่มนี้อ้างว่าพวกเขามีจำนวนสมาชิกถึงพันคน และหลังจากฝึกซ้อมทางการทหารแล้ว สมาชิกก็จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับชาวบ้าน และพร้อมที่จะออกมาสู้รบเมื่อมีเหตุรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เสนอแก้กฎหมายสัญชาติแนวทางเพื่อสันติภาพของ โคฟี อันนัน
ย้อนไปเมื่อปี 1982 กฎหมายสัญชาติในเมียนมาถูกเขียนขึ้นเพื่อรับมือกับคนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดียและจีนที่หลั่งไหลเข้าไปในประเทศ กฎหมายฉบับนี้ห้ามไม่ให้มีการให้สัญชาติผู้ใด ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบรรพบุรุษของตนได้อาศัยอยู่ในเมียนมามาเป็นระยะเวลาที่กำหนด และนี่กลายเป็นประเด็นปัญหาหลักของชาวโรฮิงญา ที่รัฐบาลเมียนมาใช้คำว่า "บังกลาเทศ" ในการนิยามพวกเขา และยืนยันว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมาจากประเทศบังกลาเทศ
การแก้ไข้ข้อบังคับในกฎหมายเรื่องนี้เป็นหนึ่งในข้อเสนอของคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐยะไข่ที่นำโดยนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อลดความรุนแรงในรัฐยะไข่และเปิดทางในการให้สัญชาติกับชาวโรฮิงญา เนื่องจากเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากการส่งมอบข้อเสนอนี้ รัฐบาลเมียนมาจึงมองว่า เป็นการวางแผนของกลุ่มติดอาวุธเพราะพวกเขาไม่ต้องการยอมรับข้อเสนอที่คณะกรรมการส่งมอบ และต้องการเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติก่อนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติในเดือนหน้า
""""""""""""""""""""""""""
(หมายเหตุ : - ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Khurtai Maisoong และ http://www.bbc.com/thai/international-41095972)
ทหารนครพนมนำชาวบ้านทำปุ๋ยอินทรีย์หลังน้ำลด
ทหารนครพนมร่วมกับผู้นำชุมชน ส่งเสริมชาวบ้านทำปุ๋ยอินทรีย์ หมักจากจุลินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี หวังลดต้นทุนหลังน้ำลด
เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2560 กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.นครพนม(กกล.รส.จว.น.พ.) สังกัดมณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) ร่วมกับผู้นำชุมชน และชาวบ้านวังโพธิ์ หมู่ 12 ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม รวมจำนวน 31 คน ร่วมกันจัดกิจกรรมโครงการฝึกอบรมการทำปุ๋ยอินทรีย์และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยหมักจากจุลินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการริเริ่มของ มทบ.210 ที่ต้องการช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ำท่วมไร่นา และเป็นการลดต้นทุนในการซื้อปุ๋ยเคมีซึ่งมีราคาแพงและช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โดยหน่วย มทบ.210 ได้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้กับผู้เข้ารับการอบรมฯ ในการทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ โดยประกอบด้วยกากมัน มูลไก่ แกลบเผา และอีเอ็ม สามารถทำปุ๋ยได้ทั้งสิ้นจำน 545 กระสอบๆละ 25 ก.ก. รวมน้ำหนัก 13,825 ก.ก. ณ ศาลาประชาคม บ้านกลาง ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน และศาลากลางบ้าน ม.12 ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560
"หลวงปู่ติช นัท ฮันห์"เยือนเวียดนามรอบ10ปี
"หลวงปู่ติช นัท ฮันห์"เยือนเวียดนามรอบ10ปี เยี่ยมวัดที่เคยใช้ชีวิตนักบวช เรียนรู้และศึกษาการปฏิบัติ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942
วันที่ 30 สิงหาคม 2560 เฟซบุ๊ก Plum Magazine ได้โพสต์ข้อความว่า หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เดินทางถึงสนามบินดานัง ประเทศเวียดนามแล้ว เมื่อวานนี้ (29 สิงหาคม 2560) เวลา 12.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น
หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ต้องเดินทางออกจากประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 และได้มีโอกาสเดินทางกลับมายังประเทศบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในปี คศ. 2005, 2007 และ 2008 ตามลำดับ
การกลับมาครั้งนี้จึงนับเป็นการกลับประเทศเวียดนามครั้งแรกในรอบ 10 ปี หนึ่งในสถานที่ที่หลวงปู่จะไปเยือนคือวัด Chùa Từ Hiếu ในเมืองเว้ ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่หลวงปู่ใช้ชีวิตนักบวช เรียนรู้และศึกษาการปฏิบัติ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2wlLbhe
แผนยุทธศาสตร์จะเลิศล้ำต้องไม่"ขาเลาะ-ลืมกำพืด
แผนยุทธศาสตร์จะเลิศล้ำ ถ้ำไม่ลืมกำพืดของตัวเอง แผนขาเลาะ เพราะคนทำขาลอย : พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี มจร ผอ.รวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา
ผู้บริหารจำนวนมากอาจจะคิดว่า "บริหารงานให้สำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องมีแผน" ความจริง สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่งในการบริหารองค์กรไปสู่ความสำเร็จ คือ "แผน" เข้าทำนองแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง องค์กรจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ คือองค์กรที่สร้างแผนขึ้นมาเป็นคัมภีร์ หรือเป็นธรรมนูญของการบริหารองค์กร ในทางกลับกัน องค์กรที่ประสบความล้มเหลวจำนวนมากอาจจะเกิดจาก (1) องค์กรที่ทำงานแบบไม่มีแผน (2) มีแผนแต่ไม่ทำตามแผนที่วางไว้และ (3) แผนได้ถูกออกแบบและจัดวางโดยไม่สะท้อนอัตลักษณ์ หรือไม่สอดรับกับวิสัยทัศน์ขององค์กร
แผนจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานทุกอย่าง ก่อนที่จะออกเดินทางต้องถามตัวเอง หรือถามองค์กรว่า จะเดินไปไหน เป้าหมายที่จะไปอยู่ที่ไหน การบอกตำแหน่งแห่งหนได้ชัดว่า เป้าหมายหรือจุดสุดท้ายที่จะไปอยู่ที่ไหน ย่อมทำให้การจัดเตรียมงาน เตรียมคน และเตรียมเงินสอดรับกับระยะทาง วันเวลาที่จะไป อีกทั้ง จะได้วิเคราะห์ศักยภาพ และสิ่งที่ตัวเองมีได้อย่างถูกต้อง ใกล้เคียง และเหมาะสม ฉะนั้น เมื่อเป้าหมายชัด แผนชัด ย่อมทำให้การขับเคลื่อนรัดกุม มีพลัง เพราะมีทิดทางที่จะไปชัดเจน
หากมองในมิติของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นนักวางแผนชั้นยอด คำว่า ชั้นยอดมิได้หมายถึงประทับนั่งออกแบบและทำแผนอยู่ยอดภูเขาคิฌชกูฏ แต่การทำแผนของพระองค์ก่อนที่จะนำแผนมานำเสนอ ณ เวฬุวนารามนั้น แผนนั้นได้สะท้อนตัวตนของพระพุทธศาสนา และแผนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดแจ้ง กับแผนของศาสนาพราหมณ์ และลัทธิต่างๆ แผนนั้น บอกเส้นทางของการดับทุกข์ภายใน คือการละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ บอกได้ชัดว่า หัวใจของการบำเพ็ญตบะที่ศาสนาพราหมณ์เน้น คือ "ความอดทนอดกลั้น" ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกรกิริยา เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือนิพพาน ไม่ใช่การบรรลุโมกษะเพื่อจะได้ไปอยู่กับพระพรหม หรือแม้กระทั่งบรรพชิต และสมณะในทางพุทธเป็นผู้งดเว้นจากบาปและสงบเย็นไม่ใช่การฆ่าสัตว์บูชายัญดังที่พราหมณ์ทำ และปฏิบัติกัน
แผนที่พระพุทธเจ้าประกาศครั้งแรกที่เวฬุวนาราม เมืองราชคฤห์ จึงเป็นการประกาศจุดยืนและตัวตนของพระพุทธศาสนาท่ามกลางศาสนาพราหมณ์และเจ้าลัทธิอื่นๆ จำนวนมาก จุดยื่น (Standing Point) และอัตลักษณ์ (Identity) นั่นเอง เป็นจุดแข็งที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากมีสิทธิ์เลือกที่จะทดลอง และแสวงหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง ดังนั้น ตัวแผนจึงเป็นที่อยู่ของวิสัยทัศน์ อุดมการณ์ เป้าหมาย กลยุทธ์ กิจกรรมและโครงการต่างๆ ที่จะพาองค์กรเดินไปสู่เป้าหมาย แผนจึงไม่กลวง แผนจึงไม่ใช่ว่าจะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ แผนจึงไม่ใช่การลอกเอามาจากศาสนาพราหมณ์ หรือเจ้าลัทธิอื่นๆ เพื่อจะบอกหรือโชว์คนทั่วไปว่า เรามีแผนเหมือนที่ท่านมี
แผนจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของพระองค์และลมหายใจของพระพุทธศาสนาในภาพรวม ด้วยเหตุนี้ แผนขององค์กรต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตน รวมถึงชีวิต และลมหายใจของผู้บริหาร และพนักงานทุกคนในองค์กรนั้น แผนที่ดีและประสบความสำเร็จจะหนีความเป็นตัวตน จุดเด่น และจุดแข็งตัวเองไปไม่ได้ การเอาลมหายใจ และเลือดเนื้อของคนอื่นมากดทับและฉาบทาสิ่งที่ตัวเองเป็นจึงเป็นความหายนะและอับเฉาขององค์กรนั้นอย่างน้าสมเพชเวทนา เพราะหากพระพุทธเจ้าเอาลมหายใจของพราหมณ์กดทับตัวตนของพระองค์ เราจะมีพระพุทธศาสนาให้กราบไหว้และปฏิบัติมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ฉะนั้น แผนที่ดีจึงเริ่มมาจากการค้บพบจุดเด่น และจุดแข็งที่มีอยู่ในรากเหง้าของตัวเอง
สรุปแล้ว แผนคือสิ่งที่สะท้อนกำพืดของตัวเอง สะท้อนสิ่งที่ตัวเองมีและเป็น ซึ่งเป็นจุดเด่นที่หาไม่ได้จากคนอื่น และแหล่งอื่น การรู้จักกำพืดของตัวเองอย่างถึงแก่น ย่อมทำให้การทำแผนยิ่งคมชัด การเดินหน้าไปในทิศทางใดจะกลายเป็นคนไม่ไร้ราก เพราะแผนจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตัวเองมีและเป็น ฉะนั้น ถ้าแผนเป็นชีวิตและจิตใจของเราแล้ว เราจึงไม่ทำแผนแล้วทิ้ง แผนที่ทำแล้วจึงไม่นิ่ง เพราะทุกสิ่งที่ทำคือวงจรชีวิตเรา ถ้าประสงค์ให้ชีวิตมีคุณค่าก็ต้องให้ราคากับชีวิต เช่นเดียวกันถ้าอยากให้องค์กรเจริญก้าวหน้าก็ต้องพัฒนาแผนให้สอดรับกับชีวิตองค์กร
......................
