วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

แนวทางการรีเซ็ตการเมืองใหม่ตามแนวคิดของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

 


บทนำ

สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน (กันยายน 2568) กำลังเผชิญภาวะ “ชะงักงัน” อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองหลักและแรงกดดันจากสังคมที่เรียกร้องให้คืนอำนาจสู่ประชาชน ผ่านการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่ ตัวอย่างล่าสุดคือท่าทีของพรรคประชาชนที่ออกมาประกาศชัดเจนว่า หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ยุบสภา พรรคประชาชนพร้อมผลักดันให้มีการตัดสินใจทางการเมืองที่เด็ดขาด เพื่อเปิดทางให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดอนาคตประเทศอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี คำถามสำคัญคือ การยุบสภาหรือการจัดการเลือกตั้งใหม่เพียงอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ต่อการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมายาวนานของการเมืองไทย? ประเด็นนี้ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เสนอแนวคิด “รีเซ็ตการเมืองใหม่” ผ่านกรอบคิด “สัญญาประชาคมชุดใหม่” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจาก “ไทยป่วย” สู่ “ไทยเปลี่ยน”

1. ความแตกต่างระหว่าง “เกมการเมือง” และ “ฉันทามติประชาชน”

ดร.สุวิทย์ชี้ให้เห็นความแตกต่างสำคัญระหว่างการเดินเกมของพรรคการเมือง ที่มุ่งเน้นการช่วงชิงอำนาจผ่านการตั้งรัฐบาลใหม่ การยุบสภา หรือการแก้รัฐธรรมนูญ กับ “ฉันทามติของประชาชน” ซึ่งคือความต้องการร่วมกันของสังคมที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน ปัญหาของไทยจึงไม่ใช่เพียงกติกาทางการเมือง แต่เป็นวิธีคิด วิธีการอยู่ร่วมกัน และมายาคติทางสังคมที่หยั่งรากลึก

2. แนวคิด “สัญญาประชาคมชุดใหม่”

ดร.สุวิทย์เสนอว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “สัญญาประชาคมชุดใหม่” ซึ่งจะเป็นข้อตกลงร่วมของสังคมเพื่อกำหนด

  • คุณค่าร่วม (Common Value) เช่น ความเป็นพลเมือง ความยุติธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

  • เจตจำนงร่วม (Common Goals) เช่น การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างสังคมที่เข้มแข็ง

  • พื้นที่ร่วม (Common Ground) ที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมองเห็นจุดร่วมแม้จะมีความแตกต่าง

“สัญญาประชาคม” นี้จะทำหน้าที่เป็นฐานทางสังคมสำหรับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งไม่ใช่เพียงเอกสารทางเทคนิค แต่คือ “กติกาแห่งความหวังร่วม”

3. Roadmap การรีเซ็ตการเมืองใหม่

แนวคิดของดร.สุวิทย์สามารถสรุปได้เป็น 5 ระยะ ดังนี้

  1. สร้างฐานความเข้าใจร่วม – เปิดพื้นที่สนทนาสังคมที่ปลอดภัย สื่อสารภาพใหญ่และทิศทางประเทศ สร้างวาระแห่งชาติที่ไม่ผูกติดกับฝ่ายการเมืองใด

  2. กำหนดคุณค่าร่วม/เจตจำนงร่วม/พื้นที่ร่วม – ระบุสิ่งที่ต้องรักษาและสิ่งที่ต้องเปลี่ยน ตกผลึกคุณค่าหลัก เช่น ความเป็นพลเมือง ความมั่นคงเชื่อมโยงความสุขประชาชน

  3. ออกแบบสัญญาประชาคมชุดใหม่ – แปลงคุณค่าร่วมเป็นวาระเชิงปฏิบัติที่นำไปสู่การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และนโยบายสาธารณะ

  4. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่บนฐานสัญญาประชาคม – ใช้สัญญาประชาคมเป็นพิมพ์เขียว ปรับโครงสร้างอำนาจรัฐ เติมเต็มอำนาจประชาชน

  5. ขับเคลื่อนและประเมินอย่างต่อเนื่อง – มีกลไกติดตามอิสระ ประเมินความสอดคล้องกับฉันทามติ ปรับปรุงได้โดยไม่ทำลายคุณค่าร่วม

4. วิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ

เมื่อเปรียบเทียบท่าทีของพรรคประชาชนที่เสนอ “ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่” กับแนวคิดของดร.สุวิทย์ จะเห็นได้ว่ามีจุดร่วมและจุดต่างที่สำคัญ

  • จุดร่วม: ทั้งสองแนวทางยืนยันการคืนอำนาจให้ประชาชน และเห็นว่ากติกาปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตได้

  • จุดต่าง: พรรคประชาชนเน้นที่กระบวนการทางการเมืองเชิงโครงสร้าง เช่น ยุบสภา เลือกตั้ง และประชามติ ขณะที่ดร.สุวิทย์เน้นการสร้างฉันทามติทางสังคมและสัญญาประชาคมเป็นฐานรากก่อน จึงค่อยไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่

ดังนั้น การยุบสภาอาจเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการรีเซ็ตการเมือง แต่ไม่ใช่ “คำตอบสุดท้าย” หากขาดการสร้างสัญญาประชาคมร่วม ประเทศอาจกลับเข้าสู่วงจรความขัดแย้งซ้ำเดิม

5. ข้อสังเกตเชิงวิชาการ

แนวคิด “รีเซ็ตการเมืองใหม่” ของดร.สุวิทย์มีความใกล้เคียงกับทฤษฎี Social Contract ของ Jean-Jacques Rousseau และแนวทาง Deliberative Democracy ที่เน้นการสนทนาและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างกติกาใหม่ การปฏิรูปในเชิงโครงสร้างจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม และรู้สึกว่าเป็น “เจ้าของร่วม” ของระบบใหม่

บทสรุป

การเมืองไทยในปี 2568 อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่เป็นเพียง “มาตรการชั่วคราว” ที่ตอบสนองแรงกดดันทางการเมือง แต่การแก้ปัญหาเชิงรากฐานจำเป็นต้องอาศัยการรีเซ็ตการเมืองใหม่บนฐานของ “สัญญาประชาคมชุดใหม่” ตามแนวคิดของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

กล่าวได้ว่า หากพรรคการเมืองสามารถผสานข้อเรียกร้องเชิงการเมืองเข้ากับการสร้างฉันทามติทางสังคม ก็จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเมืองภาคประชาชน” ที่มุ่งกำหนดอนาคตร่วมของประเทศ มากกว่าการช่วงชิงอำนาจในระบบการเมืองแบบเก่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...