วิเคราะห์สนามเลือกตั้ง ส.ส.สุราษฎร์ธานีปี 2569 กับบทบาทบ้านกาญจนะ
Academic Analysis of Surat Thani’s 2026 Electoral Dynamics and the Strategic Role of the Kanchana Political Family
บทคัดย่อ (Abstract)
บทความนี้วิเคราะห์พลวัตการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปี 2569 ผ่านกรณีศึกษา “บ้านกาญจนะ” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตระกูลการเมืองที่มีอิทธิพลสูงสุดของภาคใต้ตอนบน การตัดสินใจปรับยุทธศาสตร์ ส่งทีมงานลงสมัครแบบ “แยกกันตี” ภายใต้หลายพรรค โดยเฉพาะพรรคไทรวมพลัง สะท้อนการปรับตัวของตระกูลการเมืองต่อความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพรรคการเมืองระดับชาติ และการแข่งขันกับกลุ่มอำนาจใหม่อย่างกลุ่ม 16 และแกนนำพรรคภูมิใจไทย การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า “ฐานอำนาจท้องถิ่น” ยังคงเป็นตัวกำหนดผลเลือกตั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างมีนัยสำคัญ และบ้านกาญจนะยังเป็นผู้เล่นหลักที่มีโอกาสกวาด ส.ส. ได้หลายเขต แม้ต้องเผชิญความซับซ้อนของแผนการทับซ้อนผู้สมัคร และการแข่งขันในหลายสนาม
1. บทนำ: การเลือกตั้งสุราษฎร์ฯ 2569 ในบริบทโครงสร้างการเมืองไทย
การเลือกตั้งปี 2569 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของโครงสร้างการเมืองไทย ภายใต้สภาวะที่
-
พรรคการเมืองกำลังปรับตัวรับยุคดิจิทัล
-
แรงสนับสนุนประชาชนเปลี่ยนตามกลุ่มอายุและสื่อใหม่
-
กลุ่มการเมืองในระดับท้องถิ่นยังคงทรงอิทธิพลอย่างมากในจังหวัดภาคใต้
สุราษฎร์ธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ “การเมืองตระกูล” (Political Family) มีบทบาทสูง โดยเฉพาะ บ้านกาญจนะ ซึ่งเป็นเครือข่ายการเมืองที่มีทั้งฐานเสียงกว้าง บุคลากรเข้มแข็ง และอำนาจทางการบริหารท้องถิ่น ผ่านบทบาทของ
-
นางโสภา กาญจนะ นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี
-
ดร.วชิราภรณ์ กาญจนะ ส.ส.เขต 3
ดังนั้น สนามเลือกตั้งครั้งนี้จึงกลายเป็นจุดจับตาสำคัญระดับชาติ เนื่องจากเป็นตัวอย่างของการต่อสู้ระหว่าง “ทุนทางการเมืองท้องถิ่น” กับ “พลังพรรคการเมืองระดับชาติ” อย่างชัดเจน
2. โครงสร้างอำนาจบ้านกาญจนะ: ฐานการเมืองที่สั่งสมยาวนาน
การวิเคราะห์อำนาจของบ้านกาญจนะต้องพิจารณาใน 3 มิติหลัก
2.1 อำนาจเชิงพื้นที่ (Spatial Power Structure)
บ้านกาญจนะมีเครือข่ายการเมืองในทุกอำเภอ ทั้งระบบแกนนำท้องถิ่น กลุ่ม อบจ.–อบต.–เทศบาล และเครือข่ายกำนัน–ผู้ใหญ่บ้าน ทำให้เป็น “Political Machine” ที่ทรงพลัง และสามารถสนับสนุนผู้สมัครแต่ละเขตได้อย่างต่อเนื่อง
2.2 อำนาจเชิงสถาบัน (Institutional Power)
ตำแหน่งนายก อบจ. ของป้าโส ช่วยสร้างความได้เปรียบด้าน
-
การเข้าถึงพื้นที่
-
การรับรู้ของประชาชน
-
ความไว้วางใจของผู้นำชุมชน
การมี ส.ส. เดิมในมือยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งของเครือข่าย
2.3 อำนาจเชิงบุคคล (Personalized Political Capital)
ตัวบุคคลอย่าง “สส.จ๋า” ดร.วชิราภรณ์ มีภาพลักษณ์เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ทำงานฉับไว ซึ่งเข้ากับแนวโน้มนักการเมืองแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ประชาชนในยุคข้อมูล และช่วยดึงฐานเสียงในกลุ่มวัยทำงานและคนรุ่นใหม่ได้ดี
3. การแตกตัวของแผนการเมือง: เหตุผลที่บ้านกาญจนะเลือก “แยกกันตี”
แม้เบื้องต้นบ้านกาญจนะมีแนวโน้มไปอยู่พรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อกลุ่ม 16 ภายใต้การนำของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ายเข้าสังกัด ทำให้เกิดปัญหาซ้อนทับเขตอย่างชัดเจน เช่น
-
