วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

พุทธสันติวิธีกับการพัฒนาหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

 

วิเคราะห์แนวทางปรับปรุงการดำเนินการและพัฒนาหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักพุทธสันติวิธี

บทคัดย่อ

หลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความขัดแย้งในสังคมไทยและเป็นสื่อกลางให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมอย่างสันติ ในช่วงปีที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมได้แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการและพัฒนาหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (หลักสูตรปรับปรุง) โดยมี พลตำรวจเอกชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อทบทวน ปรับปรุง และกำกับดูแลการนำหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งติดตามประเมินผลหลังการฝึกอบรม บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าวผ่านกรอบ “พุทธสันติวิธี” (Buddhist Peaceful Means) เพื่อให้การไกล่เกลี่ยมีความลึกซึ้ง ครอบคลุม และสอดคล้องกับจิตวิทยาเชิงพุทธที่ช่วยลดทุกข์และสร้างความปรองดองยั่งยืน


1. บทนำ

กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้รับการผลักดันเป็นนโยบายระดับชาติ เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการลดภาระศาล ลดความสูญเสียทางสังคมและเศรษฐกิจ และสร้างพื้นที่สันติที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ของคู่พิพาท การประชุมคณะทำงานที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรให้เท่าทันบริบทใหม่ เช่น ความขัดแย้งเชิงครอบครัว ชุมชน เศรษฐกิจดิจิทัล และคดีแพ่ง-อาญาเบา

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเนื้อหาทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากข้อพิพาทจำนวนมากมีมิติ “อารมณ์ ความเจ็บปวด ความรู้สึกสูญเสีย” ซึ่งหลักพุทธสันติวิธีสามารถช่วยทำให้ผู้ไกล่เกลี่ยเข้าใจต้นเหตุของความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งขึ้น


2. กรอบแนวคิด: พุทธสันติวิธี

พุทธสันติวิธี (Buddhist Peaceful Means) คือ วิธีการจัดการความขัดแย้งที่ตั้งอยู่บนหลักธรรมสำคัญ เช่น

  • อริยสัจ 4 เพื่อวิเคราะห์เหตุแห่งทุกข์ของคู่พิพาท

  • ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เป็นฐานทักษะของผู้ไกล่เกลี่ย

  • พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เพื่อสร้างท่าทีที่เกื้อกูล

  • อหิงสา (ไม่เบียดเบียน) เป็นแนวทางการสื่อสาร

  • มัชฌิมาปฏิปทา เป็นหลักในการหาทางออกที่ “สมดุล” ไม่เอนเอียง

  • ปฏิจจสมุปบาท เพื่อทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัยต่าง ๆ

  • สติปัฏฐาน 4 เพื่อเพิ่มสติในการจัดการสถานการณ์อารมณ์สูง

กรอบความคิดเหล่านี้ช่วยให้การไกล่เกลี่ยเป็นมากกว่ากระบวนการแก้ปัญหา แต่เป็น “กระบวนการเยียวยา” ทั้งผู้พิพาทและสังคม


3. สถานการณ์ปัจจุบัน: การปรับปรุงหลักสูตรภายใต้คณะทำงาน

การประชุมของคณะทำงานที่มี พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ เป็นประธานมีอำนาจสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. ปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาการอบรม ให้ทันสมัยและได้มาตรฐาน

  2. อนุญาตให้หน่วยงานภายนำหลักสูตรไปเปิด โดยควบคุมคุณภาพ

  3. ติดตามและประเมินผล การนำหลักสูตรไปใช้จริงในชุมชน

นี่สะท้อนแนวโน้มของรัฐไทยที่ให้ความสำคัญกับ “มาตรฐานกลาง” ของผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการประชาชน ขณะเดียวกัน ยังเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทร่วมในระบบยุติธรรมเชิงสมานฉันท์


4. วิเคราะห์ประเด็นท้าทายของหลักสูตรไกล่เกลี่ยปัจจุบัน

แม้โครงสร้างหลักสูตรมีความครบถ้วน แต่ยังพบช่องว่างที่อาจพัฒนาได้ ได้แก่

4.1 เน้นเทคนิคมากกว่า “ภาวะภายในของผู้ไกล่เกลี่ย”

