วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

จ่าแซม...หัวใจโพธิสัตว์?



เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2561 เฟซบุ๊ก Naga King โพสต์ข้อความว่า จ่าแซม...หัวใจโพธิสัตว์ ?

@ ดั่งที่มีคนพูดกันต่อๆมาว่า สถานการณ์สร้างวีระบุรุษ นั้นถือว่าเป็นความจริงอยู่ไม่น้อย เมื่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์เด็กติดถ้ำที่ถ้ำหลวงภูนางนอน จ.เชียงราย จำนวน ๑๓ ชีวิตในนาของทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี่

โดยในสถานการณ์นี้มีวีระบุรุษเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะของสถานการณ์หลายท่านหรือหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะหากพูดถึงหน่วยงานราชการก็จะเป็นใครไม่ได้นอกจากท่านอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย คือนายนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ที่อยู่บัญชาการในพื้นที่ตลอดเวลาตั้งแต่แรกจนถึงวันที่ทีมหมูป่าออกมาจากจากถ้ำหลวง

นอกจากนั้นก็มีทหารจากหน่วยซีล (SEAL) ของกองทัพเรือที่เข้ามาทำหน้าที่หลักในการค้นหามาตั้งแต่ต้น หรือกลุ่มจิตอาสาจากจังหวัดต่างๆที่มาเพื่อช่วยเหลืองานนี้โดยเฉพาะ หรือไม่ว่าจะเป็นทีมงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินับจากท่าน ผบ.ตร.ท่าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นต้นมา

หรือหน่วยงานเอกชนคือเจ้าของเครื่องสูบน้ำ หน่วยกู้ภัยของปอเต๊กตึ้ง หรือทีมงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทีมงานเก็บนกรังนกจากภาคใต้ หรือสองสามีภรรยาจาก จ.สุพรรณบุรีที่มาทำอาหารเลี้ยงชาวบ้านและเจ้าหน้าที่

หรือนักดำน้ำจากประเทศอังกฤษ ฟินแลนด์ หรือทหารจากกองทัพสหรัฐ และประเทศอื่นๆที่ได้เข้ามาช่วยเหลือในการนำเด็กทั้ง ๑๓ ชีวิตออกมาจากถ้ำหลวง

@ ผมว่าในการทำงานเพื่อการกู้ชีพกู้ภัยในครั้งนี้คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า จะมีการสูญเสียเกิดขึ้นด้วยว่าทุกคนกลัวการสูญเสียนั้นอาจจะเกิดกับเด็กๆทั้ง ๑๓ ชีวิตมากกว่าที่จะเป็นความสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือบุคคลากรที่เข้าไปช่วยเหลือและกู้ภัยในครั้งนี้

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อก่อนจะถึงวันที่พบเด็กๆทั้ง ๑๓ คน เราทุกคนก็ได้รับข่างร้ายว่า “ทีมหน่วยรบพิเศษ(SEAL)” ของกองทัพเรือนั้นจะต้องสูญสียอดีตทหารหน่วยซีลไปในระหว่างปฏิบัติหน้าที่

ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ “จ่าแซม”หรือ จ.อ.สมาน กุนัน นักทำลายใต้น้ำจู่โจมนอกราชการ เป็น นทต.จู่โจม รุ่น ๓๐ อายุ ๓๘ ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุฝ่าย รปภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย ซึ่งได้เสียชีวิตขณะดำน้ำออกจากถํ้า หลังลำเลียงขวดออกซิเจนไปติดตั้งแล้วหมดสติก่อนเสียชีวิต

จากการสอบถามทราบว่า จ.อ.สมาน รับภารกิจเมื่อวันที่ ๕ ก.ค.ที่ผ่านมา ให้ลำเลียงขวดอากาศจากโถงสามไปวางตามจุดต่างๆ บริเวณสามแยก โดยเริ่มดำน้ำในถ้ำตั้งแต่เมื่อเวลา ๒๐.๓๐ น. วันที่ ๕ ก.ค. หลังเสร็จภารกิจได้ดำน้ำกลับแต่หมดสติในน้ำ ระหว่างนั้นคู่ดำน้ำที่ไปด้วยกันได้ปฐมพยาบาล (CPR)

แต่ไม่ได้สติ รีบนำกลับมายังโถงสาม เพื่อปฐมพยาบาลอีกครั้ง แต่ไม่ได้ผลและเสียชีวิตเวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. วันที่ ๖ ก.ค. จึงนำศพออกมาหน้าถ้ำและ นำส่ง รพ.ค่ายพญาเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย

@ นางวลีพร กุนัน ภรรยาของ จ่าเอกสมาน กุนัน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายนที่ผ่านมา จ่าแซมได้บอกว่าจะขอนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปส่งมอบให้ทีมช่วยเหลือโคชและเด็กๆ ทีมหมูป่า ที่ติดในถ้ำหลวง จ.เชียงราย

และพอไปถึงก็ได้ขออยู่ช่วยเหลือทีมหมูป่าต่อ ซึ่งนางวลีพร ได้ขอให้จ่าแซมดูแลตัวเองดีๆ และอย่าดำน้ำ เพราะปลดจากหน่วยซีลมานานแล้ว แต่ด้วยอุปนิสัยของจ่าแซมที่ชอบเป็นผู้อาสาช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

และทำอย่างเต็มที่ทุกครั้งจึงได้ร่วมปฏิบัติภารกิจดำน้ำ ซึ่งภรรยาจ่าแซมเผยว่าหากจ่าแซมตั้งใจจะทำอะไรแล้วโดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นแม้จะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟังเพราะจ่าแซมเป็นคนที่มีจิตอาสาสูงชอบช่วยเหลือคน

นอกจากนั้น ในกรณีการเสียชีวิตของจ่าแซมนี้ อิเกร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูชื่อดังทีมปอร์โตในลีกโปรตุเกส ซึ่งเป็นอดีตนายทวาร เรอัล มาดริด และทีมชาติสเปน ชุดแชมป์โลกปี ๒๐๑๐

ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพ “จ่าแซม” จ.อ.สมาน กุนัน นักทำลายใต้น้ำจู่โจมนอกราชการ ที่เสียชีวิตจากภารกิจช่วยชีวิตนักฟุตบอลและโค้ช ๑๓ ชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย

โดยกาซิยาสได้โพสต์ข้อความว่า สมาน กุนัน คือฮีโร่ตัวจริง เขาเสียชีวิตหลังจากทำภารกิจวางขวดอากาศภายในถ้ำหลวง เพื่อช่วยเหลือเด็ก ขอให้ไปสู่สุคติ

วิถีจ่าแซม คือ วิถีแห่งพระโพธิสัตว์ ?

@ จากการกล่าวมาทั้งหมด ผมว่าจ่าแซมนี่คือ “โมเดล”ของความเป็นฮีโร่ หรือวีระบุรุษอย่างแท้จริงในสถานการณ์นี้เนื่องจากหากมองในมุมของพระพุทธศาสนาแล้วจะพบว่าการกระทำของจ่าแซมนั้นเป็น “การสร้างบารมีตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์”อย่างแท้จริง

โดยลักษณะของการสร้างบารมีหรือการกระทำของพระโพธิสัตว์นั้นจะต้องมีลักษณะสำคัญ ๕ ประการก็คือ

(๑) ให้ในสิ่งที่บุคคลให้ได้ยาก คือการให้ชีวิตให้ความสุขส่วนตัวหรือให้เลือดให้เนื้อซึ่งถือว่าเป็นการให้ที่ทุกคนหรือคนธรรมดาสามัญทั่วไปให้ได้ยาก

(๒) ทำในสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก คือ การกระทำที่มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงตนเองเป็นสำคัญนั้น ยากที่จะหาผู้ใดเสมือนได้

(๓) ทนในสิ่งที่บุคคลทนได้ยาก คือ การอดทนต่อความยากลำบาก ทนเจ็บปวดทางกาย ทางจิตใจทนต่อความทุกข์ยากหรือความหิวกระหายที่คนอื่นทนได้ยาก

(๔) ชนะในสิ่งที่บุคคลชนะได้ยาก คือ ชนะใจตนเองคือการกระทำทุกอย่างนั้นจะต้องมีปัญหาอุปสรรคนานัปประการ แต่ก็ไม่คิดหวั่นไหว ต่อคำนินทาและคำสรรเสริญ ดุจดั่งหินผาที่แข็งแกร่งและต่อสู้ต่ออุปสรรคปัญหาเหล่านั้นไปให้ได้