(หมายเหตุ : ข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊ก Hansa Dhammahaso)
"พุทธะอิสระ"สงสัย!เหตุเด้งผอ.พศ.เข้ากรุ
วันที่ 29 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติรับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการและทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไปนั้น
เฟซบุ๊กหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ได้โพสต์ข้อความว่า
สงสัยจ๊ะ สงสัย
หากข้าราชการที่ใจซื่อ มือสะอาด ตั้งใจทำงานในหน้าที่อย่างซื่อตรง กลับถูกย้าย แล้วประเทศนี้จักหวังพึ่งใคร
สงสัยจ๊ะ สงสัย
เหตุที่ย้าย ผอ.สำนักพุทธ เพราะมหาเถรบีบรัฐบาลใช่ไหม
สงสัยจ๊ะ สงสัย
หาก ผอ.สำนักพุทธไม่ไปขุดคุ้ยเรื่องทุจริตเงินทอน เงินอุดหนุนวัด และเงินอุดหนุนพระพุทธศาสนา คงไม่ถูกบีบให้ย้ายใช่ไหม
สงสัยจ๊ะ สงสัย
ย้าย ผอ.สำนักพุทธ เพื่อยุติคดีทุจริตเงินทอน และทุจริตในวงการสงฆ์ใช่ไหม
สงสัยจ๊ะ สงสัย
ทำไมไม่ลองย้ายรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสำนักพุทธดูบ้าง เพราะไม่เห็นความชัดเจนในการทำงานใดๆ ในด้านศาสนาเลย มีแต่โอ้โลมปฏิโลม ลูบหน้าปะจมูกอย่างที่เห็น
สงสัยจ๊ะ สงสัย
ผอ.สำนักพุทธ คนที่จะตั้งใหม่ ต้องขออนุญาตมหาเถรก่อนด้วยหรือเปล่า
พุทธะอิสระชักเริ่มที่จะเหนื่อยต่อการตั้งข้อสงสัยกับรัฐบาล คสช.แล้ว
แต่ยังไง มันได้ลงเรือแป๊ะแล้ว คงต้องพยายามลุ้นให้เรือลำนี้ไปถึงฝั่งให้ได้
พุทธะอิสระ
ผอ.พศ.ยอมรับคำสั่งย้ายเข้ากรุสำนักนายกฯ
วันที่ 29 ส.ค.2560 ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ในสังกัดสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น
พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวว่า ทราบข่าวจากสื่อยังไม่เห็นหนังสืออย่างเป็นทางการ เป็นการโอนย้ายดังกล่าวเป็นมติ ครม.ตามคำสั่งทางปกครอง ไม่ใช่การขอโอนย้ายส่วนตัว ซึ่งหากเป็นการโอนข้ามกรมโดยปกติจะเป็นความสมัครใจส่วนตัว แต่หากเป็นมติ ครม.ถือเป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตามหากผล ครม.ออกมาว่าให้โอนย้ายตนก็ถือว่ามีผลทันทีที่มีมติ เรื่องแบบนี้รู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องเกิด และพระพุทธองค์สอนไว้ว่าทุกสิ่งไม่มีอะไรแน่นอน
พท.ออกแถลงการณ์"ปู"แจงเมื่อเวลาอันควร
พท.ออกแถลงการณ์"ปู"แจงเมื่อเวลาอันควร ยันดำเนินการทางการเมืองต่อแบบสันติวิธี
วันที่ 29 ส.ค.2560 ได้มีการออกแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง “การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในอนาคต” ความว่า
พรรคเพื่อไทยได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านมรสุมอย่างหนัก มาหลายครั้งตั้งแต่การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และ พ. ศ.2557 ทั้งการยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย แต่สมาชิกพรรคทุกคนยังคงยึดมั่นในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และยังคงรักษาอุดมการณ์และพันธกิจในการสร้างประโยชน์สุขของประชาชนมาโดยตลอด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรซึ่งเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของพรรคนั้น พรรคเห็นว่าท่านอดีตนายกรัฐมนตรีคงจะมีคำชี้แจงต่อสาธารณชนเมื่อถึงเวลาอันควรต่อไป
สำหรับพรรคเพื่อไทยนั้น ขอยืนยันว่าพรรคมีภารกิจหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะต้องดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง นั่นคือ
ประการแรก การต่อสู้ให้สังคมเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ยอมรับในสิทธิมนุษยชนและสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกและตรวจสอบนั้น ต้องได้รับการคุ้มครอง และประชาชนต้องได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยความใส่ใจ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
ประการที่สอง การทำให้พี่น้องประชาชนมีความอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ประเทศได้รับความยอมรับนับถือและเชื่อมั่นจากนานาอารยประเทศ ยังคงถือเป็นภารกิจสำคัญที่พรรคจะยึดมั่นในการดำเนินการต่อไป
ประการที่สาม การยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และการสร้างความสมานฉันท์ด้วยหลักเมตตาปรารถนาดีต่อกัน
พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า จากนี้พรรคเพื่อไทยจะยังคงดำรงความเป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชน ที่จะสร้างความเข้มแข็ง และโอกาสในชีวิตให้แก่ประชาชนต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ปัญหาอุปสรรคอันหนักหนาที่พรรคกำลังเผชิญอยู่นั้น ยิ่งทำให้พรรค สมาชิก และผู้สนับสนุนมีความรัก ความสามัคคี และมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ที่จะมุ่งมั่นทำงาน เพื่อให้สังคมไทยมีสันติสุข ประชาชนมีเศรษฐกิจที่ดี และได้รับประโยชน์สุข ต่อไป
พรรคเพื่อไทยจะยังคงมุ่งมั่นในภารกิจต่างๆ อย่างแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนแปลง.
พรรคเพื่อไทย
29 สิงหาคม 2560
เด้ง!"พงศ์พร"เข้ากรุผู้ตรวจสำนักนายกฯ
วันที่ 29 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ
มส.มอบพระไตรปิฎกฉบับสากลอุปทูตอิหร่าน
เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2560ที่ผ่านมา พระพรหมบัณฑิต ศ.ดร. กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) มอบพระไตรปิฎกฉบับสากล (Common Buddhist Tex :CBT) ให้นายโมฮัมหมัด เรซา เซนาลี (Mohammad Reza Zeinali) อุปทูตวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตอิหร่าน ประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าพบเนื่องในวาระ 40 ปี ความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมไทย-อิหร่าน ณ วัดประยุรวงศาวาส
..................
(หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ PrayoonNews PhonSommana)
..................
(หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ PrayoonNews PhonSommana)
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560
หัวหน้าพระธรรมทูตอินเดียทึ่ง!เสถียรธรรมเพาะเห็ด
หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เยี่ยมสถานปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน ชื่นชมสตรีทั่วโลกใช้เป็นที่ชุมนุมเสวนาพูดจาหาทางสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก ชมการปลูกเห็ดการจัดต้นไม้
วันที่ 29 ส.ค.2560 เฟซบุ๊กวัดไทยพุทธคยา ๙๓๕ งานเผยแผ่พระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล ได้เพิ่มรูปภาพซึ่งเป็นยากาศที่พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เยี่ยมสถานปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน และข้อความว่า
เสถียรธรรมสถานเป็นศูนย์ฝึกจิตและพัฒนา ผู้คนหลายระดับที่เข้ามาสู่ความอบอุ่นแบบหลากหลายทุกคนมีเป้าหมายคือสร้างสุขให้พ้นทุกข์ สวน สวรรค์กลางมหานครที่อุดมด้วยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและปริศนาธรรมะ ตั้งแต่เริ่มเข้าไปสู่บรรยากาศแห่งความสงบสุข ที่ทุกคนจะได้รับเหมือนเหมือนกันนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของธรรมชาติต้นหมากรากไม้ที่จัดให้เข้ากับความเป็นจริงซึ่งทุกคนสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้บุกเบิกสรรค์สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ทุกคนสามารถถึงสวรรค์ได้เพียงเข้าถึงความสุขอันเกิดจากความโปร่งเบากับสิ่งแวดล้อม ทุกปีคุณแม่คุณยายจ๋าของเด็กเด็กเยาวชนสตรีตัวเล็กตัวน้อยคุณแม่ผู้อยู่ในความขาวผ่องแม่ชีศันสนีย์เสถียรสุต จะพาลูกเยาวชนหรือคุณยายคุณแม่ของเด็กเด็กไปบวชชีใต้ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์แม่สามแผ่นดินไทยอินเดียในปาล
ขณะนี้กำลังสร้างธรรมสถาน สากลเพราะที่นี่เป็นที่ประชุมใหญ่ระดับนานาชาติหลายครั้งมีสตรีทั่วโลกมาชุมนุมเสวนาพูดจาหาทางสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก วันนี้ได้จังหวะเข้ามาสารกิจจึงแวะมาเยือนโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกเห็ดการจัดต้นไม้และการรักษาตึกรามอาคารที่พักและที่ผู้มาปฏิบัติธรรมได้ใช้สอยร่วมกันเห็นความเจริญชนิดที่เรียกว่าโตวันโตคืนขออนุโมทนาอย่างสูงที่ความตั้งใจสูงสุดของแม่ชีศันสนีย์ได้รวมชีวิตของตนลงสู่เสถียรธรรมะสถานให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมแก่ชนทั้งหลายทุกระดับชั้นและยังมีส่วนเจือจานไปยังแดนพุทธะภูมิถึงอินเดียในปาลนั่นคือสิ่งที่ได้มาเยือนและให้กำลังใจครั้งนี้"
วันที่ 29 ส.ค.2560 เฟซบุ๊กวัดไทยพุทธคยา ๙๓๕ งานเผยแผ่พระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล ได้เพิ่มรูปภาพซึ่งเป็นยากาศที่พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เยี่ยมสถานปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน และข้อความว่า
เสถียรธรรมสถานเป็นศูนย์ฝึกจิตและพัฒนา ผู้คนหลายระดับที่เข้ามาสู่ความอบอุ่นแบบหลากหลายทุกคนมีเป้าหมายคือสร้างสุขให้พ้นทุกข์ สวน สวรรค์กลางมหานครที่อุดมด้วยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและปริศนาธรรมะ ตั้งแต่เริ่มเข้าไปสู่บรรยากาศแห่งความสงบสุข ที่ทุกคนจะได้รับเหมือนเหมือนกันนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของธรรมชาติต้นหมากรากไม้ที่จัดให้เข้ากับความเป็นจริงซึ่งทุกคนสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้บุกเบิกสรรค์สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ทุกคนสามารถถึงสวรรค์ได้เพียงเข้าถึงความสุขอันเกิดจากความโปร่งเบากับสิ่งแวดล้อม ทุกปีคุณแม่คุณยายจ๋าของเด็กเด็กเยาวชนสตรีตัวเล็กตัวน้อยคุณแม่ผู้อยู่ในความขาวผ่องแม่ชีศันสนีย์เสถียรสุต จะพาลูกเยาวชนหรือคุณยายคุณแม่ของเด็กเด็กไปบวชชีใต้ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์แม่สามแผ่นดินไทยอินเดียในปาล
ขณะนี้กำลังสร้างธรรมสถาน สากลเพราะที่นี่เป็นที่ประชุมใหญ่ระดับนานาชาติหลายครั้งมีสตรีทั่วโลกมาชุมนุมเสวนาพูดจาหาทางสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก วันนี้ได้จังหวะเข้ามาสารกิจจึงแวะมาเยือนโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกเห็ดการจัดต้นไม้และการรักษาตึกรามอาคารที่พักและที่ผู้มาปฏิบัติธรรมได้ใช้สอยร่วมกันเห็นความเจริญชนิดที่เรียกว่าโตวันโตคืนขออนุโมทนาอย่างสูงที่ความตั้งใจสูงสุดของแม่ชีศันสนีย์ได้รวมชีวิตของตนลงสู่เสถียรธรรมะสถานให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมแก่ชนทั้งหลายทุกระดับชั้นและยังมีส่วนเจือจานไปยังแดนพุทธะภูมิถึงอินเดียในปาลนั่นคือสิ่งที่ได้มาเยือนและให้กำลังใจครั้งนี้"
ศาลสั่งจำคุก 'ยงยุทธ' 2 ปี คดีโอนที่ดินธรณีสงฆ์
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 'ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์' 2 ปี ไม่รอลงอาญา กรณีทุจริตธรณีสงฆ์-สนามกอล์ฟอัลไพน์
วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สะพัดจม."ปู"ว่อนแจงเหตุหนี"บิ๊กตู่"ปัดเปิดทาง
นายกฯ ยันไม่มีดีลพา "ยิ่งลักษณ์" หนีต่างแดน คาดไม่ถึงตัดสินใจหนี ยอมรับยากคุม 2 พี่น้อง'ชินวัตร'เคลื่อนไหวต่างแดน ให้คนไทยตัดสิน ใครมีข้อมูลหนีอย่างไรแจ้งมาได้ พร้อมถอนพาสปอร์ตตามขั้นตอน ยันภาพเก่าไปคู่'ยิ่งลักษณ์' เป็นแค่นายกฯ-ผบ.ทบ. ไปกับทุกนายกฯ
ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์(ร.21รอ.) จ.ชลบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวถึง กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ คสช.พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีและดีลออกนอกประเทศ ว่า ไม่อยากให้สื่อให้ความสนใจกับเรื่องแบบนี้ เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินตรวจสอบต่อไป ว่าออกไปนอกประเทศได้อย่างไร ตอนนี้กำลังให้ฝ่ายความมั่นคงตามดูอยู่ว่าเดินทางออกไปได้อย่างไร ที่ผ่านมาก็ทราบดีว่า ในเมื่อทุกอย่างยังไม่เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีก็ยากที่จะติดตามไปทุกที่ เพราะเราก็ให้เกียรติเขา ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราต้องกลับมาดูว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก เพราะวันหน้ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มันยิ่งกว่านี้ แต่ว่าเรื่องการเข้าออกประเทศก็ต้องไปตรวจสอบ
เมื่อถามว่าความคืบหน้าติดตามตัวไปถึงไหนแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่าง เพราะการออกนอกประเทศ ก็ต้องขอรายละเอียดจากกระทรวงการต่างประเทศ ถ้ากระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า ไม่มีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เราก็ต้องหาทาง
ส่วนจะไปประเทศไหนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนก็ทราบจากสื่อ สื่อก็ทราบดีว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปอยู่ไหน เพราะสื่อก็บอกว่าไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ซึ่งทางราชการก็ต้องติดต่อกับต่างประเทศ ดังนั้นใครที่มีข่าวสารข้อมูลก็ขอให้แจ้งมาตนจะช่วยตรวจสอบให้
เมื่อถามว่าจะดำเนินการถอนพาสปอร์ตหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูทางกฎหมายก่อน ว่าทำอะไรได้แค่ไหน ตนอยากให้บ้านเมืองสงบ เกิดความปรองดอง และตนก็ไม่อยากอารมณ์เสียกับเรื่องเหล่านี้ เพราะตอนนี้กำลังทำอะไรอีกหลายอย่าง โดยวันนี้ก็มางานสถาปนาหน่วย ร.21 รอ. และลงพื้นที่ จ.สระแก้ว ไปช่วยเหลือชาวบ้าน ให้มีรายได้ที่ดีขึ้น ขอให้สื่อสนใจเรื่องแบบนี้ให้มากขึ้น เพราะเรื่องคดีความเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราให้เกียรติคนทุกคนและใช้กฎหมายเดียวกัน ดังนั้นบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เราก็ต้องไปดูว่าเขาเข้าออกได้อย่างไร ที่ผ่านมาก็มาติติงเจ้าหน้าที่ ว่าเวลาตามไปนั่นไปนี่ก็ละเมิดสิทธิมนุษยชน มันก็เลยสุ่นกันไปหมด ส่วนจะมีช่องโหว่ที่ชายแดนหรือไม่ ก็ต้องไปตรวจสอบดูอีกทีอย่างเพิ่งไปโทษคนนั้นคนนี้ เมื่อเขาหายไปแล้วก็ต้องหาทางป้องกัน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อถามย้ำว่า คสช.ไม่ได้มีการปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกนอกประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ ว่า "เห้ย! ใครจะไปปล่อย จะไปไปล่อยได้ยังไง ทำไมคิดแบบนี้"
ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปเคลื่อนไหวต่างแดนตาม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นพี่ชาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะให้ทำอย่างไร ก็เหมือนอดีตนายกฯอีกคนที่เคลื่อนไหวอยู่ คนไทยต้องแยกแยะและเรียนรู้ และคิดได้แล้ว
เมื่อถามน้ำว่าถ้าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันและรวมกันเคลื่อนไหวตะทำอย่างไรนั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของคนไทย เมื่อถามว่า หน่วยความมั่นคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อก็วิพากษ์วิจารณ์ลดลงสิ ไม่มีใครเขาบ้าทำหรอก เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรี จะคุมน.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างไรไม่ให้เขาเคลื่อนไหว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็ต้องไปนู้นสหประชาชาติมั้ง นั่นที่ต่างประเทศบ้านเรายังคุมไม่ได้เลย เพราะสื่อช่วยกันขยายเรื่องนี้ แต่ผมไม่ได้ทะเลาะกับสื่อ ขอให้สื่อช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ"
เมื่อถามว่าแต่ตอนนี้มีการนำภาพคู่สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผบ.ทบ. กลับมาเผยแพร่อีกครั้งทางโซเชียลมิเดีย โดย พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า "แล้วตอนนั้น เขาเป็นนายกฯด้วยรึเปล่า แล้วผมเป็นผบ.ทบ. ผมต้องไปกับเขาด้วยรึเปล่า คิดสิว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมไปกับทุกนายกรัฐมนตรี"
เมื่อถามว่า ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม เพราะในอดีตเคยทำงานใกล้ชิดกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "เพราะคาดว่าจะไม่มีเรื่องนี้ เพราะตอนเช้ายังคิดว่าเขาจะไปศาลตามกระบวนการ ผมก็ให้เกียรติเขา".
