วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2567

เพื่อไทยหนุน "แลนด์บริดจ์" สุดตัว หวังสร้างรายได้เข้าประเทศนับล้านล้านบาท แนะฝ่ายค้านร่วมกันหาโอกาสให้ประเทศ เหตุ ‘เวลามีมูลค่า’



เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กรรมการบริหารพรรค และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) ของรัฐบาลว่า เป็นหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ Southern Economic Corridor (SEC) ที่รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะสานต่อ  เพราะเล็งเห็นว่านอกจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ จะมีศักยภาพสูงจากท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งที่สะดวกต่อการส่งออก  ทั้งฝั่งอ่าวไทยที่ จ.ชุมพร และฝั่งอันดามันที่ จ.ระนองแล้ว การมีเส้นทางขนส่งเชื่อมทั้ง 2 ท่าเรือเข้าด้วยกัน เป็นส่วนเพิ่มที่เสริมประสิทธิภาพในการขนส่งในพื้นที่เอง และมีแนวโน้มดึงดูดการขนส่งผ่านแดนต่างๆให้เกิดขึ้นในพื้นที่ได้เพิ่มอีก

ด้วยเหตุนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงมีความมุ่งมั่นที่จะเชิญชวนนักลงทุนจากต่างชาติในกลุ่มสายการเดินเรือและการบริหารการขนส่งชั้นนำระดับโลกจากนานาประเทศมาร่วมลงทุน เพราะการได้ผู้ประกอบการมืออาชีพมาร่วมลงทุน คือ การสร้างรายได้เข้าประเทศที่อาจจะสร้างมูลค่าได้มากกว่าล้านล้านบาท

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเพื่อไทยและไทยรักไทย มีดีเอ็นเอที่เด่นชัดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐาเอง ก็มีแผนงานเร่งรัดพัฒนาศักยภาพทางโครงสร้างหลายเรื่อง ที่สามารถสร้างเม็ดเงินการลงทุนและการใช้จ่ายเข้าสู่ประเทศได้ด้วยความรวดเร็ว ตามศักยภาพของพื้นที่ต่างๆ อาทิ

1. การริเริ่มโครงการสนามบินภูเก็ต และสนามบินเชียงใหม่ แห่งที่ 2 เพื่อขยายศักยภาพรองรับเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวที่เติบโตได้อีกมาก

2. การเร่งรัดรถไฟรางคู่ หนองคาย-ขอนแก่น เพื่อขยายการส่งออกเชื่อมต่อเส้นทางขนส่งกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ที่จ่อรออยู่ที่ชายแดนหนองคาย และการลงทุนในภาคอีสาน

3. การเร่งรัดการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC เพื่อให้เงินลงทุนจำนวนมากที่ลงไปแล้วจากรัฐบาลที่ผ่านมา สามารถดูงดูดให้เกิดการลงทุนอย่างแท้จริงในภาคตะวันออก

4. การเดินสายดึงดูดการลงทุนพื้นที่ SEC เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้พื้นที่ภาคใต้ตอนบน

“เป็นที่ประจักษ์ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย หาเงินได้ ใช้เงินเป็น ซึ่งการวิจารณ์ว่าหลอกต่างชาติมาลงทุนเป็นวาทกรรมหวังลดทอนคุณค่าโครงการ และบั่นทอนนักลงทุนต่างชาติ คงไม่มีชาติไหนที่จะลงทุนแล้วเชื่อการศึกษาของต้นทางเพียงด้านเดียว แต่ต้องทำการศึกษาผนวกกับต้นทุนศักยภาพของบริษัทเค้าเองด้วย ในทางกลับกันการประเมินศักยภาพประเทศต่ำ อาจทำให้ประเทศเสียโอกาสได้ การร่วมกันมองหาโอกาสใหม่ๆ  คือการสร้างมาตรฐานการเมืองใหม่ ไม่ใช่มองหาแต่ปัญหาในทุกโอกาสจนประเทศไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนอย่างอนาคตไทย 2020 ที่ถูกพับจนทุกวันนี้ยังเสียดาย ประเทศไทยเสียหายมามากพอแล้ว เวลามีมูลค่าเสมอ” นายชนินทร์กล่าว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อินเดียยกภาษาบาลีเป็นภาษาทางราชการ ภาษาคลาสสิกในประเทศอีกหนึ่งภาษา

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 เฟซบุ๊ก Namaste Dhamma ของพระธรรมทูตไทยในประเทศอินเดียได้โพสต์ภาพและข้อความว่า "งานประชุมสัมมนา ในการที่นาย...