บทคัดย่อ
กรณี "สีกากอล์ฟ" ที่เกี่ยวโยงกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระภิกษุในประเทศไทย กลายเป็นประเด็นสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการทบทวนปัญหาเชิงโครงสร้างในคณะสงฆ์ไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บทความนี้มุ่งวิเคราะห์บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเสนอแนวทางเชิงนโยบายในการปฏิรูปการกำกับดูแลคณะสงฆ์ โดยเฉพาะในมิติของการบริหารศาสนสมบัติ การคุ้มครองพระภิกษุผู้ประพฤติดี การจัดการพระผู้ประพฤติผิด และการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อวิกฤตศรัทธาได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
1. บทนำ
ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาเถรวาท จำเป็นต้องรักษาความมั่นคงของสถาบันสงฆ์ไว้ให้เป็นที่พึ่งของประชาชน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ "สีกากอล์ฟ" ได้เผยให้เห็นถึงช่องโหว่ทางกฎหมาย การกำกับดูแล และโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ไทย ก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในหมู่พุทธศาสนิกชนในวงกว้าง จึงจำเป็นต้องมีการถอดบทเรียนและเสนอทางออกเชิงระบบ
2. ปัญหาที่ปรากฏในกรณี “สีกากอล์ฟ”
เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาหลัก 3 ประการ ได้แก่:
การขาดกลไกกำกับดูแลพระภิกษุผู้ประพฤติมิชอบ – ปัจจุบัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่มีอำนาจโดยตรงในการดำเนินการกับพระที่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัย หากไม่มีความร่วมมือจากมหาเถรสมาคม ส่งผลให้บางกรณีไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที
ช่องว่างทางกฎหมาย – กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองพระพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่ครอบคลุมพฤติการณ์บางประการ เช่น การปกปิดข้อมูล หรือพฤติกรรมของสตรีที่เข้ามาแทรกแซงกิจของสงฆ์อย่างไม่เหมาะสม
การบริหารศาสนสมบัติอย่างไม่มีมาตรฐานกลาง – หลายวัดขาดระบบบริหารจัดการทรัพย์สินที่โปร่งใส ซึ่งอาจนำไปสู่การทุจริตหรือใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์
3. ข้อเสนอเชิงนโยบายจากฝ่ายรัฐบาล
นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เสนอแนวทางแก้ไขในหลายมิติ ได้แก่:
การเพิ่มมาตรการดูแลศาสนสมบัติ เช่น การจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" โดยอาจใช้กลไกรัฐ เช่น ธนาคารของรัฐ แทนการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ เพื่อให้มีระบบตรวจสอบการใช้เงินในวัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อให้สามารถจัดการกับผู้กระทำผิดทั้งในส่วนของพระภิกษุและบุคคลภายนอกได้ชัดเจนขึ้น และมีบทลงโทษในบางกรณีถึงระดับอาญา
การคุ้มครองพระผู้ประพฤติดี โดยจัดระบบร้องเรียนที่ไม่ทำลายเกียรติของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
การปรับโครงสร้างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้สามารถทำงานเชิงรุก และมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางศาสนาและการบริหารร่วมพัฒนาองค์กร
4. วิเคราะห์เชิงโครงสร้าง: อุปสรรคและโอกาส
การปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยไม่ใช่เพียงแค่การออกกฎหมายหรือปรับโครงสร้าง แต่ต้องมองถึง "โครงสร้างอำนาจ" และ "วัฒนธรรมองค์กร" ที่ฝังรากอยู่ในวงการสงฆ์ไทยด้วย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับภาครัฐ, บทบาทของมหาเถรสมาคม และช่องทางในการตรวจสอบถ่วงดุลภายใน
การนำธนาคารของรัฐมาช่วยบริหารศาสนสมบัติ เป็นแนวทางที่สามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ติดข้อจำกัดของการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ขณะเดียวกัน การปรับปรุงกฎหมายควรมีการรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนและนักวิชาการด้านพุทธศาสนา เพื่อไม่ให้กลายเป็นการใช้อำนาจโดยไม่สมดุล
5. ข้อเสนอเชิงระบบเพื่ออนาคต
เพื่อให้การปฏิรูปมีความยั่งยืน ควรดำเนินการควบคู่กันทั้ง 4 ด้านต่อไปนี้:
โครงสร้างกฎหมาย – แก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ครอบคลุม และสามารถบังคับใช้ได้จริง
โครงสร้างการบริหาร – ปรับองค์กรสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้คล่องตัวและมีความเป็นกลาง
โครงสร้างศีลธรรม – ส่งเสริมการเรียนรู้พระธรรมวินัยในวงสงฆ์อย่างเข้มข้น และเปิดช่องทางให้ญาติโยมมีส่วนร่วมตรวจสอบ
โครงสร้างสื่อสารสาธารณะ – ใช้สื่อในการฟื้นฟูศรัทธา และสร้างความเข้าใจต่อบทบาทของสงฆ์ในสังคมยุคใหม่
6. บทสรุป
กรณี “สีกากอล์ฟ” คือสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ถึงความเปราะบางของโครงสร้างคณะสงฆ์ไทย การถอดบทเรียนครั้งนี้จึงไม่ควรหยุดเพียงแค่การจัดการปัญหารายกรณี แต่ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ยึดหลักธรรมาภิบาล ยึดธรรมวินัย และยึดใจพุทธศาสนิกชนเป็นศูนย์กลาง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น