วิเคราะห์ถอดบทเรียนแก้ปัญหาน้ำท่วมแม่สาย–เมืองเชียงราย แก้วิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568: ความพร้อมของรัฐคือกุญแจสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อถอดบทเรียนและเสนอแนวทางปรับใช้ในการรับมือกับวิกฤติน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเมืองหาดใหญ่ที่เกิดในปี 2568 โดยอ้างอิงแนวคิดของ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ชี้ว่า "ปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่วิกฤติที่ร้ายแรงที่สุด หากแต่ความพร้อมของรัฐในการรับมือต่างหากคือวิกฤติที่แท้จริง" การวิเคราะห์พบว่าความสำเร็จในการควบคุมความเสียหายในเชียงรายเกิดจากการทำงานแบบบูรณาการ ข้อมูลที่ครบถ้วน ระบบเตือนภัยล่วงหน้า การเตรียมพร้อมของเครื่องมือและกำลังคน รวมถึงการสั่งการที่รวดเร็วและเป็นเอกภาพ ซึ่งเป็นโมเดลสำคัญที่รัฐบาลควรพิจารณานำไปปรับใช้เพื่อสร้างศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติซ้ำซากในระยะยาว
1. บทนำ: วิกฤติอุทกภัยและความพร้อมของรัฐ
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอุทกภัย เป็นปัญหาซ้ำซากที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อชีวิต ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในทุกปี ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาคือ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภัยพิบัติของภาครัฐ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างตรงไปตรงมาว่า แท้จริงแล้ว ปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่ "วิกฤติใหญ่สุด" แต่ "รัฐที่ไม่พร้อมคือวิกฤติที่แท้จริง" (ณพลเดช มณีลังกา, 27 พฤศจิกายน 2568) แนวคิดนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปสู่การสร้างระบบการเตรียมพร้อมที่เข้มแข็งและยั่งยืน
2. กรณีศึกษา: บทเรียนจากอำเภอแม่สายและอำเภอเมือง เชียงราย (พ.ศ. 2566–2567)
เหตุการณ์น้ำหลากในพื้นที่จังหวัดเชียงรายในช่วงปี 2566–2567 เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นว่า การมี "รัฐที่พร้อม" สามารถช่วยลดความเสียหายได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนและมีความถี่สูง
2.1 บทเรียนจากอำเภอแม่สาย: การจัดการเชิงป้องกันและระบบแจ้งเตือน
อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำหลากจากต้นน้ำฝั่งเมียนมาอยู่เป็นประจำ ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของ ระบบบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน:
การขุดลอกลำน้ำอย่างต่อเนื่อง: มีการขุดลอกลำน้ำแม่สาย–แม่คำอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและลดการตื้นเขินของทางน้ำ
ระบบเตือนภัยและเชื่อมโยงชุมชน: มีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่เชื่อมโยงกับชุมชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างเป็นระบบ ทำให้ประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมและอพยพได้ทันท่วงที
การเตรียมกำลังและความพร้อมของเครื่องมือ: มีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลหนักให้พร้อมเข้าปฏิบัติการในทันที
การประสานงานที่เป็นระบบ: การประสานงานระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ทำให้การสั่งการและการตอบสนองต่อสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เหตุการณ์น้ำหลากคลี่คลายอย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบต่อประชาชนอย่างเห็นได้ชัด
2.2 บทเรียนจากอำเภอเมือง เชียงราย: การตอบสนองที่รวดเร็วและบูรณาการ
ในอำเภอเมือง ซึ่งเผชิญสถานการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่าเนื่องจากบางจุดเกิด น้ำหลากปนตะกอนโคลน ซึ่งทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นรวดเร็วและระบายได้ยาก การตอบสนองของรัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเด็ดขาดและรวดเร็ว:
การสั่งการเร่งด่วนและการนำเครื่องจักรกลเข้าปฏิบัติการทันที: เมื่อเกิดเหตุ มีการสั่งการอย่างฉับพลันเพื่อนำเครื่องจักรกลหนักเข้าขุดเปิดทางน้ำที่ถูกปิดกั้นด้วยตะกอนโคลน
การเสริมแนวป้องกันชั่วคราว: มีการจัดทำแนวป้องกันชั่วคราวเพื่อเบี่ยงเบนหรือชะลอน้ำหลาก
การทำงานร่วมกันของทุกระดับ: หน่วยงานทุกระดับทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์และลดระดับน้ำได้ภายในเวลาอันสั้น แม้จะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่มีความเสี่ยงสูง
3. การถอดบทเรียนสู่การแก้ไขวิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568
บทเรียนจากเชียงรายตอกย้ำว่า "เมื่อมีข้อมูลครบ แผนรับมือชัดเจน เครื่องมือพร้อมใช้ การสั่งการรวดเร็ว และการประสานงานที่เป็นเอกภาพ ผลกระทบจากอุทกภัยสามารถลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ" (ณพลเดช มณีลังกา, 27 พฤศจิกายน 2568)
หากโมเดลการจัดการแบบแม่สาย–อำเภอเมือง ถูกนำไปปรับใช้ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติซ้ำซากอย่างหาดใหญ่ในปี 2568 จะเป็นดังนี้:
การวางแผนและโครงสร้างพื้นฐาน: จัดทำแผนการขุดลอกคูคลองและปรับปรุงระบบระบายน้ำของเมืองหาดใหญ่ให้เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ระบบเตือนภัยอัจฉริยะ: พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีความแม่นยำสูงและเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่
การเตรียมพร้อมทรัพยากร: จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ (ทั้งบุคลากรและเครื่องจักรกลหนัก) ให้พร้อมเข้าปฏิบัติการในทุกจุดเสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง
การสั่งการและบูรณาการ: กำหนดสายการสั่งการที่ชัดเจนและรวดเร็วที่สุด โดยเน้นการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานท้องถิ่น (เทศบาล) ส่วนภูมิภาค (จังหวัด) และส่วนกลาง (กรมชลประทาน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เพื่อให้การตัดสินใจและการเข้าช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที
4. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการเยียวยา
ดร.ณพลเดช ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลปัจจุบันต้อง "หามืออาชีพเข้ามาทำงาน" เนื่องจากประเทศไทยไม่มีเวลาให้แลกกับชีวิตประชาชนและมูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปี (ณพลเดช มณีลังกา, 27 พฤศจิกายน 2568)
การตอบสนองระยะเร่งด่วน: การลำเลียง "น้ำ–อาหาร" ต้องเข้าถึงมือประชาชนอย่างเร่งด่วน การผันน้ำออกต้องดำเนินการทันที เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายที่ตามมา
การจัดการปัญหาต่อเนื่อง: รัฐต้องมีแผนรับมือกับปัญหาที่ตามมาหลังน้ำลด เช่น การจัดการตะกอนโคลนและการควบคุมฝุ่นละออง
การเยียวยาที่เป็นธรรมและตรงเป้า: การเยียวยาต้องเป็นไปตามความเสียหายที่แท้จริง ไม่ควรใช้งบประมาณแบบหว่านหรือไม่ตรงเป้า เพราะจะทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับการช่วยเหลือตามสิทธิ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการร้องเรียนและการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพในภายหลัง
5. สรุป
วิกฤติอุทกภัยจะยังคงเป็นภัยคุกคามในหลายพื้นที่ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์บทเรียนจากแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความพร้อมของรัฐ เป็นปัจจัยชี้ขาดในการลดความเสียหายและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน รัฐบาลควรพิจารณาอย่างรอบคอบและเร่งรัดการนำผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยนำโมเดลการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการและความรวดเร็วในการสั่งการมาเป็นหลักปฏิบัติ เพื่อมุ่งสู่การรับมือภัยพิบัติอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น