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ และอดีตนายทหารที่รับราชการใน ร.21 รอ.ได้เดินทางมาร่วมงานวันสถาปนาครบรอบ 67 ปีโดย นายกรัฐมนตรีในร่วมพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาให้กับบุตร-ธิดาของกำลังพล พร้อมทั้งเดินทางไปดูความคืบหน้าของแปลงเกษตรด้านหลังค่ายนวมินทราราชินี และ สักการะศาล พันโทณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช. ผู้ริเริ่มหลักสูตรทหารเสือราชินี ก่อนเดินทางไปราชการที่จังหวัดสระแก้ว ทั้งนี้ ยังมีอดีตนายทหารที่รับราชการใน ร.21.รอ. ซึ่งเป็นลูกน้องเก่ามารอต้อนรับโดยเฉพาะเหล่าบรรดาแม่บ้านที่มารขอถ่ายรูป กับพลเอกประยุทธ์พร้อมตะโกน"สู้ๆ"ให้กำลังใจ นอกจากนั้น แม่บ้านของกำลังพลได้กระซิบขอหวย พลเอกประยุทธ์ ตอนเดินเข้าไปถ่ายรูปอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ จดหมายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2560 แจงเหตุที่ต้องหนีศาล ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาชี้แจงว่า เป็นจดหมายปลอม ไม่ทราบว่าเจตนาของการเผยแพร่ ขอความกรุณาห้ามนำไปเผยแพร่เด็ดขาดเพราะอาจมีความผิดและถูกฟ้องร้องได้
ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์(ร.21รอ.) จ.ชลบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวถึง กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ คสช.พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีและดีลออกนอกประเทศ ว่า ไม่อยากให้สื่อให้ความสนใจกับเรื่องแบบนี้ เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินตรวจสอบต่อไป ว่าออกไปนอกประเทศได้อย่างไร ตอนนี้กำลังให้ฝ่ายความมั่นคงตามดูอยู่ว่าเดินทางออกไปได้อย่างไร ที่ผ่านมาก็ทราบดีว่า ในเมื่อทุกอย่างยังไม่เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีก็ยากที่จะติดตามไปทุกที่ เพราะเราก็ให้เกียรติเขา ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราต้องกลับมาดูว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก เพราะวันหน้ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มันยิ่งกว่านี้ แต่ว่าเรื่องการเข้าออกประเทศก็ต้องไปตรวจสอบ
เมื่อถามว่าความคืบหน้าติดตามตัวไปถึงไหนแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่าง เพราะการออกนอกประเทศ ก็ต้องขอรายละเอียดจากกระทรวงการต่างประเทศ ถ้ากระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า ไม่มีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เราก็ต้องหาทาง
ส่วนจะไปประเทศไหนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนก็ทราบจากสื่อ สื่อก็ทราบดีว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปอยู่ไหน เพราะสื่อก็บอกว่าไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ซึ่งทางราชการก็ต้องติดต่อกับต่างประเทศ ดังนั้นใครที่มีข่าวสารข้อมูลก็ขอให้แจ้งมาตนจะช่วยตรวจสอบให้
เมื่อถามว่าจะดำเนินการถอนพาสปอร์ตหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูทางกฎหมายก่อน ว่าทำอะไรได้แค่ไหน ตนอยากให้บ้านเมืองสงบ เกิดความปรองดอง และตนก็ไม่อยากอารมณ์เสียกับเรื่องเหล่านี้ เพราะตอนนี้กำลังทำอะไรอีกหลายอย่าง โดยวันนี้ก็มางานสถาปนาหน่วย ร.21 รอ. และลงพื้นที่ จ.สระแก้ว ไปช่วยเหลือชาวบ้าน ให้มีรายได้ที่ดีขึ้น ขอให้สื่อสนใจเรื่องแบบนี้ให้มากขึ้น เพราะเรื่องคดีความเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราให้เกียรติคนทุกคนและใช้กฎหมายเดียวกัน ดังนั้นบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เราก็ต้องไปดูว่าเขาเข้าออกได้อย่างไร ที่ผ่านมาก็มาติติงเจ้าหน้าที่ ว่าเวลาตามไปนั่นไปนี่ก็ละเมิดสิทธิมนุษยชน มันก็เลยสุ่นกันไปหมด ส่วนจะมีช่องโหว่ที่ชายแดนหรือไม่ ก็ต้องไปตรวจสอบดูอีกทีอย่างเพิ่งไปโทษคนนั้นคนนี้ เมื่อเขาหายไปแล้วก็ต้องหาทางป้องกัน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อถามย้ำว่า คสช.ไม่ได้มีการปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกนอกประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ ว่า "เห้ย! ใครจะไปปล่อย จะไปไปล่อยได้ยังไง ทำไมคิดแบบนี้"
ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปเคลื่อนไหวต่างแดนตาม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นพี่ชาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะให้ทำอย่างไร ก็เหมือนอดีตนายกฯอีกคนที่เคลื่อนไหวอยู่ คนไทยต้องแยกแยะและเรียนรู้ และคิดได้แล้ว
เมื่อถามน้ำว่าถ้าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันและรวมกันเคลื่อนไหวตะทำอย่างไรนั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของคนไทย เมื่อถามว่า หน่วยความมั่นคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อก็วิพากษ์วิจารณ์ลดลงสิ ไม่มีใครเขาบ้าทำหรอก เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรี จะคุมน.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างไรไม่ให้เขาเคลื่อนไหว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็ต้องไปนู้นสหประชาชาติมั้ง นั่นที่ต่างประเทศบ้านเรายังคุมไม่ได้เลย เพราะสื่อช่วยกันขยายเรื่องนี้ แต่ผมไม่ได้ทะเลาะกับสื่อ ขอให้สื่อช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ"
เมื่อถามว่าแต่ตอนนี้มีการนำภาพคู่สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผบ.ทบ. กลับมาเผยแพร่อีกครั้งทางโซเชียลมิเดีย โดย พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า "แล้วตอนนั้น เขาเป็นนายกฯด้วยรึเปล่า แล้วผมเป็นผบ.ทบ. ผมต้องไปกับเขาด้วยรึเปล่า คิดสิว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมไปกับทุกนายกรัฐมนตรี"
เมื่อถามว่า ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม เพราะในอดีตเคยทำงานใกล้ชิดกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "เพราะคาดว่าจะไม่มีเรื่องนี้ เพราะตอนเช้ายังคิดว่าเขาจะไปศาลตามกระบวนการ ผมก็ให้เกียรติเขา".
