วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ทูตไทยจำเคนยาเยี่ยมสำนักสงฆ์พระพุทธรักขิตะ

ทูตไทยจำเคนยาเยี่ยมสำนักสงฆ์พระพุทธรักขิตะ  พร้อมให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆในพระพุทธศาสนาเป็นฐานสร้างสันติภาพโลก


เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2560 ที่ผ่านมาเฟซบุ๊ก Uganda Buddhist Centre - UBC ได้รายงานว่า เอกอัครราชทูตประเทศไทยประจำประเทศเคนยา ได้เดินทางไปที่สำนักสงฆ์พระพุทธรักขิตะ  ประเทศยูกันดา ทั้งนี้ได้แจ้งว่า ทางเอกอัครราชทูตประเทศไทยประจำประเทศเคนยาจะให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของสำนักสงฆ์


ทั้งนี้พระพุทธรักขิตะ ที่เป็นชาวยูเคนยาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและบวชศึกษาพุทธธรรมจาริกไปตามประเทศต่างๆในอาเซียนแล้วกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา สำนักมีชาวเคนยานับถือพระพุทธศาสนาและบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปแอฟริกา  พร้อมกันนี้ได้เคยเดินทางมาบรรยายที่ประเทศหลายครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อถอดบทเรียนในการสร้างสันติภาพให้กับนิสิตปริญญาโทให้ทราบ


ชื่อเสียงของพระพุทธรักขิตะชาวยูกันดา ซึ่งเป็นพระสงฆ์เถรวาทรูปแรกที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในทวีปแอฟริกา เป็นที่ทราบของชาวไทยพุทธบ้างในระดับหนึ่ง และที่ทราบมากขึ้นเมื่อได้ออกหนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติเรื่อง "บัวบานที่ยูกันดา"  ที่เขียนคำนิยมโดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือพระว. วชิรเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดังแห่งศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย

            
ด้วยชื่อเสียงดังกล่าวพระพุทธรักขิตะจึงได้รับเชิญไปบรรยายในเวทีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและและสันติภาพอยู่เป็นระยะๆ  รวมถึงล่าสุดได้รับนิมนต์ไปบรรยายเสนอบทความในการประชุมนานาชาติ ณ เมืองมัณฑเลย์ ประเทศเมียนมาร์ ในหัวข้อ "The World Peace Buddhist Conference"  หรือ "พระพุทธศาสนากับสันติภาพโลก" ที่สถาบันวิชาการสีตะกู  ระหว่างวันที่ 22-26 มกราคม พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระสยาดอจี อชิน ญาณิสสระ อธิการบดี ซึ่งมีนักสันติภาพจากหลากหลายศาสนาทั่วโลกกว่า 1,000 รูป/คน ได้เข้าร่วมและเสนอบทความ รวมถึงพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ได้เดินทางไปปาฐกถาพิเศษ และพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี มจร ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก  ได้นำคณาจารย์และนิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเป็นผู้นำเสนอประสบการณ์จากทำงานด้านสันติภาพในประเด็น "หมู่บ้านสันติภาพ" ต่อที่ประชุมด้วย

            
จากเวทีสันติภาพที่ประเทศเมียนมาร์นั่นเองพระมหาหรรษาจึงได้นิมนต์พระพุทธรักขิตะเดินทางมาประเทศไทย เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายประสบการณ์การสร้างสันติภาพเรื่อง "ถอดบทเรียนการสร้างสันติภาพในทวีปแอฟริกาใต้ : กรณีศึกษา ประเทศยูกันดา" ให้แก่นิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา  มจร  และบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับฟังที่ห้องสันติศึกษา อาคารเรียนรวม มจร อ.วังน้อย  จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันเสาร์ที่ 30  มกราคม พ.ศ.2559

