วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ลัทธินิตินิยมกับการปฏิรูปพรรคการเมืองไทย: การวิเคราะห์ผ่านแนวคิดของซางยาง



 

วิเคราะห์การปฏิรูปพรรคการเมืองไทยตามแนวคิดของซางยาง

From Shang Yang to Thai Political Party Reform: A Legalist Perspective


บทคัดย่อ (Abstract)

บทความนี้วิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างของพรรคการเมืองไทย โดยเฉพาะความไม่ต่อเนื่องของนโยบายสาธารณะ การเมืองแบบยึดติดตัวบุคคล และความล้มเหลวในการสร้างสถาบันทางการเมืองที่มีเสถียรภาพ โดยเสนอการตีความเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของซางยาง (Shang Yang) ในแคว้นฉินยุคจั้นกว๋อ และการตัดสินใจของฉินเหวินฮุ่ย (King Huiwen) ในการ “สานต่อระบบแม้ไม่สานต่อคน” ผ่านกรอบแนวคิดของสำนักฝ่าเจีย (Legalism) บทความชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของแคว้นฉินไม่ได้เกิดจากนโยบายที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “สถาปนาระบบที่เหนือกว่าตัวบุคคล” ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนของพรรคการเมืองไทยในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอแนวทางการปฏิรูปโดยประยุกต์ใช้แนวคิดนิติรัฐแบบเด็ดขาด ระบบคุณธรรมที่ตรวจสอบได้ และการสร้างกลไกป้องกันการรื้อถอนนโยบาย เพื่อทำให้พรรคการเมืองไทยมีความต่อเนื่อง โปร่งใส และมีสถาบันเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น


1. บทนำ: บทเรียนจากความแค้นส่วนบุคคลสู่ความอยู่รอดของรัฐ

การเมืองไทยในรอบหลายทศวรรษเผชิญ “วัฏจักรล้มกระดาน” ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจ รัฐบาลใหม่มักยกเลิกหรือบั่นทอนนโยบายของรัฐบาลเดิมเพื่อสร้างแบรนด์การเมืองของตนเอง หรือเพื่อลดทอนเครดิตของฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้การพัฒนาประเทศขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลายาว เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการปฏิรูประบบราชการ

ประเด็นนี้สะท้อนกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จีนที่มักถูกกล่าวถึงในรัฐศาสตร์ นั่นคือกรณีซางยาง—รัฐบุรุษผู้ปฏิรูปแคว้นฉินอย่างมโหฬาร แต่ต้องถูกประหารด้วยโทษ “ห้าม้าแยกร่าง” ภายใต้การขึ้นครองราชย์ของฉินเหวินฮุ่ย ซึ่งมีความแค้นส่วนบุคคลกับเขาอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจทางรัฐศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่การประหาร แต่อยู่ที่ “การคงไว้ซึ่งระบบของซางยางหลังจากเขาตายไปแล้ว” แสดงถึงความสามารถของผู้นำในการแยก “ความรู้สึกส่วนตัว” ออกจาก “ผลประโยชน์ของรัฐ”

บทเรียนนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนปัญหาหลักของพรรคการเมืองไทย—ที่ยังให้ความสำคัญกับ “คน” มากกว่า “สถาบัน” และยังใช้ “อารมณ์ทางการเมือง” มากกว่า “เหตุผลเชิงนโยบาย”


2. กรอบแนวคิด: ปรัชญาฝ่าเจียกับนิติรัฐและระบบคุณธรรม

แนวคิดของสำนักฝ่าเจีย (Legalism) เป็นฐานคิดสำคัญของการปฏิรูปแคว้นฉิน ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิรูปพรรคการเมืองไทย ได้แก่

2.1 นิติธรรมที่เด็ดขาด (Strict Rule of Law)

กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ ใช้บังคับอย่างเท่าเทียม “ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหรือชาวนา” หลักการนี้ถูกใช้เพื่อทำลายอภิสิทธิ์ชนและทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน

2.2 ระบบคุณธรรมที่วัดผลได้ (Meritocracy via Measurable Performance)

ซางยางสร้างระบบที่ให้รางวัลและลงโทษตาม “ผลงานที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่ชาติกำเนิดหรือเส้นสาย นักรบได้เลื่อนขั้นจากจำนวนหัวศัตรูที่ตัดได้ เกษตรกรได้รับรางวัลจากผลผลิตที่สร้างได้

2.3 การสร้างสถาบันที่อยู่เหนือบุคคล (Institutionalization)

ระบบของซางยางถูกออกแบบให้ “ทำงานได้แม้ผู้สร้างจะตาย” นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้แคว้นฉินสามารถรวมจีนได้ในภายหลัง

กรอบแนวคิดทั้งสามนี้คือกุญแจสำคัญในการมองปัญหาพรรคการเมืองไทยที่ยังขาดความเป็นสถาบัน และยึดติดกับผู้นำเป็นหลัก