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ และอดีตนายทหารที่รับราชการใน ร.21 รอ.ได้เดินทางมาร่วมงานวันสถาปนาครบรอบ 67 ปีโดย นายกรัฐมนตรีในร่วมพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาให้กับบุตร-ธิดาของกำลังพล พร้อมทั้งเดินทางไปดูความคืบหน้าของแปลงเกษตรด้านหลังค่ายนวมินทราราชินี และ สักการะศาล พันโทณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช. ผู้ริเริ่มหลักสูตรทหารเสือราชินี ก่อนเดินทางไปราชการที่จังหวัดสระแก้ว ทั้งนี้ ยังมีอดีตนายทหารที่รับราชการใน ร.21.รอ. ซึ่งเป็นลูกน้องเก่ามารอต้อนรับโดยเฉพาะเหล่าบรรดาแม่บ้านที่มารขอถ่ายรูป กับพลเอกประยุทธ์พร้อมตะโกน"สู้ๆ"ให้กำลังใจ นอกจากนั้น แม่บ้านของกำลังพลได้กระซิบขอหวย พลเอกประยุทธ์ ตอนเดินเข้าไปถ่ายรูปอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ จดหมายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2560 แจงเหตุที่ต้องหนีศาล ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาชี้แจงว่า เป็นจดหมายปลอม ไม่ทราบว่าเจตนาของการเผยแพร่ ขอความกรุณาห้ามนำไปเผยแพร่เด็ดขาดเพราะอาจมีความผิดและถูกฟ้องร้องได้
พระไพศาล วิสาโลโพสต์"แมวสอนธรรม-ลิงสอนทุกข์
พระไพศาล วิสาโล แห่งวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ ได้โพสต์ในเพจวัดป่าสุคะโต ธรรมชาติที่พักใจ ความว่า แมวสอนธรรม
“เราช่วยเขาก็อย่าไปคิดว่าเขาจะตอบแทนบุญคุณของเรา อย่าไปคิดว่าเขาจะมาภักดีกับเรา หลายคนมีความทุกข์เพราะคาดหวังว่าเขาจะต้องสำนึกในบุญคุณของเรา เขาจะต้องดีกับเรา พอเขาไม่ดีกับเราหรือเพราะเขาอาจสำนึกบุญคุณแต่ไม่มากอย่างที่เราต้องการ เราก็มีความทุกข์ รู้สึกว่าทำไมเขาไม่ตอบแทนบุญคุณของเราเลย ให้เงินเขาไปหรือให้ยืมเงินแล้วเขาก็ไม่สนใจที่จะมาตอบแทนบุญคุณของเรา หรือไม่ดีกับเราก็เลยเกิดความบาดหมาง เกิดความคับแค้นใจ กลายเป็นว่าทำความดีหรือแม้ช่วยเขาแล้ว เกิดความทุกข์ใจในภายหลัง
อันนี้เพราะไปคาดหวังให้เขาทำดีกับเราให้เขาภักดีกับเรา แต่ถ้าเราลองมานึกเออเขาก็เหมือนกับแมวนะ เราให้อาหาร เค้ากินอาหารแล้วเขาก็ไปไม่รู้สึกภักดีอะไรกับเรา ถ้าเราช่วยคนเหมือนกับเราเลี้ยงแมว ไม่ได้หวังความภักดีจากเค้า พอได้รับการช่วยเหลือ หมดทุกข์หายหิวแล้วเขาก็ไป นี่การเลี้ยงแมวก็สามารถจะสอนเราได้เหมือนกัน สอนให้เราทำดีกับผู้อื่นด้วยการวางใจเหมือนกับเลี้ยงแมว”
ลิงสอนทุกข์
ความรังเกียจชิงชังมักทำให้เราเผลอทำสิ่งที่เกินเลย (over-react) จนได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นก่อนที่จะจัดการกับปัญหาใด ๆ ควรหันมาสำรวจตนเองเสียก่อนว่า เรามีความรังเกียจชิงชังมากไปหรือเปล่า มองให้ดีอาจพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้สร้างความทุกข์ให้แก่เรามากเท่ากับความรู้สึกลบต่อสิ่งนั้น บ่อยครั้งเพียงแค่เราลดความรู้สึกดังกล่าวลง สิ่งนั้นก็ไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไป
ธรรมะรับอรุณป่าภูหลง
จากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล
“เราช่วยเขาก็อย่าไปคิดว่าเขาจะตอบแทนบุญคุณของเรา อย่าไปคิดว่าเขาจะมาภักดีกับเรา หลายคนมีความทุกข์เพราะคาดหวังว่าเขาจะต้องสำนึกในบุญคุณของเรา เขาจะต้องดีกับเรา พอเขาไม่ดีกับเราหรือเพราะเขาอาจสำนึกบุญคุณแต่ไม่มากอย่างที่เราต้องการ เราก็มีความทุกข์ รู้สึกว่าทำไมเขาไม่ตอบแทนบุญคุณของเราเลย ให้เงินเขาไปหรือให้ยืมเงินแล้วเขาก็ไม่สนใจที่จะมาตอบแทนบุญคุณของเรา หรือไม่ดีกับเราก็เลยเกิดความบาดหมาง เกิดความคับแค้นใจ กลายเป็นว่าทำความดีหรือแม้ช่วยเขาแล้ว เกิดความทุกข์ใจในภายหลัง
อันนี้เพราะไปคาดหวังให้เขาทำดีกับเราให้เขาภักดีกับเรา แต่ถ้าเราลองมานึกเออเขาก็เหมือนกับแมวนะ เราให้อาหาร เค้ากินอาหารแล้วเขาก็ไปไม่รู้สึกภักดีอะไรกับเรา ถ้าเราช่วยคนเหมือนกับเราเลี้ยงแมว ไม่ได้หวังความภักดีจากเค้า พอได้รับการช่วยเหลือ หมดทุกข์หายหิวแล้วเขาก็ไป นี่การเลี้ยงแมวก็สามารถจะสอนเราได้เหมือนกัน สอนให้เราทำดีกับผู้อื่นด้วยการวางใจเหมือนกับเลี้ยงแมว”
ลิงสอนทุกข์
ความรังเกียจชิงชังมักทำให้เราเผลอทำสิ่งที่เกินเลย (over-react) จนได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นก่อนที่จะจัดการกับปัญหาใด ๆ ควรหันมาสำรวจตนเองเสียก่อนว่า เรามีความรังเกียจชิงชังมากไปหรือเปล่า มองให้ดีอาจพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้สร้างความทุกข์ให้แก่เรามากเท่ากับความรู้สึกลบต่อสิ่งนั้น บ่อยครั้งเพียงแค่เราลดความรู้สึกดังกล่าวลง สิ่งนั้นก็ไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไป
ธรรมะรับอรุณป่าภูหลง
จากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล
ชาวไทยสวีเดนมอบเงินช่วยน้ำท่วมชาวอีสาน
พระธรรมทูตยุโรปประชุมสมัยวิสามัญ ชาวไทยสวีเดนมอบเงินช่วยน้ำท่วมอีสาน ในโอกาสพิธีฉลองสมโภชน์สมณศักดิ์เจ้าคุณสวีเดน
วันที่ 28 ส.ค.2560 พระวิเทศปุญญาภรณ์ (บุญทิน) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน และกรรมการบริหารและเลขานุการสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป เขต 3 ประจำแสกนดิเนเวีย เปิดเผยว่า ในโอกาสจัดพิธีฉลองสมโภชน์สมณศักดิ์ให้กับอาตมาระหว่างวันที่ 26-27 สิงหารม 2560 ซึ่งมีพระธรรมพุทธิวงค์ ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในยุโรปเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ เอกอัครราชทูตไทยประจำรัฐสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน และภรรยา ประธานฝ่ายฆราวาสนั้น สหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรปได้ถือโอกาสจัดประชุมสมัยวิสามัญขึ้นที่วัด
"พร้อมกันนี้พระธรรมทูตไทยได้ประกอบพิธีมอบดอกไม้จันทน์จากพระพรหมสิทธิ กรรมการมหาเถรสมาคม วัดสระเกศ
ราชวรมหาวิหาร เพื่อมอบให้วัดต่างๆ ในยุโรป นำไปจัดพิธีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมกันชาววัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน ยังได้บริจาคเงินสมทบช่วยเหลือน้ำท่วมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมอบให้ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาค 10 เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคอีสานต่อไป ทั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้" เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน กล่าวและว่า
สำหรับจัดพิธีฉลองสมโภชน์สมณศักดิ์ได้มีพระสงฆ์จากยุโรปและประเทศไทย โดยพระพรหมสิทธิ ประธานสำนักงานกำกับดูและพระธรรมทูต ได้มอบมายให้พระเทพรัตนมุนี รองประธานได้เป็นผู้แทนในการเข้าร่วมประชุมมัยวิสามัญ ของสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป 26 สิงหาคมนี้ และพิธีฉลองสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญของอาตมา โดยในงานได้มีพิธีเจริญพระพุทธ และทักษิณานุประทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอุปัชฌาย์และพระราชรัตนรังษี (จำนงค์ ชุตินทโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธาราม สวีเดน และพระครูโอภาสสาธุกิจ พระอุปัชฌาย์ และบรรพบุรุษผู้มีพระคุณ
โดยช่วงบ่ายมีการตั้งขบวนแห่สัญญาบัตรพัดยศ โดยมีนายเกียรติคุณถือพัดยศนำขบวนที่ประกอบด้วยคณะต่างๆ เช่น อตีดมิสไทยแลนด์เวิลด์ และทีมนักกีฬาเหรียญทองสวีเดนที่เป็นลูกศิษย์เรียนฝึกกรรมฐานและสมาธิที่วัด คณะนักแสดงกลุ่มนาฏศิลป์จากเมืองต่างลูกครึ่งไทยสวีเดน พร้อมขบวนกลองยาวจากวัดไทยนอเวย์ ประเทศนอร์เวย์
และเวลา 13.00 น. นายเกียรติคุณอ่านพระบรมราชโองการ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถา พระเทพรัตนมุนี เจ้าคณะภาค 12 และรองประธานอ่านสาร มุทิตาจิตจากพระพรหมสิทธิ และกล่าวสัมโมทนียกถา ประธานองค์กรเพื่อสันติภาพกล่าวแสดงควทมยินดี ประชาชนทุกหมู่เหล่ายืนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และนานาชาติร่วมแสดงมุทิตากว่า15 ประเทศ รวมถึงมีการแสดงมุทิตาโดยเดือนเพ็ญ อำนวยอวยพร และคณะรำวงย้อนยุคในสวีเดน และโรงทานจากเมืองต่างๆ ในงานได้มีร้านอาหารโรงทานจากเมืองต่างๆ บริการตลอดงาน
วันที่ 28 ส.ค.2560 พระวิเทศปุญญาภรณ์ (บุญทิน) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน และกรรมการบริหารและเลขานุการสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป เขต 3 ประจำแสกนดิเนเวีย เปิดเผยว่า ในโอกาสจัดพิธีฉลองสมโภชน์สมณศักดิ์ให้กับอาตมาระหว่างวันที่ 26-27 สิงหารม 2560 ซึ่งมีพระธรรมพุทธิวงค์ ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในยุโรปเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ เอกอัครราชทูตไทยประจำรัฐสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน และภรรยา ประธานฝ่ายฆราวาสนั้น สหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรปได้ถือโอกาสจัดประชุมสมัยวิสามัญขึ้นที่วัด
"พร้อมกันนี้พระธรรมทูตไทยได้ประกอบพิธีมอบดอกไม้จันทน์จากพระพรหมสิทธิ กรรมการมหาเถรสมาคม วัดสระเกศ
ราชวรมหาวิหาร เพื่อมอบให้วัดต่างๆ ในยุโรป นำไปจัดพิธีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมกันชาววัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน ยังได้บริจาคเงินสมทบช่วยเหลือน้ำท่วมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมอบให้ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาค 10 เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคอีสานต่อไป ทั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้" เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน กล่าวและว่า
สำหรับจัดพิธีฉลองสมโภชน์สมณศักดิ์ได้มีพระสงฆ์จากยุโรปและประเทศไทย โดยพระพรหมสิทธิ ประธานสำนักงานกำกับดูและพระธรรมทูต ได้มอบมายให้พระเทพรัตนมุนี รองประธานได้เป็นผู้แทนในการเข้าร่วมประชุมมัยวิสามัญ ของสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป 26 สิงหาคมนี้ และพิธีฉลองสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญของอาตมา โดยในงานได้มีพิธีเจริญพระพุทธ และทักษิณานุประทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอุปัชฌาย์และพระราชรัตนรังษี (จำนงค์ ชุตินทโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธาราม สวีเดน และพระครูโอภาสสาธุกิจ พระอุปัชฌาย์ และบรรพบุรุษผู้มีพระคุณ
โดยช่วงบ่ายมีการตั้งขบวนแห่สัญญาบัตรพัดยศ โดยมีนายเกียรติคุณถือพัดยศนำขบวนที่ประกอบด้วยคณะต่างๆ เช่น อตีดมิสไทยแลนด์เวิลด์ และทีมนักกีฬาเหรียญทองสวีเดนที่เป็นลูกศิษย์เรียนฝึกกรรมฐานและสมาธิที่วัด คณะนักแสดงกลุ่มนาฏศิลป์จากเมืองต่างลูกครึ่งไทยสวีเดน พร้อมขบวนกลองยาวจากวัดไทยนอเวย์ ประเทศนอร์เวย์
และเวลา 13.00 น. นายเกียรติคุณอ่านพระบรมราชโองการ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถา พระเทพรัตนมุนี เจ้าคณะภาค 12 และรองประธานอ่านสาร มุทิตาจิตจากพระพรหมสิทธิ และกล่าวสัมโมทนียกถา ประธานองค์กรเพื่อสันติภาพกล่าวแสดงควทมยินดี ประชาชนทุกหมู่เหล่ายืนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และนานาชาติร่วมแสดงมุทิตากว่า15 ประเทศ รวมถึงมีการแสดงมุทิตาโดยเดือนเพ็ญ อำนวยอวยพร และคณะรำวงย้อนยุคในสวีเดน และโรงทานจากเมืองต่างๆ ในงานได้มีร้านอาหารโรงทานจากเมืองต่างๆ บริการตลอดงาน
กิ่งโพธิ์ตรัสรู้หัก!เกิดต้นกล้าเณรชาวอินเดีย60รูป
เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ส.ค.2560 ที่ผ่านมามีการเผยแพร่ภาพกิ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นภายในเจดีย์พุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ได้หักลงมา นับได้ว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้สอนธรรมเรื่องพระไตรลักษณ์อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2560 ต้นพระศรีมหาโพธิ์คู่ที่อยู่ทางทิศเหนือของเจดีย์พุทธคยา ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้หักกิ่งได้พาดเข้าในบริเวณรอบใน แต่องค์พระเจดีย์ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
แม้กิ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์จะหักตามธรรมชาติหรือตามกฎไตรลักษณ์ แต่ก็ได้เห็นภาพของกิ่งโพธิ์ ต้นกล้า หรือศาสนทายาทที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขในแดนพระพุทธองค์ได้เกิดขึ้น ณ แดนพระพุทธภูมิ โดยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมาพระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชาเด็กชาวอินเดียจำนวน 60 คน ที่พระอุโบสถวัดไทยพุทธคยา ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีผ่ายมาหลายปีแล้ว ภายใต้การคัดเลือกของพระครูปริยัติธรรมวิเทศ,ดร. เจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา ทั้งนี้เพื่อร่วมในกิจกรรมงานบำเพ็ญกุศล "วันบูรพาจารย์" ประจำปีพุทธศักราช 2560 โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ได้มีพิธีปลงผมนาคที่บริเวณลานโพธิ์ 935 วัดไทยพุทธคยาในวันที่ 15 สิงหาคม 2560 โดยมีพระครูนิโครธบุญยากร,ดร. เจ้าอาวาสวัดไทยนิโคธาราม ประเทศเนปาล ประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลหลังจากนั้นประธานฆราวาสนายเอกพล พูลพิพัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ได้เป็นประธานในพิธีขลิปผมนาค โดยในพิธีดังกล่าวมีญาติธรรมได้ร่วมอนุโมทนา อีกทั้งยังได้รับความเมตตาจากพระธรรมทูตได้ทำการปลงผมให้กับนาคทั้งหมดด้วย