(๕) ละในสิ่งที่บุคคลละได้ยาก ละความสุขส่วนตัว ละความเห็นแก่ตัว ละความตระหนี่ที่จะพึงเกิดแก่ตนเองหรือความเห็นแก่ตัวที่จะต้องอยู่กับลูกกับเมียหรือครอบครัวออกมาช่วยเหลือผู้อื่น
(อุตฺตรเมธีภิกขุ: http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent)

@ แม้ชีวิตจ่าแซมในการที่ได้ตัดสินใจไปช่วยทีมหมูป่าอะคาเดมี่ที่ถ้ำหลวงก็ไม่แตกต่างกันกับวิถีของพระโพธิสัตว์ คือ จ่าแซม

(๑) ให้ในสิ่งที่บุคคลให้ได้ยาก คือ ให้ชีวิตกับการเป็น “คนที่ทำเพื่อผู้อื่น”โดยไม่คิดถึงชีวิตของตนเอง ผมว่าแค่คำๆนี้ก็ซึ้งสุดใจแล้วเพราะคนที่กล้าให้แม้กระทั่งชีวิตตนเองเป็นทานเพื่อต่อชีวิตคนอื่นนั้นนับว่าหาได้ยากจริงๆ การสละชีวิตที่ถ้ำหลวงเพื่อแลกกับชีวิตเด็กๆนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่เหนือมนุษย์เลยทีเดียว

(๒) ทำในสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก คือ แม้ว่าจะออกจากราชการมาทำงานที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว เมื่อหน่วยงาน เพื่อนๆมีงานก็ยังให้ความเสียสละเห็นชีวิตเด็กๆมาก่อนความสุขส่วนตัวหรือหน้าที่การงานตัดสินใจออกจากบ้านเอาอุปกรณ์มาส่งและอยู่ที่หน้างานตลอด นี่เขาเรียกว่า “โคตรคน” ที่ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก

(๓) ทนในสิ่งที่บุคคลทนได้ยาก ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความทนของจ่าแซม ที่ทนลำบากตรากตรำอยู่ในพื้นที่นอนในถ้ำทำงานกับเพื่อนๆซีลโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยแม้ภรรยาจะบอกว่ากลับเถอะพี่ แต่ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า “พี่ขออยู่ช่วยเด็กๆสักพักก่อนนะ” คือเอาจิตใจไปใส่ไว้ที่เด็กๆทั้ง ๑๓ คน โดยไม่ได้คิดถึงชีวิตความสบายหรือสุขภาพของตนเองเลย

(๔) ชนะในสิ่งที่บุคคลชนะได้ยาก คือ จ่าแซมถูกฝึกมาเพื่อการเป็นคนสู้คน ช่วยเหลือคนในทุกอณูของตัวจ่าแซมจึงเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อสู้และการชนะ โดยเฉพาะการชนะใจตัวเอง ชนะความยากลำบากที่มีชนอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดขึ้น

แม้วาระสุดท้ายก็ยังบ่นถึงความห่วงใยในตัวน้องๆทั้ง ๑๓ คน แสดงให้เห็นว่า "จ่าแซม" นั้น ชนะสิ่งที่คนทั่วไปชนะได้ยากก็คือการเอาชนะใจตัวเอง ชนะอุปสรรคที่เกิดขึ้นทุกอย่าง หากจ่าแซมไม่เอาชนะกิเลสที่เกิดในจิตใจตัวเองแล้วจ่าแซมคงไม่มีโอกาสได้ไปที่ถ้ำหลวงแน่

(๕) ละในสิ่งที่บุคคลละได้ยาก จ่าแซมที่ผมฟังจากปากพ่อแม่และภรรยาของจ่าที่พูดถึงจ่าว่า ตลอดชีวิตของจ่า จ่าไม่เคยคิดถึงตัวเอง จ่ามีแต่ความเสียสละและอุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่นและสังคมตลอดมา

มีคำพูดๆหนึ่งของภรรยาของจ่าว่า “หนูรู้ดีค่ะว่าพี่แซมหากว่าเป็นความตั้งใจของเขาแล้วไม่มีใครห้ามได้” คือหากว่าจ่าแซมตัดสินใจละความสุขของตนเพื่องานใดงานหนึ่งแล้วจ่าไม่เคยมีคำว่าถอยหลัง

ซึ่งผมถือว่านี่เป็นการแสดงออกถึงการ ละในสิ่งที่คนอื่นล่ะได้ยาก เป็นการละที่มีเฉพาะบรรดาพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่ทำได้ คือการละความสุขส่วนตัวเพื่อสร้างความสุขให้กับคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ

@ เราจะเดินตามจ่าแซมไปได้อย่างไร ?

