วิเคราะห์การประยุกต์ใช้อริยสัจกับการเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่ และประสิทธิภาพการเตือนภัยของไทยในบริบทความมั่นคงคู่ขนาน (กรณีศึกษาเหตุการณ์ปัจจุบัน พ.ศ. 2568)
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์การประยุกต์ใช้หลัก อริยสัจ 4 เพื่อทำความเข้าใจมหาอุทกภัยหาดใหญ่–สงขลา พ.ศ. 2568 โดยเชื่อมโยงข้อมูลภูมิอากาศ ภูมิประเทศเมือง และการบริหารจัดการภัยพิบัติกับมุมมองทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เห็นโครงสร้างปัญหาและทางออกอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพระบบเตือนภัยและการสื่อสารข้อมูล (Early Warning Systems: EWS) ของไทยกับกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อชี้ให้เห็นความท้าทายด้านข้อมูล ความโปร่งใส และความเชื่อถือของประชาชน ผลการศึกษาชี้ว่า น้ำท่วมเป็นผลร่วมของปัจจัยธรรมชาติและปัญหาเชิงโครงสร้างของเมือง ขณะที่ระบบเตือนภัยไทยยังมีข้อจำกัดด้านการรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ ความน่าเชื่อถือในภาวะวิกฤต และการสื่อสารสู่กลุ่มเปราะบาง บทความเสนอแนวปฏิรูปเชิงสถาบัน–เทคโนโลยี–สังคมเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของประเทศต่อภัยพิบัติในอนาคต
1. บทนำ
อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยโดยธรรมชาติจากลักษณะภูมิประเทศแบบแอ่งรับน้ำ และเป็นจุดผ่านของน้ำหลากจากลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา การขยายตัวของเมือง การใช้พื้นที่ลุ่มเป็นย่านเศรษฐกิจ และการลดลงของพื้นที่หน่วงน้ำ ส่งผลให้หาดใหญ่เกิดน้ำท่วมใหญ่หลายครั้งในประวัติศาสตร์
เหตุการณ์ฝนตกหนักปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ทำให้เกิด มหาอุทกภัยครั้งใหม่ ส่งผลให้รัฐต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความนี้ใช้ อริยสัจ 4 เป็นกรอบวิเคราะห์เชิงพุทธ เพื่อทำความเข้าใจ “ทุกข์–สมุทัย–นิโรธ–มรรค” ของสถานการณ์ทั้งในระดับประชาชน ชุมชน และระดับนโยบาย พร้อมเชื่อมโยงข้อจำกัดของระบบเตือนภัยโดยเปรียบเทียบกับข้อมูลในบริบทความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชา
2. ทุกข์: ความเดือดร้อนจากอุทกภัยหาดใหญ่ พ.ศ. 2568
“ทุกข์” ในบริบทภัยพิบัติ คือผลกระทบต่อชีวิต เศรษฐกิจ และจิตใจของประชาชน ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้แบ่งเป็นหลายมิติ ได้แก่
2.1 มิติทางกายภาพ
-
น้ำท่วมขังในเขตตลาด ย่านเศรษฐกิจ และชุมชนเมือง
-
สาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า–ประปา ขัดข้องในบางพื้นที่
-
ถนนหลายสายถูกตัดขาด ทำให้การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบาก
2.2 มิติเศรษฐกิจ–สังคม
-
ภาคบริการ การค้า และการท่องเที่ยวหยุดชะงัก
-
สินค้าขนส่งล่าช้า กระทบห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค
-
ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง
2.3 มิติจิตใจและจิตวิญญาณ
-
ความกลัวจากประสบการณ์น้ำท่วมซ้ำซาก