พิธีบรรพาเด็กชาวอินเดียในครั้งนี้ได้มีคณะทีมงานธรรมกระบวนกรจิตตปัญญาสากลจากประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ตามการเชิญของกองงานวิปัสสนาวัดไทยพุทธคยาเพื่อทำหน้าที่จัดทำแผนแม่บท แผนการปฏิบัติงาน เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกในระดับสากล เพื่อให้วัดไทยพุทธคยา เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติเพื่อการตื่นรู้ของโลก (Wake up the World) ถวายแก่ พระธรรมทูตในโครงการปฏิบัติในสถานที่ตรัสรู้ 3 เดือน ด้วยหลักสูตรเทคนิคการสอนวิปัสสนาต่างชาติและหลักสูตรการเผยแผ่เชิงรุก
หลังจากนั้นสามเณรต้นกล้าดังกล่าวได้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่พระธรรมวิทยากรไทย ในแดนพุทธภูมิได้ฝึกอย่างเช่น การสอนกรรมฐานได้เรียนรู้พื้นฐานในการปฏิบัติธรรม เพื่อซึมซับคุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การฝึกเรียนรู้กายใจตัวเองนี้ จะเป็นทางที่ได้ประโยชน์สูงสุดแก่สามเณร และ พระพุทธศาสนา การบิณฑบาตรอบเมืองคยา และเมื่อวันที่ 26 ส.ค.นั้นเอง สามเณรต้นกล้าชาวอินเดียจำนวน 60 รูปนี้ เข้าสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ด้วย
อย่างไรก็ตามการบรรพชาเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นศาสนทายาทสืบทอดพระพุทธศาสนาในต่างแดนถือว่าเป็นหน้าที่ประการหนึ่งและเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปก็มีพิธีบรรพชาเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดภาคเรียน
.........................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Nathacha Thamthanapaisarn,วัดไทยนาลันทา วัดนวมินทรธัมมิกราช ประเทศอินเดีย)
แม้กิ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์จะหักตามธรรมชาติหรือตามกฎไตรลักษณ์ แต่ก็ได้เห็นภาพของกิ่งโพธิ์ ต้นกล้า หรือศาสนทายาทที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขในแดนพระพุทธองค์ได้เกิดขึ้น ณ แดนพระพุทธภูมิ โดยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมาพระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชาเด็กชาวอินเดียจำนวน 60 คน ที่พระอุโบสถวัดไทยพุทธคยา ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีผ่ายมาหลายปีแล้ว ภายใต้การคัดเลือกของพระครูปริยัติธรรมวิเทศ,ดร. เจ้าอาวาสวัดไทยนาลันทา ทั้งนี้เพื่อร่วมในกิจกรรมงานบำเพ็ญกุศล "วันบูรพาจารย์" ประจำปีพุทธศักราช 2560 โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ได้มีพิธีปลงผมนาคที่บริเวณลานโพธิ์ 935 วัดไทยพุทธคยาในวันที่ 15 สิงหาคม 2560 โดยมีพระครูนิโครธบุญยากร,ดร. เจ้าอาวาสวัดไทยนิโคธาราม ประเทศเนปาล ประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลหลังจากนั้นประธานฆราวาสนายเอกพล พูลพิพัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ได้เป็นประธานในพิธีขลิปผมนาค โดยในพิธีดังกล่าวมีญาติธรรมได้ร่วมอนุโมทนา อีกทั้งยังได้รับความเมตตาจากพระธรรมทูตได้ทำการปลงผมให้กับนาคทั้งหมดด้วย
พิธีบรรพาเด็กชาวอินเดียในครั้งนี้ได้มีคณะทีมงานธรรมกระบวนกรจิตตปัญญาสากลจากประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ตามการเชิญของกองงานวิปัสสนาวัดไทยพุทธคยาเพื่อทำหน้าที่จัดทำแผนแม่บท แผนการปฏิบัติงาน เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกในระดับสากล เพื่อให้วัดไทยพุทธคยา เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติเพื่อการตื่นรู้ของโลก (Wake up the World) ถวายแก่ พระธรรมทูตในโครงการปฏิบัติในสถานที่ตรัสรู้ 3 เดือน ด้วยหลักสูตรเทคนิคการสอนวิปัสสนาต่างชาติและหลักสูตรการเผยแผ่เชิงรุก
หลังจากนั้นสามเณรต้นกล้าดังกล่าวได้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่พระธรรมวิทยากรไทย ในแดนพุทธภูมิได้ฝึกอย่างเช่น การสอนกรรมฐานได้เรียนรู้พื้นฐานในการปฏิบัติธรรม เพื่อซึมซับคุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การฝึกเรียนรู้กายใจตัวเองนี้ จะเป็นทางที่ได้ประโยชน์สูงสุดแก่สามเณร และ พระพุทธศาสนา การบิณฑบาตรอบเมืองคยา และเมื่อวันที่ 26 ส.ค.นั้นเอง สามเณรต้นกล้าชาวอินเดียจำนวน 60 รูปนี้ เข้าสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ด้วย
อย่างไรก็ตามการบรรพชาเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นศาสนทายาทสืบทอดพระพุทธศาสนาในต่างแดนถือว่าเป็นหน้าที่ประการหนึ่งและเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปก็มีพิธีบรรพชาเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดภาคเรียน
.........................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Nathacha Thamthanapaisarn,วัดไทยนาลันทา วัดนวมินทรธัมมิกราช ประเทศอินเดีย)
วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560
บอลไทยชิงทอง!"เจนรบ"โหม่งเชือดเมียนมา1-0
บอลไทยชิงทอง!"เจนรบ"โหม่งเชือดเมียนมา1-0
วันที่ 26 ส.ค.2560 การแข่งขันฟุตบอลชาย ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย รอบรองชนะเลิศ ที่สนามเซลางยาง ระหว่าง “ช้างศึก” ทีมชาติไทย แชมป์กลุ่ม บี พบ เมียนมา รองแชมป์กลถ่ม เอ ผลปรากฏว่า ทีมชาติไทยเอาชนะ 1-0 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 6 นาที โดยที่ 95 โดยการโหม่ง ของ "เจนรบ สำเภาดี" เข้าไปรอป้องกันแชมป์อีกสมัย ระหว่าง มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย ในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 19.45 น.
วันที่ 26 ส.ค.2560 การแข่งขันฟุตบอลชาย ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย รอบรองชนะเลิศ ที่สนามเซลางยาง ระหว่าง “ช้างศึก” ทีมชาติไทย แชมป์กลุ่ม บี พบ เมียนมา รองแชมป์กลถ่ม เอ ผลปรากฏว่า ทีมชาติไทยเอาชนะ 1-0 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 6 นาที โดยที่ 95 โดยการโหม่ง ของ "เจนรบ สำเภาดี" เข้าไปรอป้องกันแชมป์อีกสมัย ระหว่าง มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย ในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 19.45 น.
ยกหมู่บ้านชาวพุทธ100%หมู่บ้านต้นแบบศีล5แปดริ้ว
ยกหมู่บ้านชาวพุทธ100%หมู่บ้านต้นแบบศีล5แปดริ้ว โรงเรียนสวดมนต์ 2 ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่ผ่านมา พระพรหมเสนาบดี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ส่วนกลาง พร้อมด้วย พระครูปลัดสุวัฒนสมาธิคุณ นางจุไรรัตน์ มีศิริ กรรมการและผู้ช่วยเลขาฯ และ พระธรรมมังคลาจารย์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ประจำหนตะวันออก และพระศรีกิตติเมธี ได้ตรวจเยี่ยมโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” จังหวัดฉะเชิงเทรา ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๒ โดยพระราชเวที ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะภาค ๑๒ พระราชปริยัติสุนทร เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พระราชภาวนาพิธาน รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พระศรีกิตติเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา (ธ) พระครูโชติพัฒนากร เจ้าอาวาสวัดบางปรงธรรมโชติการาม รักษาการเจ้าคณะอำเภอเมือง พระครูสุตภาวนาพิธาน เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พระสังฆาธิการทุกรูป
และ นายชาธิป รุจนเสรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายธัญเทพ หมื่นยุทธ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา นายอาทร ช่วยณรงค์ กำนันตำบลบางพระ นางมะลิวัลย์ จิตรไพบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนราชการภายในจังหวัดฉะเชิงเทรา และประชาชนหมู่บ้านบางปรง มาร่วมสังเกตการณ์จำนวนมาก
นายชาธิป รุจนเสรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้ประสานเครือข่ายจัดกิจกรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยมีกิจกรรมเด่น ๆ ได้แก่ ประเพณีขึ้นเขาเผาข้าวหลาม การอัญเชิญหลวงพ่อพุทธโสธรขึ้นจากน้ำ งานนมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร
พระราชปริยัติสุนทร เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ในนามคณะสงฆ์จังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้ง ๒ นิกาย พร้อมด้วยคณะกรรมการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้กล่าวพอสรุปได้ว่า ในด้านการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ ๓ ด้านเชิงคุณภาพ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านต้นแบบ โดยมอบหมายคณะกรรมการระดับอำเภอคัดเลือก หมู่บ้านที่มีผลงานเชิงประจักษ์ ทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ซึ่งพบว่ามีหมู่บ้านที่มีผลงานตามตัวชี้วัด เหมาะสมที่จะเป็นหมู่บ้านต้นแบบทั้งสิ้น ๑๓๒ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๓๖ และคณะกรรมการระดับจังหวัด ได้ดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านต้นแบบที่ดีที่สุดอำเภอละ ๑ แห่ง เพื่อประกวดระดับจังหวัด เพื่อเป็นตัวแทนในระดับภาคต่อไป
โดยมีการประเมินในด้านยุทธศาสตร์ ๔ ด้านคือ
1. ด้านยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน
2. ด้านกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาชีวิตตามหลักศีล ๕
3. ด้านกิจกรรมตามวิถีชาวพุทธ
4. ด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
โดยคณะสงฆ์ และส่วนราชการทุกภาคส่วนได้มีส่วนในการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕”
อย่างเต็มกำลังความสามารถ
จังหวัดฉะเชิงเทราได้คัดเลือก หมู่บ้านต้นแบบ เพื่อให้คณะกรรมการส่วงนกลาง ได้เยี่ยมชม คือ หมู่บ้าน “บ้านฝั่งคลบางปรง” หมู่ที่ ๙ ตำบลบางพระ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวนครอบครัว ๙๖ ครัวเรือน จำนวนประชากร ๕๔๕ คน สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น ๕๔๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐
ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น หรือ หมู่บ้าน มีอะไรบ้าง มีระบบการจำหน่าย
- หมู่สะเต๊ะที่มีชื่อเสียงในขณะนี้มีผู้ต้องการซื้อเป็นจำนวนมาก และทำรายได้ให้กับชุมชน
- น้ำดื่มสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำรางจืด (ล้างสารพิษในร่างกาย)
- ขนมเปี๊ยะบางปรที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ
- ขนมจาก
- ขนมกงของดีของหมู่บ้าน
- ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ฯลฯ
- การผลิตเสื้อผ้าสตรี (โอทอป)
โดยมีการจัดจำหน่ายภายในจังหวัด และจัดส่งไปจำหน่ายในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นสินค้าโอทอป
จุดเด่นของหมู่บ้าน คือ อะไร
วัดบางปรง ซึ่งมีพระมณฑปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งมีโบสถ์เก่าประมาณ ๓๐๐ ปี และหลวงพ่ออู่ทองศักดิ์สิทธิ์ ในด้านการดำเนินการโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในหมู่บ้าน รวมทั้งประชาชนในชุมชนที่มีความรักความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ช่วยเหลือทุกในทุก ๆ เรื่อง ในด้านการดำเนินการโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นภายในหมู่บ้าน โรงเรียนได้มีการสวดมนต์ 2 ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ความเห็นจากเจ้าอาวาสของวัดประจำหมู่บ้าน ถึงภาพรวมการรักษาศีลของประชาชนในหมู่บ้าน
- ประชาชนในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทุกๆ วันพระจะมีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญตักบาตร รับศีล ฟังธรรม และรักษาอุโบสถอยู่ตลอดเวลา และมักจะขยันทำบุญเลี้ยงพระกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เกิดขึ้น ทำให้เกิดความปรองดองสามัคคี ร่วมด้วยช่วยกันทำงานจนเกิดความสำเร็จของโครงการฯ
ความเห็นผู้ใหญ่บ้าน
ตั้งแต่ดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” นี้มาทำให้ภายในหมู่บ้านเกิดความรักความสามัคคีเกิดความปรองดองสมานฉันท์ มีการร่วมด้วยช่วยกันจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในวัด โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางชุมชน ช่วยเหลือกันในทุกๆ เรื่อง
ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับสถิติคดีในหมู่บ้าน
- คดีด้านอาชญากรรมไม่มีเกิดขึ้นในหมู่บ้านบางปรง หมู่ที่ ๙
- ด้านยาเสพติดไม่พบบุคคลเสี่ยงที่จะติดยาเสพติด
- ด้านสังคมมีเล็กน้อยส่วนมากเป็นเรื่องภายในครอบครัว สามารถไกลเกลี่ยได้ในระดับหมู่บ้าน
ความเห็นคณะกรรมการประเมิน
จังหวัดฉะเชิงเทรา ถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” โดยจังหวัดฉะเชิงเทราได้มีการดำเนินโครงการฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ทั้ง ๔ ด้าน คือ
1. ด้านยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน
2. ด้านกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาชีวิตตามหลักศีล ๕
3. ด้านกิจกรรมตามวิถีชาวพุทธ
4. ด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
มีการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างเรียบง่าย มีการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายภายในชุมชุนและจัดส่งจำหน่างไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว นำหลัก “บวร” มาใช้ในการดำเนินกิจกรรรม คือ วัด บ้าน โรงเรียน เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” จึงขอให้จังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้าน รักษาศีล ๕” ต่อไป เนื่องจากเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่ผ่านมา พระพรหมเสนาบดี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ส่วนกลาง พร้อมด้วย พระครูปลัดสุวัฒนสมาธิคุณ นางจุไรรัตน์ มีศิริ กรรมการและผู้ช่วยเลขาฯ และ พระธรรมมังคลาจารย์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ประจำหนตะวันออก และพระศรีกิตติเมธี ได้ตรวจเยี่ยมโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” จังหวัดฉะเชิงเทรา ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๒ โดยพระราชเวที ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะภาค ๑๒ พระราชปริยัติสุนทร เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พระราชภาวนาพิธาน รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พระศรีกิตติเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา (ธ) พระครูโชติพัฒนากร เจ้าอาวาสวัดบางปรงธรรมโชติการาม รักษาการเจ้าคณะอำเภอเมือง พระครูสุตภาวนาพิธาน เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พระสังฆาธิการทุกรูป
และ นายชาธิป รุจนเสรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายธัญเทพ หมื่นยุทธ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา นายอาทร ช่วยณรงค์ กำนันตำบลบางพระ นางมะลิวัลย์ จิตรไพบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนราชการภายในจังหวัดฉะเชิงเทรา และประชาชนหมู่บ้านบางปรง มาร่วมสังเกตการณ์จำนวนมาก
นายชาธิป รุจนเสรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้ประสานเครือข่ายจัดกิจกรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยมีกิจกรรมเด่น ๆ ได้แก่ ประเพณีขึ้นเขาเผาข้าวหลาม การอัญเชิญหลวงพ่อพุทธโสธรขึ้นจากน้ำ งานนมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร
พระราชปริยัติสุนทร เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ในนามคณะสงฆ์จังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้ง ๒ นิกาย พร้อมด้วยคณะกรรมการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้กล่าวพอสรุปได้ว่า ในด้านการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ ๓ ด้านเชิงคุณภาพ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านต้นแบบ โดยมอบหมายคณะกรรมการระดับอำเภอคัดเลือก หมู่บ้านที่มีผลงานเชิงประจักษ์ ทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ซึ่งพบว่ามีหมู่บ้านที่มีผลงานตามตัวชี้วัด เหมาะสมที่จะเป็นหมู่บ้านต้นแบบทั้งสิ้น ๑๓๒ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๓๖ และคณะกรรมการระดับจังหวัด ได้ดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านต้นแบบที่ดีที่สุดอำเภอละ ๑ แห่ง เพื่อประกวดระดับจังหวัด เพื่อเป็นตัวแทนในระดับภาคต่อไป
โดยมีการประเมินในด้านยุทธศาสตร์ ๔ ด้านคือ
1. ด้านยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน
2. ด้านกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาชีวิตตามหลักศีล ๕
3. ด้านกิจกรรมตามวิถีชาวพุทธ
4. ด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
โดยคณะสงฆ์ และส่วนราชการทุกภาคส่วนได้มีส่วนในการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕”
อย่างเต็มกำลังความสามารถ
จังหวัดฉะเชิงเทราได้คัดเลือก หมู่บ้านต้นแบบ เพื่อให้คณะกรรมการส่วงนกลาง ได้เยี่ยมชม คือ หมู่บ้าน “บ้านฝั่งคลบางปรง” หมู่ที่ ๙ ตำบลบางพระ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวนครอบครัว ๙๖ ครัวเรือน จำนวนประชากร ๕๔๕ คน สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น ๕๔๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐
ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น หรือ หมู่บ้าน มีอะไรบ้าง มีระบบการจำหน่าย
- หมู่สะเต๊ะที่มีชื่อเสียงในขณะนี้มีผู้ต้องการซื้อเป็นจำนวนมาก และทำรายได้ให้กับชุมชน
- น้ำดื่มสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำรางจืด (ล้างสารพิษในร่างกาย)
- ขนมเปี๊ยะบางปรที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ
- ขนมจาก
- ขนมกงของดีของหมู่บ้าน
- ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ฯลฯ
- การผลิตเสื้อผ้าสตรี (โอทอป)
โดยมีการจัดจำหน่ายภายในจังหวัด และจัดส่งไปจำหน่ายในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นสินค้าโอทอป
จุดเด่นของหมู่บ้าน คือ อะไร
วัดบางปรง ซึ่งมีพระมณฑปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งมีโบสถ์เก่าประมาณ ๓๐๐ ปี และหลวงพ่ออู่ทองศักดิ์สิทธิ์ ในด้านการดำเนินการโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในหมู่บ้าน รวมทั้งประชาชนในชุมชนที่มีความรักความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ช่วยเหลือทุกในทุก ๆ เรื่อง ในด้านการดำเนินการโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นภายในหมู่บ้าน โรงเรียนได้มีการสวดมนต์ 2 ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ความเห็นจากเจ้าอาวาสของวัดประจำหมู่บ้าน ถึงภาพรวมการรักษาศีลของประชาชนในหมู่บ้าน
- ประชาชนในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทุกๆ วันพระจะมีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญตักบาตร รับศีล ฟังธรรม และรักษาอุโบสถอยู่ตลอดเวลา และมักจะขยันทำบุญเลี้ยงพระกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เกิดขึ้น ทำให้เกิดความปรองดองสามัคคี ร่วมด้วยช่วยกันทำงานจนเกิดความสำเร็จของโครงการฯ
ความเห็นผู้ใหญ่บ้าน
ตั้งแต่ดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” นี้มาทำให้ภายในหมู่บ้านเกิดความรักความสามัคคีเกิดความปรองดองสมานฉันท์ มีการร่วมด้วยช่วยกันจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในวัด โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางชุมชน ช่วยเหลือกันในทุกๆ เรื่อง
ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับสถิติคดีในหมู่บ้าน
- คดีด้านอาชญากรรมไม่มีเกิดขึ้นในหมู่บ้านบางปรง หมู่ที่ ๙
- ด้านยาเสพติดไม่พบบุคคลเสี่ยงที่จะติดยาเสพติด
- ด้านสังคมมีเล็กน้อยส่วนมากเป็นเรื่องภายในครอบครัว สามารถไกลเกลี่ยได้ในระดับหมู่บ้าน
ความเห็นคณะกรรมการประเมิน
จังหวัดฉะเชิงเทรา ถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” โดยจังหวัดฉะเชิงเทราได้มีการดำเนินโครงการฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ทั้ง ๔ ด้าน คือ
1. ด้านยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน
2. ด้านกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาชีวิตตามหลักศีล ๕
3. ด้านกิจกรรมตามวิถีชาวพุทธ
4. ด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
มีการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างเรียบง่าย มีการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายภายในชุมชุนและจัดส่งจำหน่างไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว นำหลัก “บวร” มาใช้ในการดำเนินกิจกรรรม คือ วัด บ้าน โรงเรียน เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” จึงขอให้จังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินโครงการฯ “หมู่บ้าน รักษาศีล ๕” ต่อไป เนื่องจากเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
แพร่คลิป!"ทักษิณ"พร้อมลูกสาวอยู่สิงคโปร์
แพร่คลิป!"ทักษิณ"พร้อมลูกสาวอยู่สิงคโปร์ แนะตำรวจให้ไปดูไบ
วันที่ 26 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก YouLike (คลิปเด็ด) ได้เผยแพร่คลิปนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับลูกสาวทั้งสองคน โดยระบุว่า "ตอนอยู่ สิงคโปร์ คับ
ถ้าตำรวจชอบจับแพะชนแกะ ก็ไปดูไบ เถอะคับ โดนยึดทรัพย์สิน ยึดบ้าน ยึดหมดตัว เงินพันล้านยึดหมด เค้าไม่เหลืออะไรให้ ยึดแล้วเอาเงินเค้าไปทำอะไรบอกด้วยนะคับ ประชาชนอยากรู้ ยึดเงินเข้ากระเป๋าใครเปล่า แล้วเรื่อง หนีศาล ความจริงคือ ไม่ได้หนีนะคับ #ไปที่ศาลตรงประตูมีกระดาษเขียนคำว่าเลื่อนอยู่ก็เลยกลับเห็นบอกว่าเลื่อน"
วันที่ 26 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก YouLike (คลิปเด็ด) ได้เผยแพร่คลิปนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับลูกสาวทั้งสองคน โดยระบุว่า "ตอนอยู่ สิงคโปร์ คับ
ถ้าตำรวจชอบจับแพะชนแกะ ก็ไปดูไบ เถอะคับ โดนยึดทรัพย์สิน ยึดบ้าน ยึดหมดตัว เงินพันล้านยึดหมด เค้าไม่เหลืออะไรให้ ยึดแล้วเอาเงินเค้าไปทำอะไรบอกด้วยนะคับ ประชาชนอยากรู้ ยึดเงินเข้ากระเป๋าใครเปล่า แล้วเรื่อง หนีศาล ความจริงคือ ไม่ได้หนีนะคับ #ไปที่ศาลตรงประตูมีกระดาษเขียนคำว่าเลื่อนอยู่ก็เลยกลับเห็นบอกว่าเลื่อน"
มส.แนะให้คิด!เหตุใดปท.ใหญ่สามัคคีไม่ใช้อำนาจ
มส.แนะให้คิด!เหตุใดปท.ใหญ่สามัคคีไม่ใช้อำนาจ
เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎกติกาลดความขัดแย้งได้ผ่านกระบวนการจัดการที่ดี
ชี้คนเก่งที่สร้างดาวคนละดวงถือว่าเป็นกับดักขององค์กร
เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2560ที่ผ่านมา พระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร. กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) กล่าวในการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้บริหาร มจร ว่า ตามภูมิศาสตร์มหาจุฬาฯมีวิทยาลัยเขตมากที่สุดจึงเป็นทั้งจุดแข็งและอ่อน จุดแข็ง คือ การมีเครือข่าย สามารถทำงานได้เชื่อมโยงทั่วถึง ส่วนจุดอ่อน คือ ความขัดแย้งเสี่ยงที่จะเกิดเพราะมีสมาชิกเป็นจำนวนมากรวมถึงคุณภาพไม่เท่ากัน
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าองค์กรใหญ่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร คำตอบ คือ ลดความขัดแย้งและสลายความขัดแย้ง คือ ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าไม่มีกระบวนการจัดการความขัดแย้งไปไม่รอด องค์กรที่เติบโตมากๆ จะมีสนิมเกิดขึ้นจะทำลายตัวของมันเอง บางครั้งเราก็ตกในวังวนของความขัดแย้ง ดังนั้น เราจะไม่ให้เกิดความขัดแย้งได้อย่างไร ?
"บ้านเมืองของเราขัดแย้งกันมาก เกิดเพราะอะไร ทำไมบางประเทศใหญ่กว่าทำไมถึงมีความสามัคคีกัน โดยไม่ต้องใช้อำนาจบังคับ เราต้องเรียนรู้จากประเทศนั้นๆ จึงมีระบอบไม่ให้เกิดความขัดแย้ง 2 ระบอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง สามารถคุมอยู่ คือ 1) การใช้อำนาจแบบเผด็จการ คุมอยู่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง 2) การใช้ประชาธิปไตย เป็นการอยู่ร่วมกันแบบหลอมๆ ไม่เกิดความขัดแย้ง" อธิการบดีมหาจุฬา กล่าวและว่า
มหาจุฬาฯคงไม่เอาแบบแรก เพราะเราไม่ได้อยู่ร่วมกันแบบกฎเหล็ก มหาจุฬาฯเป็นองค์กรทางศึกษาต้องมีเสรีภาพทางวิชาการและการวิจัย เพื่อให้องค์กรเติบโต การวิจัยทำให้คิดวิเคราะห์เป็น มหาจุฬาฯจึงเติบโตท่ามกลางของคณะสงฆ์ เราเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เติบโต มีเสรีภาพทางวิชาการเพราะงานวิจัยส่งเสริมให้คิดวิเคราะห์เป็นตัวของตัวเอง ในมหาวิทยาลัยต้องฟังต้องเอื้อต่อผู้ใต้บังคับบัญชา มิฉะนั้นไม่เติบโตทางวิชาการ เราต้องให้โอกาสทุกคนได้เติบโต และแสดงออก เราเป็นมหาวิทยาลัยเป็นมิตรฉันพี่น้อง แต่เสรีภาพทางวิชาการนำไปสู่ความขัดแย้งสูง ถ้าเราบริหารไม่ดี หลายแห่งติดกับดัก เรียกว่า " มีคนเก่งที่สร้างดาวคนละดวง "
....................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Pramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร)
เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2560ที่ผ่านมา พระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร. กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) กล่าวในการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้บริหาร มจร ว่า ตามภูมิศาสตร์มหาจุฬาฯมีวิทยาลัยเขตมากที่สุดจึงเป็นทั้งจุดแข็งและอ่อน จุดแข็ง คือ การมีเครือข่าย สามารถทำงานได้เชื่อมโยงทั่วถึง ส่วนจุดอ่อน คือ ความขัดแย้งเสี่ยงที่จะเกิดเพราะมีสมาชิกเป็นจำนวนมากรวมถึงคุณภาพไม่เท่ากัน
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าองค์กรใหญ่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร คำตอบ คือ ลดความขัดแย้งและสลายความขัดแย้ง คือ ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าไม่มีกระบวนการจัดการความขัดแย้งไปไม่รอด องค์กรที่เติบโตมากๆ จะมีสนิมเกิดขึ้นจะทำลายตัวของมันเอง บางครั้งเราก็ตกในวังวนของความขัดแย้ง ดังนั้น เราจะไม่ให้เกิดความขัดแย้งได้อย่างไร ?