ทุกบทความที่ผมเขียนผมมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะตั้งคำถามกับผู้อ่านตลอดเวลาว่า เมื่อเราพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว สิ่งที่เราท่านทั้งหลายกำลังพูดถึงนั้นเราจะทำตามหรือน้อมนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างไร ผมว่ามันจะเป็นการดีกว่า

(๑) ตำหนิติฉินนินทากันเฉยๆ หรือ

(๒) ใส่ร้ายทำลายกันโดยไม่สนใจว่าผลที่เกิดมามันจะเป็นอย่างไรบ้าง

เพราะการทำเช่นนั้นผมว่ามันไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไหร่ มีเฉพาะแต่การทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและทะเลาะเบาะแว้งกันเท่านั้นเอง หลายคนคงไม่ชอบผมเองก็ไม่ค่อยชอบ แต่ถามว่าต้องตำหนิหรือเสนอแนะสิ่งเหล่านั้นไหม

หากว่ามันเป็นความผิดผมว่าก็ควรที่จะต้องว่ากันตำหนิกันแต่การตำหนิที่ดีจะต้องเสนอแนะแนวทางออกให้คนที่เราตำหนิด้วย หากเป็นเรื่องที่ไม่ใช่การตำหนิแล้วผมว่าควรเอาเรื่องนั้นมาเป็นกรอบในการชี้ชวนให้ท่านทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติต่อ ผมว่าน่าจะเป็นทางออกและเป็นเรื่องที่ดีที่เราทุกคนในสังคมควรทำนะครับ

@ กับคำถามที่ว่า “เราจะเดินตามจ่าแซมไปได้อย่างไร ?” ผมว่าเป็นคำถามที่สำคัญที่เราจะต้องนำมาคิดและนำมาปฏิบัติว่าหากว่าสิ่งที่จ่าแซมทำไว้นั้นด้วยการสละชีพเพื่อการช่วยเหลือเด็กๆจนเป็นที่ชื่นชมกันไปทั่วโลกนี้และวิถีที่จ่าแซมได้ทำมาตลอดนั้น

เราจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร ? และเราจะนำเอาแนวทางการดำเนินชีวิตของจ่าแซมนี้ไปสอนคนอื่นๆได้อย่างไร ?ผมว่าเรื่องราวแบบนี้ต่างหากที่เราน่าจะทำ

@ ต่อคำถามข้อที่หนึ่งว่า เราจะสามารถนำเอาวิถีแห่งโพธิสัตว์ของจ่าแซมนี้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร ? ผมว่าคนในสังคมไทยเราจะต้องหวนกลับมาคิดกันว่าทุกวันนี้คนในสังคมบ้านเราได้ประพฤติตนเป็นคนที่

(๑) ให้ในสิ่งที่บุคคลให้ได้ยาก

(๒) ทำในสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก

(๓) ทนในสิ่งที่บุคคลทนได้ยาก

(๔) ชนะในสิ่งที่บุคคลชนะได้ยาก

(๕) ละในสิ่งที่บุคคลละได้ยาก กันบ้างหรือยัง ?

ผมว่ายังนะ เพราะหาเราทำกันทั้ง ๕ ข้อแล้วบ้านเราจะไม่มีเสื้อเหลืองเสื้อแดงเลยนะครับผมว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาจะไม่มีการออกมาด่าดรราม่ากันแบบนี้หากคนในสังคมเรารู้จักวิถีแห่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ข้อนี้ คือ ถ้าคนในสังคมบ้านเรารู้จักการ

(๑) ให้ในสิ่งที่บุคคลให้ได้ยาก คือ ให้ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมชาติ ให้อภัยและให้โอกาสในการอยู่ร่วมกัน

(๒) ทำในสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก คือ ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ทำเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยที่ไม่เป็นเหตุ ตนเองเดือดร้อน คนอื่นเดือดร้อน และสังคมเดือดร้อน

(๓) ทนในสิ่งที่บุคคลทนได้ยาก คือ ทนต่ออารมณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือกระทบกระทั่งกันในสังคม ทนที่จะให้ความรู้สึกขัดแย้งมันได้ผ่านไปสู่จุดที่คลี่คลาย

(๔) ชนะในสิ่งที่บุคคลชนะได้ยาก คือ การชนะใจตัวเอง ชนะอุปสรรคที่เมาทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและกัน ชนะความยากลำบากของชาติที่จะต้องก้าวไปด้วยกัน ผมว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นสุดๆในช่วงนี้