-
ความไม่แน่นอนเพราะข้อมูลเตือนภัยขาดความชัดเจน
-
ภาวะเครียดและหมดกำลังใจในการฟื้นฟู
น้ำท่วมครั้งนี้จึงไม่ใช่ “ทุกข์รายบุคคล” แต่เป็น ทุกข์ระดับเมือง ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างสังคมและการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งหมด
3. สมุทัย: สาเหตุของอุทกภัยในรอบปัจจุบัน
การวิเคราะห์ “สมุทัย” คือการค้นหาต้นตอของความทุกข์ทั้งทางธรรมชาติและโครงสร้างเมือง
3.1 ปัจจัยธรรมชาติ
-
ฝนตกหนักจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
-
น้ำหลากจากต้นน้ำคลองอู่ตะเภา
-
ระดับน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้การระบายน้ำออกสู่ทะเลช้าลง
3.2 ปัจจัยเชิงโครงสร้างของเมือง
-
ระบบระบายน้ำล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับ volume น้ำยุค climate change
-
การก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่รับน้ำดั้งเดิม
-
พื้นที่สีเขียวลดลง ทำให้ความสามารถในการซึมน้ำต่ำลง
3.3 ปัจจัยด้านข้อมูล–การบริหารจัดการ
-
ข้อมูลเตือนภัยกระจัดกระจาย ไม่มีศูนย์รวมเดียว
-
การประสานงานหน่วยงานล่าช้า
-
แผนที่เส้นทางอพยพ–พื้นที่เสี่ยงไม่เป็นข้อมูลเรียลไทม์
-
การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียสร้าง “ข้อมูลเกินพิกัด” ที่ยากต่อการตัดสินใจ
ผลคือ อุทกภัยเป็น ปรากฏการณ์ซับซ้อน (complex disaster) ที่เกิดจากการทับซ้อนของธรรมชาติ โครงสร้างเมือง และนโยบายสาธารณะ
4. นิโรธ: มาตรการลดผลกระทบเฉพาะหน้า
แม้ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำได้ทันที แต่สามารถบรรเทาทุกข์ได้ผ่านมาตรการดังนี้
4.1 มาตรการช่วยเหลือประชาชน
-
ตั้งศูนย์อพยพในพื้นที่สูง
-
กระจายอาหาร ยา และน้ำดื่ม
-
ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง
4.2 การจัดการน้ำเร่งด่วน
-
ระดมเครื่องสูบน้ำจากหน่วยงานรัฐ–ทหาร–เอกชน
-
เปิดจุดระบายน้ำชั่วคราวเพื่อเร่งให้น้ำออกจากเมือง
-
ใช้เรือท้องแบนและโดรนช่วยสำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
4.3 การสื่อสารสาธารณะ
-
แจ้งเตือนระดับน้ำและเส้นทางปลอดภัยแบบทันเวลา
-
ใช้ข้อความ SMS เตือนภัยฉุกเฉิน
-
ใช้เครือข่ายอาสาสมัครชุมชนกระจายข้อมูลสู่พื้นที่
เป้าหมายของนิโรธคือ ลดความสูญเสียปัจจุบัน และสร้างเงื่อนไขพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังน้ำลด
5. มรรค: แนวทางปฏิรูปเชิงระบบในระยะยาว
“มรรคมีองค์ 8” ถูกแปลงเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อป้องกันเหตุซ้ำซาก ดังนี้
5.1 สัมมาทิฏฐิ — การเข้าใจปัญหาถูกต้อง
-
ยอมรับว่าภัยพิบัติรุนแรงขึ้นจาก climate change
-
เมืองต้อง “อยู่กับน้ำ” ไม่ใช่พยายามปิดกั้นน้ำ
5.2 สัมมาวาจา — การสื่อสารที่ถูกต้องและโปร่งใส
-
ระบบเตือนภัยต้องชัดเจน ตรงเวลา และเข้าใจง่าย
-
มีการสื่อสารภาษาถิ่นสำหรับชุมชนเปราะบาง
5.3 สัมมากัมมันตะ–สัมมาอาชีวะ — การกระทำที่ถูกต้อง
-
บังคับใช้กฎหมายผังเมือง ลดการรุกล้ำทางน้ำ
-
