วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ศึกเลือกตั้งสุราษฎร์ธานี 2569: อิทธิพลตระกูลกาญจนะ


วิเคราะห์สนามเลือกตั้ง ส.ส.สุราษฎร์ธานีปี 2569 กับบทบาทบ้านกาญจนะ

Academic Analysis of Surat Thani’s 2026 Electoral Dynamics and the Strategic Role of the Kanchana Political Family


บทคัดย่อ (Abstract)

บทความนี้วิเคราะห์พลวัตการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปี 2569 ผ่านกรณีศึกษา “บ้านกาญจนะ” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตระกูลการเมืองที่มีอิทธิพลสูงสุดของภาคใต้ตอนบน การตัดสินใจปรับยุทธศาสตร์ ส่งทีมงานลงสมัครแบบ “แยกกันตี” ภายใต้หลายพรรค โดยเฉพาะพรรคไทรวมพลัง สะท้อนการปรับตัวของตระกูลการเมืองต่อความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพรรคการเมืองระดับชาติ และการแข่งขันกับกลุ่มอำนาจใหม่อย่างกลุ่ม 16 และแกนนำพรรคภูมิใจไทย การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า “ฐานอำนาจท้องถิ่น” ยังคงเป็นตัวกำหนดผลเลือกตั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างมีนัยสำคัญ และบ้านกาญจนะยังเป็นผู้เล่นหลักที่มีโอกาสกวาด ส.ส. ได้หลายเขต แม้ต้องเผชิญความซับซ้อนของแผนการทับซ้อนผู้สมัคร และการแข่งขันในหลายสนาม


1. บทนำ: การเลือกตั้งสุราษฎร์ฯ 2569 ในบริบทโครงสร้างการเมืองไทย

การเลือกตั้งปี 2569 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของโครงสร้างการเมืองไทย ภายใต้สภาวะที่

  • พรรคการเมืองกำลังปรับตัวรับยุคดิจิทัล

  • แรงสนับสนุนประชาชนเปลี่ยนตามกลุ่มอายุและสื่อใหม่

  • กลุ่มการเมืองในระดับท้องถิ่นยังคงทรงอิทธิพลอย่างมากในจังหวัดภาคใต้

สุราษฎร์ธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ “การเมืองตระกูล” (Political Family) มีบทบาทสูง โดยเฉพาะ บ้านกาญจนะ ซึ่งเป็นเครือข่ายการเมืองที่มีทั้งฐานเสียงกว้าง บุคลากรเข้มแข็ง และอำนาจทางการบริหารท้องถิ่น ผ่านบทบาทของ

  • นางโสภา กาญจนะ นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี

  • ดร.วชิราภรณ์ กาญจนะ ส.ส.เขต 3

ดังนั้น สนามเลือกตั้งครั้งนี้จึงกลายเป็นจุดจับตาสำคัญระดับชาติ เนื่องจากเป็นตัวอย่างของการต่อสู้ระหว่าง “ทุนทางการเมืองท้องถิ่น” กับ “พลังพรรคการเมืองระดับชาติ” อย่างชัดเจน


2. โครงสร้างอำนาจบ้านกาญจนะ: ฐานการเมืองที่สั่งสมยาวนาน

การวิเคราะห์อำนาจของบ้านกาญจนะต้องพิจารณาใน 3 มิติหลัก

2.1 อำนาจเชิงพื้นที่ (Spatial Power Structure)

บ้านกาญจนะมีเครือข่ายการเมืองในทุกอำเภอ ทั้งระบบแกนนำท้องถิ่น กลุ่ม อบจ.–อบต.–เทศบาล และเครือข่ายกำนัน–ผู้ใหญ่บ้าน ทำให้เป็น “Political Machine” ที่ทรงพลัง และสามารถสนับสนุนผู้สมัครแต่ละเขตได้อย่างต่อเนื่อง

2.2 อำนาจเชิงสถาบัน (Institutional Power)

ตำแหน่งนายก อบจ. ของป้าโส ช่วยสร้างความได้เปรียบด้าน

  • การเข้าถึงพื้นที่

  • การรับรู้ของประชาชน

  • ความไว้วางใจของผู้นำชุมชน
    การมี ส.ส. เดิมในมือยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งของเครือข่าย

2.3 อำนาจเชิงบุคคล (Personalized Political Capital)

ตัวบุคคลอย่าง “สส.จ๋า” ดร.วชิราภรณ์ มีภาพลักษณ์เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ทำงานฉับไว ซึ่งเข้ากับแนวโน้มนักการเมืองแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ประชาชนในยุคข้อมูล และช่วยดึงฐานเสียงในกลุ่มวัยทำงานและคนรุ่นใหม่ได้ดี


3. การแตกตัวของแผนการเมือง: เหตุผลที่บ้านกาญจนะเลือก “แยกกันตี”

แม้เบื้องต้นบ้านกาญจนะมีแนวโน้มไปอยู่พรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อกลุ่ม 16 ภายใต้การนำของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ายเข้าสังกัด ทำให้เกิดปัญหาซ้อนทับเขตอย่างชัดเจน เช่น

  • เขต 4 มี นายพันศักดิ์ บุญแทน (ฝ่ายกำนันพงษ์ศักดิ์) ขัดแย้งกับบ้านกาญจนะ

  • เขต 2 มี นายพิพิธ รัตนรักษ์ ที่เป็นคนเก่าบ้านกาญจนะแต่ถูกดึงเข้ากลุ่ม 16

ผลคือ ว่าที่ผู้สมัครของบ้านกาญจนะถูกปิดพื้นที่ ไม่สามารถลงในนามภูมิใจไทยได้ตามแผนเดิม