(๕) ละในสิ่งที่บุคคลละได้ยาก คือ การละความสุขส่วนตัวเพื่อทำความสุขให้เกิดกับสังคม ละความเห็นแก่ได้ความเห็นแก่ตัวและละวางอคติ ๔ ประการ คือ ลำเอียงเพราะรัก เพราะหลง เพราะกลัว เพราะโกรธ ระหว่างกันในสังคม

@ ทั้ง ๕ ประการนี้ผมว่าเราที่อาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมนี้จะต้องทำ และนำมาปฏิบัติ หากว่าเราสามารถที่จะปฏิบัติได้ตามวิถีแห่งพระโพธิสัตว์ที่จ่าแซมได้ทำมาแล้วนี้

ผมว่าสังคมเราจะเป็นสุข สังคมเราจะมีแต่ความเห็นอกเห็นใจกันจะเป็นสังคมที่อุดมไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพและความเข้าใจกัน ทุกคนในสังคมก็จะมีแต่ความสุข

@ ต่อคำถามข้อที่สอง เราจะนำเอาแนวทางการดำเนินชีวิตของจ่าแซมนี้ไปสอนคนอื่นๆได้อย่างไร ?

@ ผมว่าวิถีแห่งพระโพธิสัตว์ที่จ่าแซมได้ทำมานี้ เราสามารถที่จะนำไปเป็นกรอบในการสอนอนุชนรุ่นหลังเราให้เขาเป็นคนที่รู้จักการให้ที่ดีคือให้ในสิ่งที่คนอื่นให้ยาก

รู้จักการทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก รู้จักการทนในสิ่งที่บุคคลทนได้ยาก รู้จักการความชนะในสิ่งที่บุคคลชนะได้ยาก รู้จักการละในสิ่งที่บุคคลละได้ยาก คือหากเราสามารถสอนเด็กๆบ้านเราให้รู้จักการกระทำทั้ง ๕ ประการนี้ได้

ผมว่านี่แหละคือโมเดลของการสร้างชาติหรือสร้างสังคมยุคใหม่ที่มุ่งให้คนในสังคมเป็นคนที่รู้จักการให้ รู้จักการทำ รู้จักการทน รู้จักความชนะ และรู้จักการละที่ถูกต้องเพราะการให้ การทำ การทน การชนะ

และการละที่สอนกันอย่างถูกต้องแล้วเราก็จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดกับเด็กๆบ้านเราสอนให้เขาเป็นคนที่รู้จัดคิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาเป็นได้อย่างแท้จริง

ผมว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราจะนำเอากรอบแนวคิดแบบพระโพธิสัตว์ที่จ่าแซมได้ทำมาหรือได้ปฏิบัติมานี้ไปสอนคนในสังคมหรือสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของเราได้..

เพราะหากเราปล่อยเรื่องราวของจ่าแซมให้ผ่านไปโดยไม่คิดไม่พูดหรือไม่ทำอะไรเลย..สิ่งที่จ่าแซมทำมาอาจจะเป็นได้เพียง..ตำนานที่ถูกลืมเท่านั้น...เรามาสร้างตำนานจ่าแซมให้มีชีวิตขึ้นมาดีกว่าไหมครับ...เพื่อที่จะทำให้จ่าแซมคือวีระบุรุษของคนไทยไปตลอดกาล

@ ขอสดุดีต่อคุณงามความดีที่จ่าแซมได้อุทิศและทุ่มเทมาทั้งชีวิต ขอบุญบารมีที่จ่าแซมได้ทำมาจงเป็นพลวปัจจัยและอุปนิสัยตามส่งให้จ่าแซมได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีคือสุคติภูมิ..ด้วยเทอญ

HOOYAH !

ขอบคุณมากครับ

Naga King

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ดร.มหานิยม" ร่วมกมธ.ศาสนาสภาฯลงพื้นที่เพชรบุรี ติดตามและช่วยวัดที่มีปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่วัดเขาย้อย ฉลุยทุกวัดที่ยื่นและรอ

เมื่อวันที่  16 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. ที่วัดเขาย้อยอำเภอเขาย้อยจังหวัดเพชรบุรี คณะกรรมาธิการศาสนานำโดยนายวีระพล  จิตสัมฤทธิ์ สสศรีสะเกษ...