วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

อริยสัจ 4 กับวิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่

   

วิเคราะห์การประยุกต์ใช้อริยสัจกับการเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่ และประสิทธิภาพการเตือนภัยของไทยในบริบทความมั่นคงคู่ขนาน (กรณีศึกษาเหตุการณ์ปัจจุบัน พ.ศ. 2568)

บทคัดย่อ

บทความนี้วิเคราะห์การประยุกต์ใช้หลัก อริยสัจ 4 เพื่อทำความเข้าใจมหาอุทกภัยหาดใหญ่–สงขลา พ.ศ. 2568 โดยเชื่อมโยงข้อมูลภูมิอากาศ ภูมิประเทศเมือง และการบริหารจัดการภัยพิบัติกับมุมมองทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เห็นโครงสร้างปัญหาและทางออกอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพระบบเตือนภัยและการสื่อสารข้อมูล (Early Warning Systems: EWS) ของไทยกับกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อชี้ให้เห็นความท้าทายด้านข้อมูล ความโปร่งใส และความเชื่อถือของประชาชน ผลการศึกษาชี้ว่า น้ำท่วมเป็นผลร่วมของปัจจัยธรรมชาติและปัญหาเชิงโครงสร้างของเมือง ขณะที่ระบบเตือนภัยไทยยังมีข้อจำกัดด้านการรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ ความน่าเชื่อถือในภาวะวิกฤต และการสื่อสารสู่กลุ่มเปราะบาง บทความเสนอแนวปฏิรูปเชิงสถาบัน–เทคโนโลยี–สังคมเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของประเทศต่อภัยพิบัติในอนาคต


1. บทนำ

อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยโดยธรรมชาติจากลักษณะภูมิประเทศแบบแอ่งรับน้ำ และเป็นจุดผ่านของน้ำหลากจากลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา การขยายตัวของเมือง การใช้พื้นที่ลุ่มเป็นย่านเศรษฐกิจ และการลดลงของพื้นที่หน่วงน้ำ ส่งผลให้หาดใหญ่เกิดน้ำท่วมใหญ่หลายครั้งในประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ฝนตกหนักปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ทำให้เกิด มหาอุทกภัยครั้งใหม่ ส่งผลให้รัฐต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความนี้ใช้ อริยสัจ 4 เป็นกรอบวิเคราะห์เชิงพุทธ เพื่อทำความเข้าใจ “ทุกข์–สมุทัย–นิโรธ–มรรค” ของสถานการณ์ทั้งในระดับประชาชน ชุมชน และระดับนโยบาย พร้อมเชื่อมโยงข้อจำกัดของระบบเตือนภัยโดยเปรียบเทียบกับข้อมูลในบริบทความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชา


2. ทุกข์: ความเดือดร้อนจากอุทกภัยหาดใหญ่ พ.ศ. 2568

“ทุกข์” ในบริบทภัยพิบัติ คือผลกระทบต่อชีวิต เศรษฐกิจ และจิตใจของประชาชน ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้แบ่งเป็นหลายมิติ ได้แก่

2.1 มิติทางกายภาพ

  • น้ำท่วมขังในเขตตลาด ย่านเศรษฐกิจ และชุมชนเมือง

  • สาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า–ประปา ขัดข้องในบางพื้นที่

  • ถนนหลายสายถูกตัดขาด ทำให้การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบาก

2.2 มิติเศรษฐกิจ–สังคม

  • ภาคบริการ การค้า และการท่องเที่ยวหยุดชะงัก

  • สินค้าขนส่งล่าช้า กระทบห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค

  • ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง

2.3 มิติจิตใจและจิตวิญญาณ

  • ความกลัวจากประสบการณ์น้ำท่วมซ้ำซาก

  • ความไม่แน่นอนเพราะข้อมูลเตือนภัยขาดความชัดเจน

  • ภาวะเครียดและหมดกำลังใจในการฟื้นฟู

น้ำท่วมครั้งนี้จึงไม่ใช่ “ทุกข์รายบุคคล” แต่เป็น ทุกข์ระดับเมือง ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างสังคมและการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งหมด