            
พระพุทธรักขิตะได้ระบุว่า ได้เดินทางมาบรรยายที่ มจร ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยขอนำเสนอวีดีโอสั้นๆเป็นเรื่องราวเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะ ซึ่งสันติภาพนั้นมี 3 ระดับ คือ 1 สันติภาพทั่วไป 2. สันติภาพภาวนา และ 3 .ผลจากการปฏิบัติ ซึ่งสันติภาพนั้นแบ่งออก 2 แบบ คือ สันติภายในและสันติภายนอก  ปัจจุบันนี้สร้างได้เพียงสันติภาพภายนอกจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้ถึงสันติภาพภายในโดยผ่านการปฏิบัติภาวนา ซึ่งแนวทางการพัฒนาเพื่อไปสู่สันติภาพมี 3 ระดับคือ ปริยัติ  ปฏิบัติ และปฏิเวธ

           
"คำว่าสันติภาพในมุมมองของผม คือ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถึงแม้เราจะไม่มีสงครามแล้ว แต่ความรู้สึกเกี่ยวกับสงครามยังมีอยู่ เพราะเราเคยเป็นเหยื่อของสงคราม ซึ่งที่ประเทศยูกันดามีพระสันติภาพเหมือนประเทศไทยมีพระเเก้วมรกต  โดยอาตมาเป็นพระรูปแรกที่ไปสร้างวัดที่ประเทศยูกันดาซึ่งก็เป็นสิ่งแปลกเพราะเป็นสิ่งที่ชาวยูกันดาไม่เคยรู้จักมาก่อน" พระพุทธรักขิตะกล่าวและว่า

        
คำถามก็คือจะใช้อะไรในการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา  คำตอบก็คือว่า ใช้ความเมตตา กรุณา  ทำให้ชาวบ้านเห็น เช่น ให้ทาน แจกอาหาร ด้วยการแบ่งปัน โดยเอาธรรมไปทำ  ที่ประเทศยูกันดาขาดแคลนน้ำจึงช่วยเรื่องน้ำให้ทานเรื่องน้ำสะอาดให้กับชาวยูกันดา  ซึ่งใช้วิธีการสงเคราะห์หรือสังคหธุระ  และที่ยูกันดามีปัญหาด้านการศึกษาจึงเริ่มด้วยการสอนภาษาอังกฤษ ปลูกฝังการศึกษาและสอดแทรกธรรมะเข้าไปด้วย


พระพุทธรักขิตะกล่าวด้วยว่า จึงอยากขอความร่วมมือ มจร ในการเปิดโรงเรียนและส่งครูไปช่วย เพราะครูตัวจริงต้องไปสอนในสถานที่เขาไม่รู้ ให้เขารู้ สอนคนไม่รู้ ให้รู้ได้ เพราะการสอนเป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วย เช่นกัน
         
            
"เราควรจัดการความขัดแย้งภายในตัวเองก่อน ซึ่งที่ผ่านมาอาตมานับถือมาทุกศาสนาทุกนิกาย   จึงมาค้นหาว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง  จึงมีโอกาสได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓  เดือน จึงค้นพบความต้องการที่แท้จริง  ความจริงศาสนาพุทธก็มีหลายนิกายทั้งเถรวาทและมหายาน  แม้แต่การปฏิบัติของเถรวาทในการกำหนดท้องบ้างลมหายใจบ้าง  ไม่รู้จะกำหนดที่ไหนกันแน่ เพียงเท่านี้ก็ขัดแย้งในตัวเองแล้ว จึงทำให้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่ประเทศเมียนมาร์เพื่อสร้างสันติภายใน" พระชาวยูกันดา กล่าวและว่า
          

ถ้าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่ให้เปรียบเทียบกับตนเอง อดีตเราปฏิบัติได้แค่ไหน ตอนนี้เราได้แค่ไหน  เพราะถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็จะเกิดทิฐิมานะเราต้องมั่นใจและศรัทธาเท่านั้น มีคำถามว่าทำไมถึงเลือกมาเป็นชาวพุทธและทำไมถึงเลือกเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  เหตุเพราะว่าศาสนาอื่นที่ศึกษาไม่สามารถให้คำตอบของชีวิตได้  แต่พระพุทธศาสนาสามารถตอบคำถามของชีวิตได้ ศาสนาพุทธให้คำตอบที่ถูกต้องมากๆแต่ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานถึงจะได้คำตอบนั้น