เขต 4 มี นายพันศักดิ์ บุญแทน (ฝ่ายกำนันพงษ์ศักดิ์) ขัดแย้งกับบ้านกาญจนะ
-
เขต 2 มี นายพิพิธ รัตนรักษ์ ที่เป็นคนเก่าบ้านกาญจนะแต่ถูกดึงเข้ากลุ่ม 16
ผลคือ ว่าที่ผู้สมัครของบ้านกาญจนะถูกปิดพื้นที่ ไม่สามารถลงในนามภูมิใจไทยได้ตามแผนเดิม
ดังนั้น บ้านกาญจนะจึงเลือกเดินหมากใหม่ที่สำคัญมาก คือ
ยุทธศาสตร์ “แยกกันตี หลายพรรค–ฐานเสียงเดียวกัน”
ซึ่งมีข้อดีคือ
-
ลดการแข่งขันภายในพรรคเดียว
-
รักษาพื้นที่ฐานเสียงเดิม
-
กำหนดตัวเลือกผู้สมัครได้หลากหลาย
-
ลดผลกระทบจากผู้มีอำนาจในพรรคใหญ่ระดับชาติ
พรรคไทรวมพลังจึงถูกใช้เป็น “จุดยืนใหม่” ของผู้สมัครสายบ้านกาญจนะหลายคน
4. วิเคราะห์ผู้สมัครของบ้านกาญจนะ: จุดแข็งในแต่ละเขต
จากข้อมูลล่าสุด บ้านกาญจนะได้เปิดตัวผู้สมัครหลายเขตแล้ว ได้แก่
เขต 2 — นายศักดิ์วิชญ์ แก้วมีศรี
-
ฐานเสียงดี
-
ได้การสนับสนุนจากเครือข่ายดั้งเดิม
-
คู่แข่งหลักคือผู้สมัครเก่าที่เคยอยู่ทีมบ้านกาญจนะมาก่อน
เขต 5 — นางสาวฌาณิกา เมืองนอน (“เลขาน้ำหวาน”)
-
ผู้ช่วยดำเนินงานของ ส.ส.จ๋า
-
เป็นบุคลากรรุ่นใหม่ มีภาพทันสมัย
-
ช่วยเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ได้ดี
เขต 4 — พ.ต.ท.สุบัญชา พืชผล
-
เปิดตัวเร็ว ๆ นี้
-
แข่งขันหนักกับเครือข่ายกำนันพงษ์ศักดิ์
-
เขตนี้เป็น “สมรภูมิเดือดที่สุด” ของสุราษฎร์ฯ
เขต 3 — ดร.วชิราภรณ์ กาญจนะ
-
ส.ส. เดิม มีภาษีดีที่สุดในเขต
-
หากลงในนามพรรคไทรวมพลัง จะช่วยยกระดับภาพรวมของพรรคในจังหวัดอย่างมาก
5. การประเมินโอกาสบ้านกาญจนะในสนามเลือกตั้ง 2569
5.1 ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาส “ปักธงยกทีม”
-
ฐานเสียงเหนียวแน่นทั่วจังหวัด
เครือข่ายบ้านกาญจนะฝังรากลึกในพื้นที่หลายสิบปี -
ภาพจำทางการเมืองที่เป็นบวก
ป้าโสและส.ส.จ๋ามีภาพลักษณ์ทำงานจริงจัง -
คู่แข่งหลักอ่อนกำลังจากความขัดแย้งภายใน
เช่น ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของภูมิใจไทย -
ยุทธศาสตร์ส่งคนรุ่นใหม่ลงสนาม
สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคดิจิทัล -
กระแสสนับสนุนพรรคขนาดกลาง–เล็กในระดับชาติ
ทำให้เขตเลือกตั้งเปิดกว้างต่อความหลากหลายของพรรค
6. ความเสี่ยง–ความท้าทาย
แม้มีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่บ้านกาญจนะยังเผชิญความท้าทายสำคัญ เช่น
6.1 การแข่งขันภายในกลุ่มอำนาจพื้นที่
เขต 4 และบางเขตมีคู่แข่งที่มีฐานเสียงดั้งเดิมหนาแน่น เช่น สายกำนันพงษ์ศักดิ์
6.2 การส่งผู้สมัครต่างพรรคอาจทำให้คะแนนแตกกระจาย
ต้องบริหารไม่ให้ผู้สมัครที่เป็นฐานเดียวกันแย่งคะแนนกันเอง
6.3 อิทธิพลของพรรคใหญ่ระดับชาติ
พรรคภูมิใจไทย–พลังประชารัฐ–ก้าวไกล อาจส่งผู้สมัครแข็งแกร่งลงสู้เต็มที่
6.4 ฐานเสียงคนรุ่นใหม่มีพฤติกรรมการเมืองใหม่
เน้นนโยบาย–ภาพลักษณ์–ความโปร่งใส
อาจต้องปรับวิธีสื่อสารหาเสียง
7. บทสรุป: บ้านกาญจนะจะ “ยกทีม” ได้หรือไม่?
จากการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง ชี้ว่า
-
บ้านกาญจนะยังเป็น “แกนกลางทางการเมือง” ของสุราษฎร์ธานี
-
ฐานเสียงมีความเหนียวแน่นในทุกอำเภอ
-
การเดินหมากแยกกันตีนับเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะกับยุคที่พรรคใหญ่แข่งขันกันดุเดือด
ดังนั้น มีโอกาสสูงที่บ้านกาญจนะจะได้ ส.ส. หลายเขต และอาจ “ยกทีม” หากบริหาร
-
การสื่อสาร
-
การจัดการฐานเสียง
-
การวางตัวผู้สมัคร
ได้อย่างรัดกุมและไม่ทับซ้อนกันเอง
การเลือกตั้งปี 2569 ในสุราษฎร์ธานีจึงเป็นตัวอย่างสำคัญของการเมืองแบบ “ตระกูลการเมืองไทย” ที่ต้องปรับตัวต่อโครงสร้างการเมืองใหม่ และยังคงมีบทบาทสูงอย่างไม่เสื่อมคลาย

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น