การไกล่เกลี่ยต้องอาศัยความนิ่ง ความเข้าใจตนเอง และสติ ซึ่งยังไม่ถูกเน้นอย่างเป็นระบบ

4.2 ขาดรูปแบบการวิเคราะห์ต้นเหตุความขัดแย้งแบบเชิงลึก

ปัญหาจำนวนมากมีพื้นฐานจากความโลภ ความโกรธ ความหลง (อกุศลมูล 3)

4.3 การเรียนการสอนยังไม่เชื่อมโยงกับกรณีจริงในชุมชน

ต้องปรับเนื้อหาให้สัมพันธ์กับชีวิตจริงในพื้นที่ เช่น ข้อพิพาทการใช้ที่ดิน การกู้ยืม การค้าขาย และปัญหาครอบครัว

4.4 ขาดระบบประเมินผลเชิงคุณภาพ

การวัดผลหลังฝึกอบรมควรเน้น “การเปลี่ยนแปลงเชิงทัศนคติและพฤติกรรม”


5. แนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรตามหลักพุทธสันติวิธี

จากการประมวลหลักธรรมและข้อจำกัดที่พบ สามารถสรุปแนวทางพัฒนาได้ดังนี้

5.1 บูรณาการวิชาพุทธจิตวิทยาในกระบวนการอบรม

  • ฝึกสติและสมาธิเพื่อสร้างความนิ่ง

  • สอนการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)

  • เน้นความเข้าใจอารมณ์ตนเองและอารมณ์คู่พิพาท

5.2 ใช้อริยสัจ 4 เป็นกรอบวิเคราะห์ข้อพิพาท

  1. ทุกข์: คู่พิพาทเดือดร้อนเรื่องอะไร?

  2. สมุทัย: ความโกรธ ความยึดติด หรือผลประโยชน์ใดเป็นต้นเหตุ?

  3. นิโรธ: สภาพที่คู่พิพาทต้องการคืออะไร?

  4. มรรค: หนทางใดนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน?

5.3 พัฒนาทักษะการสื่อสารแบบไม่เบียดเบียน (Nonviolent Communication)

ผสานหลัก

  • เมตตา

  • กรุณา

  • อุเบกขา

เพื่อสร้าง “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์”

5.4 สร้างชุดกรณีศึกษาแบบพุทธสันติวิธี

เช่น

  • ข้อพิพาทครอบครัว → ใช้หลักพรหมวิหาร

  • ข้อพิพาทหนี้สิน → ใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทา

  • ข้อพิพาทชุมชน → ใช้หลักสามัคคีธรรม

5.5 พัฒนากลไกการประเมินผลแบบ 360 องศา

  • ประเมินจากผู้สอน

  • ประเมินจากคู่พิพาทที่ถูกช่วยจริง

  • ประเมินผลระยะยาว (ติดตามผลภายใน 3–6 เดือน)

5.6 สร้างระบบอนุญาตให้เปิดสอนด้วยมาตรฐานกลางเดียวกัน

คณะทำงานต้องกำกับคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อไม่ให้หลักสูตรถูกปรับประยุกต์จนเสียความเป็นมาตรฐานกลาง


6. บทสรุป

การดำเนินการและพัฒนาหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภายใต้คณะทำงานที่รัฐมนตรีแต่งตั้งถือเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับคุณภาพผู้ไกล่เกลี่ยทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม การบูรณาการหลักพุทธสันติวิธีจะช่วยทำให้หลักสูตรมีความลึกซึ้ง เป็นมนุษยธรรม และสอดคล้องกับสภาพข้อพิพาทของชุมชนไทยมากขึ้น

การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องประกอบด้วย

  • การปรับภาวะภายในของผู้ไกล่เกลี่ย

  • การสร้างเครื่องมือวิเคราะห์ข้อพิพาทแบบพุทธ

  • การพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างสันติ

  • การติดตามประเมินผลแบบยั่งยืน

หากดำเนินการได้ครบถ้วน จะทำให้หลักสูตรไกล่เกลี่ยของกระทรวงยุติธรรมเป็นแบบอย่างของ “กระบวนการยุติธรรมเชิงสันติ” ที่สอดคล้องกับรากวัฒนธรรมไทย และรองรับสังคมยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นิยมโมเดล: แนวโน้มนโยบาย พปชร.คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569

บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและทิศทางนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569: กรณีศึกษาทัศนะแ...