วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

"ธรรมกาย" จัดบรรยาย พระวิทยากรชี้คำ"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"บล็อคสติปัญญาไท



"ธรรมกาย" จัดบรรยายหัวข้อวิจัยเรื่อง "การพัฒนาความเป็นกัลยาณมิตรโดยกระบวนการฝึกทักษะทางสังคมของนักศึกษา"   พระวิทยากรชี้คำ"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"บล็อคสติปัญญาไทย เปลี่ยนเป็น "ไม่รู้ต้องศึกษา" หัวเราะเรื่องล้มเหลวของตัวเองให้ได้


วันที่ 18 ก.พ.2561 พระปราโมทย์ วาทโกวิโท พระวิทยากรกระบวนธรรมะโอดี เปิดเผยว่า  ได้เป็นพระวิทยากรบรรยายให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย ศูนย์ประเทศไทย ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี ภายใต้หัวข้อการวิจัยของนิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  ในหัวข้อวิจัยเรื่อง "การพัฒนาความเป็นกัลยาณมิตรโดยกระบวนการฝึกทักษะทางสังคมของนักศึกษา" โดยมีพระสงฆ์และนักศึกษาเข้าร่วมการพัฒนาการเป็นกัลยาณมิตร




มีพระอาจารย์ปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ ดร. หัวหน้าจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว มจร เป็นวิทยากรเปิดประเด็นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เพราะสถานการณ์ของชีวิตเมื่อเจอปัญหามนุษย์แก้ปัญหาด้วย 2 วิธี คือ คิดแก้ปัญหาด้วยทางบวก ด้วยกระบวนการใช้สติและโยนิโสมนสิการ และแก้ปัญหาด้วยทางลบ ด้วยกระบวนใช้ความรุนแรง ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียประโยชน์สองฝ่ายต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้ นั่นคือ มนุษย์ เพราะมนุษย์เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือความทุกข์บางกลุ่มจะใช้ความรุนแรง จะย่ำไปสู่การสูญเสียความรัก ความสุข โอกาส สุขภาพ เวลา และสูญเสียชีวิต



จึงต้องเรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหาในแนวพระพุทธศาสนา  ทุกชีวิตย่อมเจอความทุกข์หรือปัญหา เมื่อเจอปัญหาเราจะใช้วิธีการสะเดาะเคราะห์หรือคิดเชิงวิเคราะห์ในการแก้ปัญหานั้น ซึ่งพื้นฐานคนไทยมักจะใช้ฐานความเชื่อมากกว่าฐานความรู้หรือปัญญาในการไตร่ตรองเรื่องราวอย่างเป็นระบบ สิ่งหนึ่งที่บล็อคสติปัญญาคือ คำว่า " ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ " ทำให้เราไม่กล้าคิดวิเคราะห์ เพราะจะเป็นการลบหลู่ แต่คนใช้ปัญญา จะใช้คำว่า "ไม่รู้ต้องศึกษา" ศึกษาด้วยการคิดวิเคราะห์นั่นเอง




การก้าวเดินไปข้างหน้า มันไม่ได้อยู่ที่เท้า แต่มันอยู่ที่หัวใจที่เข้มแข็ง เราจึงต้องเยียวยาหัวใจของตนเอง จงฝึกที่จะหัวเราะให้กับชีวิตของเรา แม้จะเป็นเรื่องที่ผิดหวัง ไม่มีคำว่า " ทำไม่ได้ "ในพจนานุกรมสำหรับคนที่ล้มเหลว แต่ไม่เคยล้มเลิก เพราะการเดินตามความฝันของตนเอง มันอาจจะเหนื่อย แต่มันก็เหนื่อยน้อยกว่าการรับใช้ความฝันของคนอื่น คนเราเริ่มจากศูนย์ก็สำเร็จได้ ด้วยการสู้เองสร้างเอง จากคนที่ไม่มีอะไร ทำให้มีอะไร ด้วยการดึงศักยภาพด้านบวกของตนเองออกมาใช้อย่างเต็มที่ มีคำกล่าวว่า " ล้มก็ล้มคนเดียวสิ คนอื่นต้องล้มด้วยหรือ ตายก็ตายคนเดียวสิ คนอื่นต้องตายด้วยหรือ เข้มแข็งสิ ชีวิตต้องสู้ต่อไป "เรียนรู้จากชีวิตของบุคคลระดับโลก บางคนบอกว่าตนเองไม่เหลืออะไรแล้ว ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตเราเกิดมาก็ไม่มีอะไรมาเลย มีขนาดนี้ถือว่าสุดยอดแล้ว