ดังนั้น บ้านกาญจนะจึงเลือกเดินหมากใหม่ที่สำคัญมาก คือ

ยุทธศาสตร์ “แยกกันตี หลายพรรค–ฐานเสียงเดียวกัน”

ซึ่งมีข้อดีคือ

  • ลดการแข่งขันภายในพรรคเดียว

  • รักษาพื้นที่ฐานเสียงเดิม

  • กำหนดตัวเลือกผู้สมัครได้หลากหลาย

  • ลดผลกระทบจากผู้มีอำนาจในพรรคใหญ่ระดับชาติ

พรรคไทรวมพลังจึงถูกใช้เป็น “จุดยืนใหม่” ของผู้สมัครสายบ้านกาญจนะหลายคน


4. วิเคราะห์ผู้สมัครของบ้านกาญจนะ: จุดแข็งในแต่ละเขต

จากข้อมูลล่าสุด บ้านกาญจนะได้เปิดตัวผู้สมัครหลายเขตแล้ว ได้แก่

เขต 2 — นายศักดิ์วิชญ์ แก้วมีศรี

  • ฐานเสียงดี

  • ได้การสนับสนุนจากเครือข่ายดั้งเดิม

  • คู่แข่งหลักคือผู้สมัครเก่าที่เคยอยู่ทีมบ้านกาญจนะมาก่อน

เขต 5 — นางสาวฌาณิกา เมืองนอน (“เลขาน้ำหวาน”)

  • ผู้ช่วยดำเนินงานของ ส.ส.จ๋า

  • เป็นบุคลากรรุ่นใหม่ มีภาพทันสมัย

  • ช่วยเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ได้ดี

เขต 4 — พ.ต.ท.สุบัญชา พืชผล

  • เปิดตัวเร็ว ๆ นี้

  • แข่งขันหนักกับเครือข่ายกำนันพงษ์ศักดิ์

  • เขตนี้เป็น “สมรภูมิเดือดที่สุด” ของสุราษฎร์ฯ

เขต 3 — ดร.วชิราภรณ์ กาญจนะ

  • ส.ส. เดิม มีภาษีดีที่สุดในเขต

  • หากลงในนามพรรคไทรวมพลัง จะช่วยยกระดับภาพรวมของพรรคในจังหวัดอย่างมาก


5. การประเมินโอกาสบ้านกาญจนะในสนามเลือกตั้ง 2569

5.1 ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาส “ปักธงยกทีม”

  1. ฐานเสียงเหนียวแน่นทั่วจังหวัด
    เครือข่ายบ้านกาญจนะฝังรากลึกในพื้นที่หลายสิบปี

  2. ภาพจำทางการเมืองที่เป็นบวก
    ป้าโสและส.ส.จ๋ามีภาพลักษณ์ทำงานจริงจัง

  3. คู่แข่งหลักอ่อนกำลังจากความขัดแย้งภายใน
    เช่น ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของภูมิใจไทย

  4. ยุทธศาสตร์ส่งคนรุ่นใหม่ลงสนาม
    สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้งยุคดิจิทัล

  5. กระแสสนับสนุนพรรคขนาดกลาง–เล็กในระดับชาติ
    ทำให้เขตเลือกตั้งเปิดกว้างต่อความหลากหลายของพรรค


6. ความเสี่ยง–ความท้าทาย

แม้มีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่บ้านกาญจนะยังเผชิญความท้าทายสำคัญ เช่น

6.1 การแข่งขันภายในกลุ่มอำนาจพื้นที่

เขต 4 และบางเขตมีคู่แข่งที่มีฐานเสียงดั้งเดิมหนาแน่น เช่น สายกำนันพงษ์ศักดิ์

6.2 การส่งผู้สมัครต่างพรรคอาจทำให้คะแนนแตกกระจาย

ต้องบริหารไม่ให้ผู้สมัครที่เป็นฐานเดียวกันแย่งคะแนนกันเอง

6.3 อิทธิพลของพรรคใหญ่ระดับชาติ

พรรคภูมิใจไทย–พลังประชารัฐ–ก้าวไกล อาจส่งผู้สมัครแข็งแกร่งลงสู้เต็มที่

6.4 ฐานเสียงคนรุ่นใหม่มีพฤติกรรมการเมืองใหม่

เน้นนโยบาย–ภาพลักษณ์–ความโปร่งใส
อาจต้องปรับวิธีสื่อสารหาเสียง


7. บทสรุป: บ้านกาญจนะจะ “ยกทีม” ได้หรือไม่?

จากการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง ชี้ว่า

  • บ้านกาญจนะยังเป็น “แกนกลางทางการเมือง” ของสุราษฎร์ธานี

  • ฐานเสียงมีความเหนียวแน่นในทุกอำเภอ

  • การเดินหมากแยกกันตีนับเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะกับยุคที่พรรคใหญ่แข่งขันกันดุเดือด

ดังนั้น มีโอกาสสูงที่บ้านกาญจนะจะได้ ส.ส. หลายเขต และอาจ “ยกทีม” หากบริหาร

  • การสื่อสาร

  • การจัดการฐานเสียง

  • การวางตัวผู้สมัคร
    ได้อย่างรัดกุมและไม่ทับซ้อนกันเอง

การเลือกตั้งปี 2569 ในสุราษฎร์ธานีจึงเป็นตัวอย่างสำคัญของการเมืองแบบ “ตระกูลการเมืองไทย” ที่ต้องปรับตัวต่อโครงสร้างการเมืองใหม่ และยังคงมีบทบาทสูงอย่างไม่เสื่อมคลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นิยมโมเดล: แนวโน้มนโยบาย พปชร.คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569

บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและทิศทางนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569: กรณีศึกษาทัศนะแ...