            
พระพุทธรักขิตะกล่าวว่า อาตมาถือว่าเป็นแกะดำในครอบครัว เพราะคนในครอบครัวนับถือศาสนาอื่น แต่อาตมาคนเดียวที่มานับถือศาสนาพุทธ  คนในครอบครัวรับประทานเนื้อแต่อาตมาฉันผักจึงเกิดความขัดแย้งในครอบครัว   แม้แต่ลุงผู้ส่งให้ศึกษาอยากให้เป็นนักธุรกิจ แต่มาวันหนึ่งอาตมานับถือพระพุทธศาสนาและบวชเป็นพระภิกษุจึงทำให้ลุงเกิดความผิดหวังเป็นอย่างมากถือว่ายังขัดแย้งเพราะยังไม่เข้าใจ   แต่ มจร ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดีมากๆ โดยเมื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชาโลกทำให้ลุงได้ร่วมเดินทางมาด้วยและได้รับพระพุทธรูปจากบุคคลสำคัญของประเทศไทย  ทำให้ลุงเกิดการยอมรับเป็นอย่างมาก
         

สันติภาพจะเกิดต้องมี 3  ระดับ คือ   ความรักต่อกัน     ต่อสู้กับตนเอง   ร่วมมือกันด้วยความอดทนต่อกัน    เพราะความขัดแย้งในชุมชน ซึ่งเราเป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกัน  ที่ประเทศยูกันดาไม่เคยสัมผัสคุ้นเคยกับพระสงฆ์  จึงเกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างหนึ่ง  เพราะไม่เคยรู้จักนักบวช แม้แต่เห็นชุดการแต่งกายก็มองว่าเป็นแฟชั่นสวยงาม คิดว่าเป็นนายแบบ ถามถึงราคาชุดที่ใส่ก็เป็นความขัดแย้งจากความไม่รู้ บางกลุ่มคิดว่า บ้า วิกลจริต   เพราะแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น   จึงใช้วิธีกำหนดได้ยินหนอๆๆ ไม่เอาไปปรุงแต่ง  เป็นสร้างพุทธสันติวิธี กำหนดว่าได้ยินก็ผ่านไป   ได้ยินอะไรก็ปล่อยสักว่าได้ยิน แล้วมันก็ผ่านไปเป็นการสร้างสันติภายใน

            
พระชาวยูกันดา กล่าวว่า ต่อไปอยากให้พวกเราสร้างสันติภายในด้วยการนั่งสมาธิและแผ่เมตตาและแบ่งปันความขัดแย้งเกี่ยวกับสังคม การเมือง  เราเคยมีความขัดแย้งแบบรุนแรงหรือไม่  แต่เราต้องสามารถให้อภัยคนอื่นได้ ซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแออะไรเลยแต่คือความแข็งแกร่งของจิตใจเรา    เราต้องฝึกการให้อภัย  คนที่จะถูกเยียวยาคนแรกคือตัวเราเอง ซึ่งพุทธศาสนาสอนเรื่องการเผยแผ่เมตตา ความขัดแย้งทางศาสนาก็มีส่วนสำคัญ   ซึ่งเราเรียนทฤษฎีเกี่ยวสันติภาพในห้องเรียนแต่พอเราไปเจอความขัดแย้งจริงๆจะท้าทายเรามาก  ซึ่งบางอย่างเราต้องมีอุเบกขา พร้อมทั้งเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรมให้มากๆ
          
            
ส่วนความขัดแย้งทางการเมือง พระสงฆ์ควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือไม่นั้น   ความจริงแล้วพระสงฆ์ไม่ควรไปเล่นการเมือง แต่ควรให้ คำแนะนำชี้แนะเตือนสติมากกว่าลงไปเล่น  เหมือนเล่นฟุตบอลต้องมีโค้ช พระเหมือนโค้ชให้ธรรมะ ให้ข้อคิดในการเล่นการเมืองการปกครอง
           
            
พระพุทธรักขิตะกล่าวสรุปว่า ทุกความขัดแย้งแม้จะแค่เล็กๆ ย่อมมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันและกัน จึงต้องฝึกปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง การจัดการความขัดแย้งต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นการสร้างสันติภายใน

......................

(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊กUganda Buddhist Centre - UBC)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โครงสร้างนิยายเรื่อง "สันติที่รัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "สันติที่รัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่อง...