3. การวิเคราะห์: แผลเป็นเชิงโครงสร้างของพรรคการเมืองไทย

3.1 กับดักความเกลียดชังและการรื้อถอนนโยบาย (Policy Discontinuity Trap)

การเมืองไทยมักมีลักษณะ “เปลี่ยนรัฐบาล = เปลี่ยนนโยบาย” โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะ ตัวอย่างเช่น
– โครงการด้านการศึกษา
– นโยบายพลังงาน
– โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ซึ่งมักถูกเปลี่ยนชื่อ ยุติ หรือปรับเป้าหมายเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับเครดิตทางการเมือง

ตรงกันข้าม ฉินเหวินฮุ่ยแม้จะเกลียดชังซางยาง แต่ยังคงสานต่อระบบของเขาอย่างเข้มแข็ง นำไปสู่พลังของรัฐที่มากกว่าความรู้สึกส่วนตัวของผู้นำ

3.2 ระบบอุปถัมภ์แทนระบบคุณธรรม (Patronage vs Meritocracy)

พรรคการเมืองไทยยังคงพึ่งพา “บ้านใหญ่” ท่อน้ำเลี้ยง และเครือข่ายอุปถัมภ์มากกว่าความสามารถจริง แทบไม่มีการประเมินผลงาน ส.ส. หรือรัฐมนตรีอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดนักการเมืองประเภทที่ “เก่งเอาตัวรอดในพรรค แต่ไม่เก่งบริหารประเทศ”

3.3 ความล้มเหลวของการบังคับใช้กฎหมายแบบเท่าเทียม (Double Standards)

ในหลายกรณี พรรคพวกเดียวกันได้รับการปกป้อง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามถูกลงโทษอย่างรุนแรง ส่งผลให้สาธารณชนไม่เชื่อถือสถาบันการเมือง และมองว่ากฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือทางอำนาจ ไม่ใช่หลักยุติธรรม


4. ข้อเสนอแนะ: การประยุกต์แนวคิดซางยางสู่พรรคการเมืองไทย

4.1 การสร้างระบบ KPIs ทางการเมืองที่ตรวจสอบได้

ควรกำหนดตัวชี้วัดผลงานสำหรับ ส.ส. และรัฐมนตรี เช่น

  • ระดับการเข้าประชุมสภา

  • คุณภาพการอภิปราย

  • จำนวนกฎหมายที่ผลักดันสำเร็จ

  • ความพึงพอใจของประชาชนในพื้นที่

หากไม่ผ่านเกณฑ์ควรถูกตัดสิทธิ์ลงสมัครโดยไม่ยกเว้น “นักการเมืองสายบ้านใหญ่”

4.2 กลไกคุ้มครองความต่อเนื่องของนโยบายสาธารณะ

ควรมีการตรากฎหมายหรือกลไกสภาที่ทำให้ “นโยบายเรือธงที่ผ่านการวิจัยและเห็นชอบแล้ว” ต้องสานต่อในรัฐบาลถัดไป เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่ามีผลเสียร้ายแรง

4.3 ปลูกฝังวัฒนธรรมการเมืองแบบแยกแยะ (Distinction Culture)

ต้องสร้างวัฒนธรรมที่ยอมรับว่า “การสานต่อนโยบายที่ดีของคู่แข่ง” เป็นความกล้าหาญทางจริยธรรม ไม่ใช่ความอ่อนแอ สื่อ พรรคนักวิชาการ และสังคมต้องร่วมกันยกย่องพฤติกรรมนี้


5. บทสรุป (Conclusion)

บทเรียนจากซางยางและฉินเหวินฮุ่ยชี้ว่า ความยิ่งใหญ่ของรัฐไม่ได้มาจากผู้นำที่เก่งเพียงรายเดียว แต่เกิดจาก “ระบบที่เข้มแข็งจนคนตาย แต่นโยบายอยู่รอด” ในบริบทไทย การปฏิรูปพรรคการเมืองจึงต้องก้าวข้ามการยึดติดตัวบุคคล และหันมาเน้น “สถาบัน – กฎหมาย – และระบบประเมินผลงาน” ที่ดำรงอยู่ได้แม้ผู้นำเปลี่ยนหน้ากันไป

หากนักการเมืองไทยสามารถ “เกลียดคนได้ แต่ยังรักงานที่เขาทำ” และกล้าสานต่อนโยบายที่ดีของฝ่ายตรงข้าม เมื่อนั้นประเทศไทยจึงมีโอกาสสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความเจริญยั่งยืนเช่นเดียวกับแคว้นฉินในประวัติศาสตร์จีน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นิยมโมเดล: แนวโน้มนโยบาย พปชร.คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569

บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและทิศทางนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569: กรณีศึกษาทัศนะแ...