"ดังนั้น มนุษย์มีศักยภาพทำได้หลายอย่าง แต่เราทำหลายๆอย่างพร้อมกันไม่ได้ " เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง ปล่อยวางทีละเรื่อง " ถึงเวลาเยียวยาหัวใจของเราเองด้วยความรัก มีคำกล่าวว่า " ในสภาวะจิตหนึ่งทุกคนสามารถฆ่าคนอื่น และฆ่าตนเองได้ " ซึ่งหมายถึง จิตใจนั้นมีความสำคัญมาก จึงควรได้รับการเยียวยาและการบำบัดความรู้สึกด้วยความเข้าอกเข้าใจ ใครที่สามารถหัวเราะเรื่องคนอื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่ "ถ้าใครที่สามารถหัวเราะเรื่องของตนเองได้ นับว่าสุดยอดที่สุด" แสดงถึงสุขภาพจิตดี มองปัญหาแค่บททดสอบเท่านั้นเอง" พระปราโมทย์ กล่าวและว่า



ผู้ชายคนหนึ่งที่มีแรงบันดาลใจเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ด้านดิจิตัลเกิดจากความหงุดหงิดมากจนต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน คือการที่โทรศัพท์รุ่นเก่ามีปุ่มกดเยอะมากเกินไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของการคิดค้น iPhone โทรศัพท์ไร้ปุ่มรุ่นแรกของโลกจนพัฒนามาเป็นโลกแห่งเทคโนโลยีอันทันสมัย เขาชื่อว่าสติฟ จ็อบส์ นั่นเอง ด้วยการใช้หลัก ๓ H to Success คือ Heart = I dream ความฝัน Head= Idea ความคิดสร้างสรรค์ Hand=I do ความขยันลงมือทำ จึงต้องให้นวัตกรรมสำเร็จทำให้โลกต้องจดจำ เพราะอุปสรรคใดๆ ไม่ทำให้เราตายสุดท้ายมันจะทำให้เราโตและยิ่งใหญ่ ซึ่ง "ขนาดของปัญหาจะเพิ่มขึ้นตามขนาดความสำเร็จของเราเสมอ" ระดับยิ่งสูงยิ่งเจอมารตัวใหญ่ เพราะชีวิตมนุษย์ไม่มีวันอยู่อย่างไร้ปัญหา เพราะ " ปัญหาคือนามสกุลของชีวิต " จงคิดวิเคราะห์แบบมีสติและโยนิโสมนสิการพร้อมยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า ด้วยคำว่าอย่าเพิ่งเบื่อ ซึ่งหมายถึง ต้องคิดวิเคราะห์ ต้องลงมือปฏิบัติ หรือวิจัยก่อนจะวิจารณ์



พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า " ปัญหาเกิดที่ไหน ต้องให้ปัญหานั้นดับที่นั่นก่อนที่จะไปที่อื่น"แสดงว่าพระองค์ไม่หนีปัญหาแต่จะคิดวิเคราะห์พิจารณาในการแก้ปัญหาด้วยสติ แก้ปัญหาด้วยพุทธสันติวิธี แม้แต่ญาติของพระองค์ทะเลาะกันเรื่องน้ำพระองค์ก็ทรงสอนให้คิดวิเคราะห์ด้วยการตรัสว่า " เลือดกับน้ำ " จะเลือกอะไร เป็นการสอนให้คิดวิเคราะห์จนกลับมามีสติ สติจึงเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา สติจึงเป็นวาระแห่งชีวิต จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาจะสอนให้ตระหนักรู้ว่าก่อนที่เราตัดสินอะไร เราควรศึกษาให้ดีอย่างมีสติ ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยสติปัญญาขั้นสูงในการสื่อสารโดยเฉพาะปัจจุบันเราเห็นการสื่อสารทำร้ายกันมากมาย ในยุค 4.0 จึงต้อง " รู้ทันเทคโนโลยี บริโภคเทคโนโลยีเป็นนาย ลงทุนในตัวเอง และรับผิดชอบต่อสังคมและเพื่อนมนุษย์ "จะสื่อสารอะไรออกไปจึงต้องมีสติวิเคราะห์ให้ดี อย่าไปทำร้ายใครเพราะโลกใบนี้ไม่มีใครควรแก่การเกลียดชังเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความแตกต่างแนวคิดใน The Republic ของ Plato และ Republic ทรัมป์

การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างแนวคิดของ The Republic และแนวคิดการปฏิบัติของทรัมป์ผ่านกรอบแนวคิดวิพากษ์และทฤษฎีของเจสัน สแตนลี่ย์ ทำให้เราเห็...