การนำเสนอรายงานวิชาสุดท้ายในการเรียนระดับปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา หลักสูตร 1.1 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เป็นวิชาปฏิบัติการสร้างความปรองดองโดยพุทธสันติวิธี ซึ่งนิสิตปริญญาเอกต้องนำธรรมะของพระพุทธเจ้าลงไปปฏิบัติจริงตามพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในระดับครอบครัว ชุมชน สังคม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง "ขยะ" จากผลการปฏิบัติการเรื่อง" การมีส่วนร่วมเสริมสร้างสังคมสันติสุขยุคไทยแลนด์ 4.0 ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเชิงพุทธบูรณาการ: กรณีศึกษาชุมชนหมู่บ้านวิรากร เทศบาลตำบลบางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี"
ทั้งนี้นิสิตสันติศึกษาไม่ได้มองว่า "ขยะ" เป็นศัตรูที่ต้องกำจัดหรือไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องทิ้งเสมอไป แต่สามารถคัดเลือกจากที่มีผู้ทิ้งตามถนนริมทางอย่างเช่น ล้อรถ ขี้เลื่อย ต้นกล้วย หรือแม้แต่วัชพืชต่างๆ ได้มีการนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ในการทดสอบการทำเกษตรอินทรีย์ภายใต้ชื่อ "ฟาร์มสันติวิถีพอเพียง" ได้
ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับนิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา รุ่นแรกของประเทศไทย ซึ่งแต่ละท่านได้นำเสนองานที่ตนเองลงพื้นที่ เป็นงานที่สุดยอดมาก เพราะได้เป็นหลักพุทธธรรมไปปฏิบัติเพื่อสร้างความปรองดอง ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำดุษฎีนิพนธ์รวมถึงเขียนบทความวิชาการเพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ว่า "การเรียนรู้ต้องออกไปทำจริงในพื้นที่ เราจะได้ความรู้ที่เป็นปฐมภูมิ " เป็นความรู้จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง นำทฤษฎีลงสู่การปฏิบัติ เรียกว่า "นำธรรมไปทำ" นั่นเอง
พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ในฐานะผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา เน้นย้ำเสมอว่าเรียนสันติศึกษาต้อง "จบภายนอก และ จบภายใน" ภายนอก คือออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ส่วนภายในคือ มีสันติภายในใจ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี สรุปว่านิสิตปริญญาเอกสันติศึกษาต้องสามารถไปถึงคำว่า " สงบเย็นและเป็นประโยชน์ " จงบำเพ็ญตนแห่งการเรียนรู้สันติศึกษาในฐานะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดความสงบภายใน ก่อนจะออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ คำว่าจบสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ...
1) "จบภายนอก" หมายถึง ทำตามกฎกติกาของหลักสูตรทั้งหมด ตั้งแต่การมาเรียน ทำกิจกรรม ปฏิบัติธรรม สอบวัดผล ฝึกงานในพื้นที่ ทำวิทยานิพนธ์ เขียนบทความ แล้วรับปริญญาถือว่าเป็นการจบภายนอก
2) "จบภายใน" หมายถึง การฝึกพัฒนาจิตใจของตนเองให้สงบเย็นสามารถขอบคุณ ชื่นชม ขอโทษ ให้อภัย คนอื่นได้ ดังคำกล่าวที่ว่า "เขาร้อนมา เราเย็นไป เขาเป็นไฟ เราเป็นน้ำ" ซึ่งดูแลลมหายใจของตนเอง ก่อนเราจะไปช่วยต่อลมหายใจให้คนอื่น " ถือว่าเป็นการจบที่ยากมาก แต่พัฒนาตนเองได้ "
จบภายในจึงจบด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันตลอดไป จบด้วยความรักสร้างสัมพันธภาพยังดีต่อกัน จบด้วยการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป จบด้วยการไม่มีข้อขัดแย้งต่อกัน สมที่จะใช้คำว่า "นักวิศวกรสันติภาพ" จบด้วยการไม่มีคำว่า"พวกเขา"แต่มี"พวกเราครอบครัวเดียวกัน" จบด้วยการเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน จบด้วยคำว่า ขอบคุณ ชื่นชม ขอโทษ ให้อภัยกัน จบด้วยการมีสัมมาวาจาปิยวาจาต่อกัน จบด้วยการไม่โกรธ ไม่อาฆาต ไม่พยาบาทซึ่งกันและกันจบด้วยการไม่มีศัตรูเมื่อแต่คนเดียว "ศัตรูคนเดียวก็มากไปแล้ว" จบด้วยการให้เกียรติและเคารพครูบาอาจารย์-เจ้าหน้าที่ทุกท่าน และมีความสุขจากภายใน
พร้อมกันนี้ พระมหาหรรษา การเรียนในระดับปริญญาเอกต้องการสันติวิธีที่เป็นวิถีชีวิต มี 1 ระดับ คือ 1) "สันติวิธีจัดการความขัดแย้งตนเอง" ให้จัดการตนเองก่อน เพราะกิเลสมีความเป็นสากลแต่มีบริบทแตกต่างกันเท่านั้น สร้างสันติภายในตนเองก่อน 2) "สันติวิธีจัดการความขัดแย้งร่วมกับคนอื่น" ให้เราลงไปทำ " ภาษาการทำงานคือ " เอาธรรมไปทำ " อย่าไปเพียงถอดบทเรียนชีวิตคนอื่นเท่านั้น เราต้องลงไปทำให้เป็นวิถีชีวิต เมื่อลงไปทำในพื้นที่ ธรรมะตัวใดเกิดขึ้นบ้าง ให้ออกจากชีวิตของเราเอง 3) "สันติวิธีจัดการความขัดแย้งด้วยการเรียกร้อง" เหมือนมหาตมะคานธี ใช้วิธีการเรียกร้อง ถือว่าเป็นสันติวิธี เพราะไม่ใช้ความรุนแรง
ฉะนั้น ในฐานะครอบครัววิศวกรสันติภาพ เราจะช่วยเหลือกันและกันให้ จบภายนอกซึ่งบอกถึงความสำเร็จ และจบภายใน ซึ่งบอกอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ขอให้เพื่อนๆนิสิตปริญญาเอกรุ่นแรกของประเทศไทย จบภายนอกและจบภายในไปด้วยกัน
.....................................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากPramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร วิทยากรธรรมะโอดี)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น