"บ้านเมืองของเราขัดแย้งกันมาก เกิดเพราะอะไร ทำไมบางประเทศใหญ่กว่าทำไมถึงมีความสามัคคีกัน โดยไม่ต้องใช้อำนาจบังคับ เราต้องเรียนรู้จากประเทศนั้นๆ จึงมีระบอบไม่ให้เกิดความขัดแย้ง 2 ระบอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง สามารถคุมอยู่ คือ 1) การใช้อำนาจแบบเผด็จการ คุมอยู่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง 2) การใช้ประชาธิปไตย เป็นการอยู่ร่วมกันแบบหลอมๆ ไม่เกิดความขัดแย้ง" อธิการบดีมหาจุฬา กล่าวและว่า
มหาจุฬาฯคงไม่เอาแบบแรก เพราะเราไม่ได้อยู่ร่วมกันแบบกฎเหล็ก มหาจุฬาฯเป็นองค์กรทางศึกษาต้องมีเสรีภาพทางวิชาการและการวิจัย เพื่อให้องค์กรเติบโต การวิจัยทำให้คิดวิเคราะห์เป็น มหาจุฬาฯจึงเติบโตท่ามกลางของคณะสงฆ์ เราเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เติบโต มีเสรีภาพทางวิชาการเพราะงานวิจัยส่งเสริมให้คิดวิเคราะห์เป็นตัวของตัวเอง ในมหาวิทยาลัยต้องฟังต้องเอื้อต่อผู้ใต้บังคับบัญชา มิฉะนั้นไม่เติบโตทางวิชาการ เราต้องให้โอกาสทุกคนได้เติบโต และแสดงออก เราเป็นมหาวิทยาลัยเป็นมิตรฉันพี่น้อง แต่เสรีภาพทางวิชาการนำไปสู่ความขัดแย้งสูง ถ้าเราบริหารไม่ดี หลายแห่งติดกับดัก เรียกว่า " มีคนเก่งที่สร้างดาวคนละดวง "
....................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Pramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร)
"มจร-สอศ."ใส่ใจวัยใส ชูศีล 5 สร้างภูมิป้องเฮดสปีด
"มจร"จับมือ"สอศ." ปั้นอาชีวศึกษาวิถีพุทธ รองอธิการบดี ยกศีล 5 สร้างความสุขมวลรวมสังคมไทย ใช้เป็นเครื่องมือป้องกันสื่อสารสร้างความเกลียดชังในบ้านเมือง เป็นฐานการศึกษาเพื่อการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง ยิ่งคนละขั้วยิ่งต้องมีความเคารพและอดทน
วันที่ 26 ส.ค.2560 พระราชวรเมธี,ดร. รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย( มจร ) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงาน
ยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา (คปพ.) เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "ค่ายเพชรวัยใส ใส่ใจคุณธรรม" ของนักศึกษาอาชีวศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีการจัดการเพชรเกษม จำนวน 300 คน ที่ห้องประชุมใหญ่ มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ภายใต้การดำเนินการของซึ่งมหาจุฬาฯร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)
ในการนี้ พระราชวรเมธี กล่าวว่า มนุษยธรรม ธรรมที่ทำเกิดความเป็นมนุษย์ "ศีลจึงยกระดับชีวิต " วิทยาลัยอาชีววิถีพุทธต้องเริ่มจากการรักษาศีล ศีลข้อที่ 1 "เป็นหลักประกันชีวิต" เป็นการไม่เบียนเบียนซึ่งกันและกัน คนในสังคมไม่เบียดเบียนกันจะร่มเย็นเป็นสุข การไม่รักษาศีลจึงกระทบทั้งเราและคนอื่น ศีลข้อที่ 2 "เป็นหลักประกันทรัพย์สิน" การไม่ทุจริตต่อทรัพย์สินและชีวิต สังคมไทยมีปัญหาเรื่องการทุจริต เราจึงเป็นเพียงแค่ประเทศที่กำลังพัฒนา ถ้าเราทุกคนรักษาศีลข้อนี้ ถือว่าส่งผลให้สังคมเจริญ ศีลข้อที่ 3 "เป็นหลักประกันครอบครัว" มีความซื่อสัตย์ต่อคู่ตนเอง " ความสุขของครอบครัว คือ สันติสุขของสังคม "
ศีลข้อที่ 4 "เป็นหลักประกันสังคม" การพูดการสื่อสารที่สร้างความสามัคคี อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด คือ วาจา พูดที่ทำให้เกิดความเกลียดชังกัน ต่างคนต่างพูดในสิ่งที่ไม่มีของคนอื่น ก็เกลียดชังกัน แม้แต่ระดับบ้านเมือง ก็มีการทำร้ายกันด้วยคำพูด วาจาสร้างความเกลียดกัน พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องการสื่อสารเพื่อสันติ คือ " จริง ไพเราะ เหมาะกาล ประสานสามัคคี มีประโยชน์ ประกอบด้วยเมตตา" ศีลข้อที่ 5 "หลักประกันสุขภาพ" ยาเสพติดทำลายสุขภาพ ชีวิตอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวงสอดคล้องกับเบญจธรรม เพราะ ถ้าเรามีเมตตาเราสามารถรักคนทั้งโลกได้ คุณธรรมจะทำให้เราไม่สามารถไปทำร้ายคนอื่นได้ เพราะ " เมตตาธรรมค้ำจุนโลก "
กระทรวงศึกษาธิการจึงเน้นย้ำ " เก่ง ดี มีความสุข " ถามว่าตอนนี้ประเทศไทยเรามีความสุขมวลรวมหรือความทุกข์มวลรวม เจอกันไม่ค่อยจะยิ้มให้กัน ยิ่งคนละขั้วยิ่งจะมุ่งทำร้ายกัน เราจึงต้องมาพัฒนาคุณธรรม เรียกว่า " เราจึงคืนความสุขให้กับสังคม " นโยบายการด้านศึกษาของยูเนสโกจำนวน 4 ข้อ คือ
1) การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ มุ่งให้เป็นคนเก่ง มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เราศึกษา 2) การศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพ มุ่งทักษะ พัฒนาอาชีพของตน ปฏิบัติถูกต้อง มีความเชี่ยวชาญ 3)การศึกษาเพื่อพัฒนาการอยู่ร่วมกัน มุ่งอยู่ร่วมกัน ยอมรับความแตกต่างในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ท่ามกลางความแตกต่างในด้านศาสนา และวัฒนธรรม ต้องสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่น มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ ต้องฝึกทักษะชีวิต เพราะเราต้องทำงานร่วมกับคนอื่น อย่างน้อยมีความอดทนในความแตกต่าง ต้องยอมรับกันให้ได้ อยู่ร่วมกันในสังคมให้ได้ ความเห็นที่เห็นต่างกันต้องยอมรับกัน แม้แต่ละคนขั้วก็ตาม
4)การศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ โดยเรานับถือศาสนาใด ก็ปฏิบัติตามหลักศาสนาของตนเองให้เคร่งครัด ศาสนาพุทธเริ่มจากไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นกระบวนการพัฒนาตนเอง เรียนเพื่อพัฒนาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เราต้องสามารถตอบโจทย์ให้ได้ว่า " เรียนไปเพื่ออะไร " คำตอบสูงสุดคือ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะคนเรามี 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ
"ฉะนั้น ในอนาคตวิทยาลัยอาชีวศึกษาจะจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาทั้งวิทยาลัยจำนวนครูและนักศึกษา 3,900 คน เพื่อสร้างวิถีพุทธอย่างเป็นระบบทั้งวิทยาลัย เพราะธรรมศึกษาเป็นฐานของคุณธรรม ฐานของวิชาการจึงต้องทำเป็นระบบเป็นวิถีชีวิต" รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มจร กล่าว
จากนั้นคุณแม่ชีทองสุข นามเจ็ดสี ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนด้านการปฏิบัติและการสวดมนต์ เพื่อการพัฒนาชีวิตให้เกิดความสุข เป็นการสร้างต้นแบบเยาวชนเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณธรรมสืบไป
""""""""""""""""""""""""""""""
(หมายเหตุ : ขอบคุญข้อมูลจาก พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร)
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560
โรงฮิงญาบุกโรงพักยะไข่ตาย71ชาวบ้านอพยพหนีตาย
"ซูจี"แถลงการวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดี ของกลุ่มบุคคลที่มุ่งหวังทำลายกระบวนการสร้างสันติภาพในรัฐยะไข่
วันที่ 26 ส.ค.2560 กองทัพเมียนมาระบุว่า เกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธมุสลิม(โรงฮิงญา)โจมตีด่านตำรวจหลายแห่งเมื่อช่วงตีหนึ่งของวันนี้ (25 สิงหาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 71 ราย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร 12 ราย
แถลงการณ์ของรัฐบาลเมียนมาระบุว่า "กลุ่มติดอาวุธชาวบังกลาเทศบุกโจมตีสถานีตำรวจเมืองมองดอว์ในรัฐยะไข่ด้วยระเบิดที่ประกอบขึ้นเอง พร้อมกับร่วมกันโจมตีด่านตำรวจอีกหลายแห่งเมื่อเวลา 1 นาฬิกา"
ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งแตะ 71 ราย โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร 12 ราย และกลุ่มติดอาวุธ 59 คน โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กล่าวในแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กว่ามี กลุ่มติดอาวุธที่มีส่วนร่วมในเหตุโจมตีถึง 150 คน
การบุกโจมตีด่านตำรวจกว่า 20 แห่งนี้เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังการส่งมอบรายงานเสนอแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสันติภาพของคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐยะไข่ที่นำโดยนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเตือนว่า จะมีคนที่มีความคิดหัวรุนแรงมากขึ้นหากไม่มีการมุ่งแก้ไขเรื่องความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์
ทำเนียบรัฐบาลเมียนมาเผยแพร่แถลงการณ์ของนางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กลุ่มติดอาวุธก่อเหตุโจมตีจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมากกว่า 30 แห่ง ในรัฐยะไข่ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่อย่างน้อย 12 นายเสียชีวิต และชาวโรฮีงญาเสียชีวิตอย่างน้อย 77 คน ว่าเป็น การวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดี ของกลุ่มบุคคลที่มุ่งหวังทำลายกระบวนการสร้างสันติภาพในรัฐยะไข่
คณะกรรมการกลาง ต่อต้านการก่อการร้าย ของเมียนมาได้ประกาศให้ผู้ก่อเหตุร้ายในรัฐยะไข่ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2559 กับวันที่ 25 ส.ค.2560 และ ARSA เป็นผู้ก่อการร้าย ตาม กม.ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนั้นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือติดต่อกับผู้ก่อการร้าย จะมีความผิดด้วย เช่นในกรณีของนักข่าว 3 คน ซึ่งไปติดต่อกับ TNLA และถูกทหารพม่าจับได้ กำลังถูกดำเนินคดีอยู่ที่เมืองหล้าเสี้ยว
ขณะที่เว็บไซต์mtodayรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 25 กองกำลังไม่ทราบฝ่าย คาดว่า เป็นทหารเมียนมาได้บุกเผาโรงเรียนสอนศาสนาในรัฐยะไข่ และบ้านเรือนประชาชนชาวโรฮิงยาเสียหายจำนวนมาก เช้าวันนี้ Shehab News Agency รายงานว่า ชาวเมียนมาจำนวนหนึ่งได้ ออกมารวมตัวกันมีมีดเป็นอาวุธเพื่อไปเข่นฆ่ามุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ นับเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นล่าสุด ส่งผลให้ชาวโรฮิงยาต้องอพยพหนีภัยนับหมื่นคน
""""""""""""""""""""""
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bbc.com/thai/international-41049650และhttp://www.mtoday.co.th/18788)
ซีเอ็นเอ็นตีข่าว"ยิ่งลักษณ์"ถึงดูไบแล้ว
ซีเอ็นเอ็นตีข่าว"ยิ่งลักษณ์"ถึงดูไบแล้ว ก่อนที่ศาลฎีกาการเมืองฯจะพิพากษาคดีจำนำข้าว 2 วัน
วันที่ 26 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิจารณาคดีจำนำข้าวที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำนวนฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ได้ออกหมายจับน.ส.ยิ่งลักษณ์เนื่องจากไม่เดินทางไปศาลฟังคำพิพากษาด้วยตัวเองโดยทนายความยื่นสาเหตุป่วยน้ำในหูไม่เท่ากันแต่ไม่มีใบรับรองแพทย์แสดงพร้อมยึดเงินประกัน 30 ล้านบาท และนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งวันที่ 27 ก.ย.2560 เวลา 09.00น. โดยมีรายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยผ่านช่องทางชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญก่อนบินตรงไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อเดินทางต่อไปเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เพื่อพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายนั้น
วันที่ 26 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิจารณาคดีจำนำข้าวที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำนวนฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ได้ออกหมายจับน.ส.ยิ่งลักษณ์เนื่องจากไม่เดินทางไปศาลฟังคำพิพากษาด้วยตัวเองโดยทนายความยื่นสาเหตุป่วยน้ำในหูไม่เท่ากันแต่ไม่มีใบรับรองแพทย์แสดงพร้อมยึดเงินประกัน 30 ล้านบาท และนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งวันที่ 27 ก.ย.2560 เวลา 09.00น. โดยมีรายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยผ่านช่องทางชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญก่อนบินตรงไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อเดินทางต่อไปเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เพื่อพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายนั้น
เมื่อคืนวันที่ 25 ส.ค.2560 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานโดยแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางเมืองดูไบแล้ว โดยได้เดินทางออกไป 2 วันก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษา และขณะนี้ได้อยู่อย่างปลอดภัยที่เมืองดูไบ
อย่างไรก็ตามได้มีการเผยแพร่ภาพน.ส.ยิ่งลักษณะโผกอดนายทักษิณทางสื่อออนไลน์ ซึ่งเฟซบุ๊ก SiamTownUS นำภาพต่างๆมาเปรียบเทียบความว่า ขณะนี้เริ่มมีการฟอร์เวิร์ด ส่งต่อหรือแชร์ภาพที่อ้างว่าเป็นภาพสดๆ จากสิงค์โปร์ ที่เป็นภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าสวมกอดอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร หลังจากศาลออกหมายจับเพราะไม่มาฟังคำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งภาพนั้นคือภาพที่สองคนพบกันที่ปารีส ฝรั่งเศสเมื่อปี 2014
ทางสยามทาวน์ยูเอสจึงนำภาพที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยลงเฟสบุ๊คส่วนตัวอวยพรวันเกิดพี่ชายครบรอบ 66 ปี. ซึ่งเป็นภาพการสวมกอดเพื่อให้แฟนเพจได้ดูเปรียบเทียบว่า ภาพที่ท่านได้รับเป็นภาพจริงหรือไม่
"ออมสิน"ร่วมประชุมพระสังฆาธิการใต้ที่สตูล
"ออมสิน"ร่วมประชุมพระสังฆาธิการใต้ที่สตูล ร่วมรสวดมนต์เพื่อเสริมสร้างสันติสุข ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๒.๓๐ น. พระพรหมจริยาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เป็นประธานการประชุมพระสังฆาธิการในเขตพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ พร้อมด้วย นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายกนก แสนประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าคณะจังหวัดพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ เข้าประชุมร่วมกัน ณ ห้องประชุมอาคารปฏิบัติธรรม วัดควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา ๐๙.๓๐ น. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับ คณะสงฆ์จังหวัดสตูล จัดโครงการสวดมนต์เพื่อเสริมสร้างสันติสุข ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดให้มีการประชุมพระสังฆาธิการในพื้นที่ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่พระภิกษุ - สามเณร และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ตามโครงการประชารัฐ วัดสร้างสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วัดควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล
โดยมี พระพรหมจริยาจารย์ และนายออมสิน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย พระเทพสิทธิมุนี เจ้าคณะภาค ๑๘ พระมหาคลี จารุวํโส พธ.บ.,ป.ธ.๙ เจ้าคณะจังหวัดสตูล เจ้าอาวาสวัดควนกาหลง นายกนก แสนประเสริฐ รองผู้อำนวยการฯ ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายสนธยา เสนเอี่ยม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผู้อำนวยกองพุทธศาสนสถาน และคณะสงฆ์ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี กว่า ๓๐๐ รูป และพุทธศาสนิกชน กว่า ๕๐๐ คน เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ ๑.การจัดนิทรรศการการเผยแผ่และการศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของคณะสงฆ์ในพื้นที่ให้สามารถดำเนินงานด้านการศึกษาการเผยแผ่ และการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.การจัดกิจกรรมการสาธิตศูนย์ฝึกอาชีพและจำหน่ายสินค้าชุมชนของศูนย์ฝึกอาชีพในวัด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความสมานฉันท์ และความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในพื้นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ๓.การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการแสดงความสามารถจากเครือข่าย “บวร” ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายออมสิน กล่าวว่า "ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีแผนงาน โครงการ และกิจกรรม ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาชายแดนภาคใต้ จำนวน ๕ ด้าน ดังนี้ ๑.ด้านส่งเสริมความมั่นคง เช่นการสนับสนุนการตรวจเยี่ยมของเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ และจัดให้มีการประชุมสัมมนาเจ้าคณะปกครองสงฆ์ เป็นต้น
๒.ด้านส่งเสริมการศึกษา ได้แก่ ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สนับสนุนการปฏิบัติงานของพระธรรมทูต จำนวน ๒๕๖ รูป และสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาศิลปวัฒนธรรม และประเพณีท้องถิ่น เพื่อให้วัดเป็นศูนย์กลางชุมชนตามหลัก "บวร" เป็นต้น
๓.ด้านกิจกรรม ได้แก่ สนับสนุนการศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และศูนย์ฝึกอาชีพในวัด สนับสนุนการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ สามเณร บวชศีลจาริณี แก่กุลบุตรชาวไทยพุทธ และสนับสนุนโครงการค่ายคุณธรรมแก่เด็ก เยาวชนฯ เป็นต้น
๔.ด้านการสร้างเครือข่ายปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ การเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ โดยสนับสนุนการสร้างเครือข่ายประชาชน ทั้งในชุมชนและสถานศึกษา เป็นต้น
และ๕.ด้านสังคมสันติสุข ได้แก่ โครงการสานสัมพันธ์พุทธวิถีไทยเชื่อมโยงชายแดนใต้สู่อาเซียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีพุทธและสังคมพหุวัฒนธรรมต่างท้องถิ่น และโครงการส่งเสริมจิตสำนึกค่านิยมไทยสร้างสรรค์เครือข่ายเยาวชนสยามเยือนถิ่นมาตุภูมิ เป็นต้น"
...................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊กกลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๒.๓๐ น. พระพรหมจริยาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เป็นประธานการประชุมพระสังฆาธิการในเขตพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ พร้อมด้วย นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายกนก แสนประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าคณะจังหวัดพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ เข้าประชุมร่วมกัน ณ ห้องประชุมอาคารปฏิบัติธรรม วัดควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา ๐๙.๓๐ น. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับ คณะสงฆ์จังหวัดสตูล จัดโครงการสวดมนต์เพื่อเสริมสร้างสันติสุข ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดให้มีการประชุมพระสังฆาธิการในพื้นที่ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่พระภิกษุ - สามเณร และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ตามโครงการประชารัฐ วัดสร้างสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วัดควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล
โดยมี พระพรหมจริยาจารย์ และนายออมสิน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย พระเทพสิทธิมุนี เจ้าคณะภาค ๑๘ พระมหาคลี จารุวํโส พธ.บ.,ป.ธ.๙ เจ้าคณะจังหวัดสตูล เจ้าอาวาสวัดควนกาหลง นายกนก แสนประเสริฐ รองผู้อำนวยการฯ ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายสนธยา เสนเอี่ยม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผู้อำนวยกองพุทธศาสนสถาน และคณะสงฆ์ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี กว่า ๓๐๐ รูป และพุทธศาสนิกชน กว่า ๕๐๐ คน เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ ๑.การจัดนิทรรศการการเผยแผ่และการศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของคณะสงฆ์ในพื้นที่ให้สามารถดำเนินงานด้านการศึกษาการเผยแผ่ และการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.การจัดกิจกรรมการสาธิตศูนย์ฝึกอาชีพและจำหน่ายสินค้าชุมชนของศูนย์ฝึกอาชีพในวัด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความสมานฉันท์ และความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในพื้นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ๓.การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการแสดงความสามารถจากเครือข่าย “บวร” ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายออมสิน กล่าวว่า "ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีแผนงาน โครงการ และกิจกรรม ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาชายแดนภาคใต้ จำนวน ๕ ด้าน ดังนี้ ๑.ด้านส่งเสริมความมั่นคง เช่นการสนับสนุนการตรวจเยี่ยมของเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ และจัดให้มีการประชุมสัมมนาเจ้าคณะปกครองสงฆ์ เป็นต้น
๒.ด้านส่งเสริมการศึกษา ได้แก่ ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สนับสนุนการปฏิบัติงานของพระธรรมทูต จำนวน ๒๕๖ รูป และสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาศิลปวัฒนธรรม และประเพณีท้องถิ่น เพื่อให้วัดเป็นศูนย์กลางชุมชนตามหลัก "บวร" เป็นต้น
๓.ด้านกิจกรรม ได้แก่ สนับสนุนการศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และศูนย์ฝึกอาชีพในวัด สนับสนุนการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ สามเณร บวชศีลจาริณี แก่กุลบุตรชาวไทยพุทธ และสนับสนุนโครงการค่ายคุณธรรมแก่เด็ก เยาวชนฯ เป็นต้น
๔.ด้านการสร้างเครือข่ายปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ การเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ โดยสนับสนุนการสร้างเครือข่ายประชาชน ทั้งในชุมชนและสถานศึกษา เป็นต้น
และ๕.ด้านสังคมสันติสุข ได้แก่ โครงการสานสัมพันธ์พุทธวิถีไทยเชื่อมโยงชายแดนใต้สู่อาเซียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีพุทธและสังคมพหุวัฒนธรรมต่างท้องถิ่น และโครงการส่งเสริมจิตสำนึกค่านิยมไทยสร้างสรรค์เครือข่ายเยาวชนสยามเยือนถิ่นมาตุภูมิ เป็นต้น"
...................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊กกลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
กลุ่มโรฮิงญาบุกโรงพักฆ่าตร.11ศพเผาบ้านพุทธ
กลุ่มโรฮิงญาบุกโรงพักฆ่าตร.11ศพเผาบ้านพุทธ
วันที่ 25 ส.ค.2560 สำนักที่ปรึกษาแห่งรัฐบาลประเทศเมียนมาได้แถลงว่า กลุ่มเบงกาลี(โรฮิงญา) ได้บุกโรงพักตำรวจในรัฐยะไข่ ฆ่าตำรวจตายจำนวน 11 ศพ ขณะที่กลุ่มโรฮิงญาตาย 19 ศพ พร้อมกันนี้ได้เผาหมู่บ้านชาวพุทธได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วย เมื่อคืน 24 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยได้บุกโจมตีสถานีตำรวจเมียนมา 24 แห่ง ทำให้เกิดการปะทะดุเดือด ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มโรฮิงญาได้ฆ่าชาวพุทธเสียชีวิต 6 ศพ
ทั้งนี้นับแต่เดือนตุลาคม 2559 โรฮิงยาติดอาวุธ ได้โจมตีตำรวจเมียนมาจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ทางการเมียนมาได้ปราบปรามอย่างหนัก จนทำให้มีผู้อพยพไปประเทสมาเลเซีย มากกว่า 80,000 คน
วันที่ 25 ส.ค.2560 สำนักที่ปรึกษาแห่งรัฐบาลประเทศเมียนมาได้แถลงว่า กลุ่มเบงกาลี(โรฮิงญา) ได้บุกโรงพักตำรวจในรัฐยะไข่ ฆ่าตำรวจตายจำนวน 11 ศพ ขณะที่กลุ่มโรฮิงญาตาย 19 ศพ พร้อมกันนี้ได้เผาหมู่บ้านชาวพุทธได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วย เมื่อคืน 24 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยได้บุกโจมตีสถานีตำรวจเมียนมา 24 แห่ง ทำให้เกิดการปะทะดุเดือด ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มโรฮิงญาได้ฆ่าชาวพุทธเสียชีวิต 6 ศพ
ทั้งนี้นับแต่เดือนตุลาคม 2559 โรฮิงยาติดอาวุธ ได้โจมตีตำรวจเมียนมาจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ทางการเมียนมาได้ปราบปรามอย่างหนัก จนทำให้มีผู้อพยพไปประเทสมาเลเซีย มากกว่า 80,000 คน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
"มจร"สีเขียวยุคAI! จัดกิจกรรม "รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม คืนขยะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน"
กิจกรรม “รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างจริยธรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ด้วยหล...
-
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณประสาร” รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(...
-
วิจารณ์สนั่นหลักสูตรบาลีป.ธ.1-2 ถึงป.ธ. 9 เรียนพระไตรปิฎก 149 หน้า "เจ้าคุณหรรษา" ยกสามเณร 2 รูป หนึ่งจบ ป.ธ. 9 อายุ 17 ปี หนึ่งจบ...
-
พระปิดตายันต์ยุ่งมหาอุตโม หลวงปู่ทิม อิสริโก จัดสร้างเพื่อหารายได้ สร้างหอฉันอุตตโม ออกแบบโดยช่างเกษม มงคลเจริญ ประกอบด้วย เนื้...