3. สมุทัย: สาเหตุของอุทกภัยในรอบปัจจุบัน

การวิเคราะห์ “สมุทัย” คือการค้นหาต้นตอของความทุกข์ทั้งทางธรรมชาติและโครงสร้างเมือง

3.1 ปัจจัยธรรมชาติ

  • ฝนตกหนักจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ

  • น้ำหลากจากต้นน้ำคลองอู่ตะเภา

  • ระดับน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้การระบายน้ำออกสู่ทะเลช้าลง

3.2 ปัจจัยเชิงโครงสร้างของเมือง

  • ระบบระบายน้ำล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับ volume น้ำยุค climate change

  • การก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่รับน้ำดั้งเดิม

  • พื้นที่สีเขียวลดลง ทำให้ความสามารถในการซึมน้ำต่ำลง

3.3 ปัจจัยด้านข้อมูล–การบริหารจัดการ

  • ข้อมูลเตือนภัยกระจัดกระจาย ไม่มีศูนย์รวมเดียว

  • การประสานงานหน่วยงานล่าช้า

  • แผนที่เส้นทางอพยพ–พื้นที่เสี่ยงไม่เป็นข้อมูลเรียลไทม์

  • การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียสร้าง “ข้อมูลเกินพิกัด” ที่ยากต่อการตัดสินใจ

ผลคือ อุทกภัยเป็น ปรากฏการณ์ซับซ้อน (complex disaster) ที่เกิดจากการทับซ้อนของธรรมชาติ โครงสร้างเมือง และนโยบายสาธารณะ


4. นิโรธ: มาตรการลดผลกระทบเฉพาะหน้า

แม้ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำได้ทันที แต่สามารถบรรเทาทุกข์ได้ผ่านมาตรการดังนี้

4.1 มาตรการช่วยเหลือประชาชน

  • ตั้งศูนย์อพยพในพื้นที่สูง

  • กระจายอาหาร ยา และน้ำดื่ม

  • ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง

4.2 การจัดการน้ำเร่งด่วน

  • ระดมเครื่องสูบน้ำจากหน่วยงานรัฐ–ทหาร–เอกชน

  • เปิดจุดระบายน้ำชั่วคราวเพื่อเร่งให้น้ำออกจากเมือง

  • ใช้เรือท้องแบนและโดรนช่วยสำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงยาก

4.3 การสื่อสารสาธารณะ

  • แจ้งเตือนระดับน้ำและเส้นทางปลอดภัยแบบทันเวลา

  • ใช้ข้อความ SMS เตือนภัยฉุกเฉิน

  • ใช้เครือข่ายอาสาสมัครชุมชนกระจายข้อมูลสู่พื้นที่

เป้าหมายของนิโรธคือ ลดความสูญเสียปัจจุบัน และสร้างเงื่อนไขพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังน้ำลด


5. มรรค: แนวทางปฏิรูปเชิงระบบในระยะยาว

“มรรคมีองค์ 8” ถูกแปลงเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อป้องกันเหตุซ้ำซาก ดังนี้

5.1 สัมมาทิฏฐิ — การเข้าใจปัญหาถูกต้อง

  • ยอมรับว่าภัยพิบัติรุนแรงขึ้นจาก climate change

  • เมืองต้อง “อยู่กับน้ำ” ไม่ใช่พยายามปิดกั้นน้ำ

5.2 สัมมาวาจา — การสื่อสารที่ถูกต้องและโปร่งใส

  • ระบบเตือนภัยต้องชัดเจน ตรงเวลา และเข้าใจง่าย

  • มีการสื่อสารภาษาถิ่นสำหรับชุมชนเปราะบาง

5.3 สัมมากัมมันตะ–สัมมาอาชีวะ — การกระทำที่ถูกต้อง

  • บังคับใช้กฎหมายผังเมือง ลดการรุกล้ำทางน้ำ

  • ส่งเสริมการพัฒนาเมืองแบบ sponge city

5.4 สัมมาวายามะ — ความเพียรในการปรับโครงสร้างข้อมูล

  • พัฒนาระบบข้อมูลน้ำ–ฝนแบบเรียลไทม์ทั่วลุ่มน้ำ

  • เพิ่มสถานีตรวจวัด IoT ที่ส่งข้อมูลเข้าสู่ศูนย์กลางอัตโนมัติ

5.5 สัมมาสติ–สัมมาสมาธิ — การบริหารภายใต้สติและสมดุล

  • ฝึกเจ้าหน้าที่ให้ตัดสินใจตามข้อมูลจริง ไม่ตามความกดดันทางการเมือง

  • ใช้ data-driven emergency management

มรรคจึงกลายเป็น แผนแม่บทเชิงนโยบาย ที่ผสานวิธีคิดเชิงพุทธกับศาสตร์การจัดการภัยพิบัติยุคใหม่


6. การวิเคราะห์ระบบเตือนภัยไทย: เปรียบเทียบกรณีชายแดนไทย–กัมพูชากับอุทกภัยหาดใหญ่

6.1 กรณีชายแดนไทย–กัมพูชา

  • สารสนเทศด้านความมั่นคงเผยแพร่ผ่านหลายช่องทาง ทำให้เกิดความสับสน

  • ข่าวลือในโซเชียลสร้างความหวาดระแวง

  • ความโปร่งใสของข้อมูลมักถูกจำกัดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

6.2 กรณีอุทกภัยหาดใหญ่

  • ระบบเตือนภัยขาด “single source of truth”

  • ข้อมูลจากดาวเทียม สถานีอุตุนิยมฯ และรายงานชุมชนไม่ถูกประมวลร่วม

  • การแจ้งเตือนล่าช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์จริง

  • การสื่อสารสู่กลุ่มเปราะบางยังไม่ครอบคลุม

สรุปปัญหาระบบเตือนภัยไทย

  1. การกระจัดกระจายของข้อมูล (Institutional Fragmentation)

  2. ความน่าเชื่อถือต่ำในภาวะวิกฤต (Credibility Crisis)

  3. ขาดระบบข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ (Geospatial Integration Gap)

  4. ช่องโหว่ด้านการสื่อสารสู่ประชากรกลุ่มเสี่ยง (Risk Communication Gap)


7. ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบ EWS ไทย

  1. จัดตั้ง National Real-time Geo-Data Fusion Center
    รวมข้อมูลน้ำ–ฝน–ดาวเทียม–IoT ไว้ในศูนย์กลางเดียว

  2. กำหนดมาตรฐานข้อมูลระดับชาติ (National Data Standards)
    ลดความล่าช้าในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน

  3. ระบบเตือนภัยแบบเจาะจงกลุ่มเปราะบาง
    ใช้ SMS, วิทยุชุมชน, ภาษาถิ่น และระบบติดตามผลการแจ้งเตือน

  4. Civil–Military Coordination Protocol
    ประสานงานชัดเจนระหว่างฝ่ายพลเรือน–ทหารในพื้นที่ยากลำบาก

  5. สร้างความโปร่งใสผ่าน Open Crisis Dashboard
    เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและลดข่าวปลอม

  6. ทดลองนำร่องที่หาดใหญ่
    พื้นที่นี้เหมาะต่อการเป็น sandbox ด้านการเตือนภัยน้ำท่วมของไทย


8. สรุป

อุทกภัยหาดใหญ่ พ.ศ. 2568 เป็นภาพสะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเมือง และข้อจำกัดของระบบเตือนภัยไทย บทความนี้แสดงให้เห็นว่า อริยสัจ 4 ไม่ได้เป็นเพียงหลักธรรมเชิงนามธรรม แต่ทำหน้าที่เป็นกรอบวิเคราะห์เชิงระบบ (system thinking) ที่ช่วยให้เข้าใจต้นเหตุ กระบวนการ และแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกรณีชายแดนไทย–กัมพูชาชี้ว่า ระบบ EWS ไทยควรได้รับการยกระดับเชิงโครงสร้าง กฎหมาย เทคโนโลยี และการสื่อสารเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของสังคมไทยต่อภัยพิบัติและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในอนาคต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นิยมโมเดล: แนวโน้มนโยบาย พปชร.คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569

บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและทิศทางนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569: กรณีศึกษาทัศนะแ...