ส่งเสริมการพัฒนาเมืองแบบ sponge city
5.4 สัมมาวายามะ — ความเพียรในการปรับโครงสร้างข้อมูล
-
พัฒนาระบบข้อมูลน้ำ–ฝนแบบเรียลไทม์ทั่วลุ่มน้ำ
-
เพิ่มสถานีตรวจวัด IoT ที่ส่งข้อมูลเข้าสู่ศูนย์กลางอัตโนมัติ
5.5 สัมมาสติ–สัมมาสมาธิ — การบริหารภายใต้สติและสมดุล
-
ฝึกเจ้าหน้าที่ให้ตัดสินใจตามข้อมูลจริง ไม่ตามความกดดันทางการเมือง
-
ใช้ data-driven emergency management
มรรคจึงกลายเป็น แผนแม่บทเชิงนโยบาย ที่ผสานวิธีคิดเชิงพุทธกับศาสตร์การจัดการภัยพิบัติยุคใหม่
6. การวิเคราะห์ระบบเตือนภัยไทย: เปรียบเทียบกรณีชายแดนไทย–กัมพูชากับอุทกภัยหาดใหญ่
6.1 กรณีชายแดนไทย–กัมพูชา
-
สารสนเทศด้านความมั่นคงเผยแพร่ผ่านหลายช่องทาง ทำให้เกิดความสับสน
-
ข่าวลือในโซเชียลสร้างความหวาดระแวง
-
ความโปร่งใสของข้อมูลมักถูกจำกัดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
6.2 กรณีอุทกภัยหาดใหญ่
-
ระบบเตือนภัยขาด “single source of truth”
-
ข้อมูลจากดาวเทียม สถานีอุตุนิยมฯ และรายงานชุมชนไม่ถูกประมวลร่วม
-
การแจ้งเตือนล่าช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์จริง
-
การสื่อสารสู่กลุ่มเปราะบางยังไม่ครอบคลุม
สรุปปัญหาระบบเตือนภัยไทย
-
การกระจัดกระจายของข้อมูล (Institutional Fragmentation)
-
ความน่าเชื่อถือต่ำในภาวะวิกฤต (Credibility Crisis)
-
ขาดระบบข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ (Geospatial Integration Gap)
-
ช่องโหว่ด้านการสื่อสารสู่ประชากรกลุ่มเสี่ยง (Risk Communication Gap)
7. ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบ EWS ไทย
-
จัดตั้ง National Real-time Geo-Data Fusion Center
รวมข้อมูลน้ำ–ฝน–ดาวเทียม–IoT ไว้ในศูนย์กลางเดียว -
กำหนดมาตรฐานข้อมูลระดับชาติ (National Data Standards)
ลดความล่าช้าในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน -
ระบบเตือนภัยแบบเจาะจงกลุ่มเปราะบาง
ใช้ SMS, วิทยุชุมชน, ภาษาถิ่น และระบบติดตามผลการแจ้งเตือน -
Civil–Military Coordination Protocol
ประสานงานชัดเจนระหว่างฝ่ายพลเรือน–ทหารในพื้นที่ยากลำบาก -
สร้างความโปร่งใสผ่าน Open Crisis Dashboard
เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและลดข่าวปลอม -
ทดลองนำร่องที่หาดใหญ่
พื้นที่นี้เหมาะต่อการเป็น sandbox ด้านการเตือนภัยน้ำท่วมของไทย
8. สรุป
อุทกภัยหาดใหญ่ พ.ศ. 2568 เป็นภาพสะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเมือง และข้อจำกัดของระบบเตือนภัยไทย บทความนี้แสดงให้เห็นว่า อริยสัจ 4 ไม่ได้เป็นเพียงหลักธรรมเชิงนามธรรม แต่ทำหน้าที่เป็นกรอบวิเคราะห์เชิงระบบ (system thinking) ที่ช่วยให้เข้าใจต้นเหตุ กระบวนการ และแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกรณีชายแดนไทย–กัมพูชาชี้ว่า ระบบ EWS ไทยควรได้รับการยกระดับเชิงโครงสร้าง กฎหมาย เทคโนโลยี และการสื่อสารเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของสังคมไทยต่อภัยพิบัติและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น