วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เผยปม"สีจิ้นผิง"หนุนพุทธ "ไตรศาสนภาคี" พัฒนาชาติจีน



วันที่ 25 ก.ค.2561 เฟซบุ๊ก Sunthorn Utaithum โพสต์ความว่า  การปฏิวัติวัฒนธรรมจีน ความเสื่อมและการกลับฟื้นคืนมาของพระพุทธศาสนา
(The Chinese Cultural Revolution and the Fall and Rise of Buddhism.)

การปฏิวัติวัฒนธรรมของประเทศจีน (The Chinese Cultural Revolution) เป็นขบวนการปฏิวัติทางสังคมการเมือง (Sociopolitical revolution) ซึ่งเกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2509-2519 โดยเหมาเจ๋อตุง ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้ริเริ่มขับเคลื่อน เป้าหมายคือเพื่อบังคับใช้ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน โดยการมุ่งขจัดองค์ประกอบที่เป็นทุนนิยม ประเพณีศาสนา และวัฒนธรรม ให้หมดไปจากสังคมจีน เพื่อมุ่งไปสู่การปฏิรูปเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเต็มรูปแบบ

ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรมคือ โบราณสถานโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมของจีนมาตั้งแต่โบราณต้องถูกทำลายลงจนแทบหมดสิ้น เช่น โครงกระดูกมนุษย์โบราณ หลุมฝังศพ ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ หนังสือและตำรับตำรา เครื่องดนตรีโบราณ ศาสนสถาน พระราชวัง กำแพงเมืองจีน อนุสาวรีย์ของบุคคลที่ประกอบคุณงามความดี งานศิลปะต่างๆอันประมาณค่ามิได้ เป็นต้น เกิดความหวาดระแวงกันระหว่างคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน และชุมชน เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าใครจะเป็นผู้แจ้งให้ทางการรู้เกี่ยวกับการละเมิดกฎการปฏิวัติวัฒนธรรม

ในส่วนของพระพุทธศาสนา วัดวาอารามนับแสนแห่ง รวมถึงงานพุทธศิลป์หลายล้านชิ้นถูกเผาและทุบทำลายลง ภิกษุ ภิกษุณีสงฆ์ สามเณร และแม่ชี ถูกบังคับจับสึกเพื่อการใช้แรงงานในระบบคอมมูน หลายหมื่นรูปต้องบาดเจ็บล้มตายลงจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ และอีกหลายหมื่นรูปที่อพยพหนีตายเข้าสู่ธิเบต

ผลจากการปฏิวัติวัฒนธรรมในครั้งนั้น ทำให้ช่วง 42-52 ปีที่ผ่านมา การปกครองของจีนมีเสถียรภาพที่มั่นคง จนช่วงประมาณ 20-30 ปีที่ผ่านมานี้ ได้เกิดการปฏิรูปครั้งใหม่ตามนโยบายของประธานาธิบดีเติ้งเสี่ยวผิง ทำให้เศรษฐกิจจีนมีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด และคนจีนร่ำรวยขึ้นอย่างทันตา จนถึงขนาดเกิดคำกล่าวว่า

"ถ้าคุณไม่ได้มาเมืองจีนเพียงแค่ปีเดียว กลับมาใหม่คุณก็แทบจะจำสภาพบ้านเรือน และถนนหนทางไม่ได้อีกแล้ว"

คำพูดประโยคนี้ตอกย้ำถึงพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของประเทศจีนได้อย่างแท้จริง

แต่สิ่งที่ตรงข้ามกับความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด คนจีนกลับพบว่าตนเองไม่มีความสุขในทางจิตวิญญาณเลย คนสูงอายุเป็นจำนวนมากไม่ได้รับการเหลียวแล และถูกลูกหลานทอดทิ้งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่เคยเป็นครอบครัวใหญ่ถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบครอบครัวขยาย ทุกคนมุ่งแต่การหาเงินให้ได้มากที่สุด คนรุ่นใหม่สนุกสนานไปกับการใช้เงิน โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยการนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เล็งเห็นถึงปัญหา และตระหนักถึงความท้าทายใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นเหล่านี้ จึงสั่งระดมสมองและศึกษาจนพบว่า การไม่มีศาสนาเลย(Non-Religion) ไม่ได้ทำให้ระดับจิตใจของประชากรในโลกตะวันตกต่ำลง แต่สำหรับประเทศจีนและคนจีนแล้ว การไม่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว กลับทำให้สังคมจีนต้องเจอกับปัญหาเยอะแยะมากมาย กลายเป็นสังคมที่ขาดความยับยั้งชั่งใจและขาดความเอื้ออาทร บทสรุปที่ได้จึงคือ ประเทศจีนและคนจีนไม่เหมาะกับการที่จะเป็นรัฐแบบไร้ศาสนาอีกต่อไป

ศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาเก่าแก่ดั้งเดิมของจีนอย่างพระพุทธศาสนา ปรัชญาเต๋า และปรัชญาขงจื้อ(The Three Traditional Chinese Religions หรือ " ไตรศาสนภาคี") จึงถูกนำกลับมาศึกษาอีกครั้งเพื่อหาแก่นธรรมของคนยุคก่อนๆ แก่นธรรมที่เคยทำให้สังคมจีนอยู่กันมาอย่างร่มเย็นเป็นสุข เป็นธรรมชาติ มีวิถีชีวิตที่รู้จักการแบ่งปัน เอื้ออาทร เมตตาปราณี และดูแลซึ้งกันและกัน คอมมิวนิสต์จีนไม่ต้องการสังคมที่เป็นบัวแล้งน้ำอีกต่อไป เพราะได้เรียนรู้มาตลอด 52 ปีแล้วว่า แม้จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมาได้มากมายมหาศาลเพียงใด แต่ชีวิตประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ร่างกายต้องการความสะดวกสบายทางด้านวัตถุต่างๆ ฉันใด จิตใจก็ต้องการความสงบสุขร่มเย็น ฉันนั้น

ปัจจุบัน พระพุทธศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนและฟื้นฟูขนานใหญ่โดยรัฐบาลจีน ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ วัดและสำนักสงฆ์ที่เคยถูกทุบทำลายไปในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมได้รับการฟื้นฟูและบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ สถานะของพระพุทธศาสนาในประเทศจีนจึงถือว่ากลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง โดยได้รับการยอมรับและสนับสนุนมากกว่าศาสนาใดๆ ทั้งจากผู้นำของประเทศ พ่อค้าปัญญาชน รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ของจีน

คำถามสุดท้ายคือ ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ถึงไม่เลือกที่จะส่งเสริมศาสนาอื่นๆ อย่างศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ซึ่งหลายครั้งเอง กลับเลือกที่จะควบคุมและปราบปรามด้วยมาตรการและวิธีที่รุนแรงด้วยซ้ำ

เหตุผลหลักก็คือ เพราะสีจิ้นผิงมองว่า 2 ศาสนานี้เป็นศาสนาของคนต่างชาติ มีหลักความเชื่อที่นอกจากจะไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนแล้ว ยังขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ทั้งยังมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพและการปกครองของจีนเลยด้วยซ้ำ ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อและหลักปฏิบัติของไตรศาสนภาคี ที่มุ่งส่งเสริมค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม และการปกครองของจีนในทุกมิติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"สมเด็จชิน" เปิดสอบนักธรรมชั้นโท-เอก ชี้ชาวพุทธต้องเข้าถึง "3 ป." ให้สมบูรณ์ - แนะปรับรูปแบบให้เข้ากับยุค AI

  เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 เป็นวันแรกของการสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้น โท-เอก ประจำปีการศึกษา 2567 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมา...