หาด 8 มหาวิปโยค: วิเคราะห์วิถีชนหาดใหญ่เขต 8 คราวน้ำท่วมใหญ่ปี 2568
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์พฤติกรรม สำนึกชุมชน และโครงสร้างวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่ “เขต 8 หาดใหญ่” ในช่วงมหาอุทกภัยปี 2568 และก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านโครงสร้างเมือง วิถีการอยู่รอด การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไปจนถึงการปะทุของความรุนแรงบางกรณี โดยใช้กรอบแนวคิดจากมานุษยวิทยาเมือง (urban anthropology) สังคมวิทยาความรุนแรง วัฒนธรรมศึกษา และงานวิจัยเกี่ยวกับอัตลักษณ์คนใต้ เช่น พัชลินจ์ จีนนุ่น (2561), ปริยาภัทร เพ็ชรจรูญ (2567), สุชาวดี พงศ์ธนวิสุทธิ์ (2559) รวมถึงงานศึกษาในสามจังหวัดชายแดนใต้ของ Kasetchai & Dolmanach (2555) บทความสรุปว่า อุทกภัยครั้งนี้เป็น “ปรากฏการณ์เปิดหน้าต่างสังคม” ที่เผยทั้งความเข้มแข็งของชุมชน การพึ่งพาเครือญาติ และรอยร้าวที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างการเลี้ยงดูและวัฒนธรรมศักดิ์ศรีแบบชายใต้ ซึ่งเมื่อผสานเข้ากับความเครียดระดับสูงและความรู้สึกถูกทอดทิ้ง นำไปสู่ความตึงเครียดทางสังคมที่ปรากฏเด่นชัดในเขตเมืองกำลังขยายของหาดใหญ่
1. บทนำ: “8 วันมหาวิปโยค” ในเมือง–ชนบทผสานของหาดใหญ่
เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในหาดใหญ่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ทำให้เขตพื้นที่เศรษฐกิจ–ชุมชนอย่าง “เขต 8” (คอหงส์–คลองแห–ทุ่งตำเสา–คลองหวะ) กลายเป็นศูนย์กลางวิกฤตที่รุนแรงที่สุด ระดับน้ำท่วมขังสูงหลายเมตร บางพื้นที่มีระดับน้ำลดช้ากว่าพื้นอื่นอย่างมากเพราะเป็นแอ่งรับน้ำจากคลองอู่ตะเภาและเขาคอหงส์ บวกกับฝนสะสม 630 มม. ภายใน 3 วัน สร้างภาวะ “เมืองจมน้ำ” ต่อเนื่องยาวนานกว่า 8 วัน
สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้โดดเด่น ไม่ใช่เพียงความเสียหายเชิงกายภาพ แต่คือปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น ความขาดแคลน ยุทธศาสตร์การเอาตัวรอด การช่วยเหลือกันในชุมชน การดราม่าระหว่างผู้ประสบภัยและหน่วยกู้ภัย ไปจนถึงกรณีรุนแรงอย่างการใช้อาวุธปืนยิงขู่เรือกู้ภัยแม้มีเด็กเล็กอยู่ในเรือ ซึ่งสะท้อนโครงสร้างวัฒนธรรมของ “วิถีชนใต้” ในบริบทเมืองใหญ่
2. บริบทพื้นที่: เขต 8 ในฐานะพื้นที่ชายขอบของความเป็นเมือง
เขต 8 เป็นพื้นที่ “เมืองกำลังขยาย” (urbanizing zone) ที่ผสานระหว่างศูนย์เศรษฐกิจกับชุมชนเก่า มีลักษณะเด่นคือ
-
ความหนาแน่นของประชากรสูง
-
เครือญาติอยู่ใกล้กัน แต่มีคนอพยพเข้ามาอาศัยเพิ่ม
-
ความเหลื่อมล้ำภายในพื้นที่สูง
-
โครงสร้างพื้นฐานเมืองไม่สอดรับการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเมืองขยายโดยไม่ปรับระบบระบายน้ำและโครงข่ายสาธารณูปโภคให้ทันกับประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็น “คอขวดทางภัยพิบัติ” ที่รุนแรงที่สุดในปี 2568
ระบบไฟฟ้าและสัญญาณสื่อสารล่มในหลายช่วง ส่งผลให้การประสานงานล่าช้า และประชาชนบางส่วนรู้สึกถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นปัจจัยที่เร่งความวิตกกังวลและความคับข้องใจทางสังคม
3. วิถีการเอาตัวรอด: การฟื้นตัวของชุมชนดั้งเดิมท่ามกลางความล่มสลาย
3.1 การพึ่งพาตนเอง–เครือญาติ–เพื่อนบ้าน
เมื่อน้ำเริ่มท่วมอย่างฉับพลันและความช่วยเหลือภายนอกยังไม่เข้าถึง ชาวบ้านในเขต 8 ใช้เครือข่ายดั้งเดิมเป็นแหล่งทรัพยากรหลัก เช่น
-
การช่วยพาผู้สูงอายุ–ผู้ป่วยติดเตียงอพยพ
-
การแบ่งปันอาหาร น้ำดื่ม ไฟฉาย
-
การใช้เรือยาง–เรือโฟมทำเองเพื่อขนเสบียง
-
กลุ่มไลน์หมู่บ้านกลับมามีบทบาทสำคัญ
นี่คือ “ทุนทางสังคม (social capital)” ที่ยังแข็งแรงแม้พื้นที่กำลังกลายเป็นเมือง
3.2 การจัดการทรัพย์สินจากประสบการณ์น้ำท่วมซ้ำซาก
คนหาดใหญ่มีประสบการณ์น้ำท่วมหลายครั้ง ทำให้เกิด “พฤติกรรมเชิงวัฒนธรรมของการป้องกันทรัพย์สิน” เช่น
-
การยกของขึ้นที่สูงทันทีเมื่อได้ยินข่าว
-
การเตรียมรถยนต์ไว้ในจุดสูงอย่างวัด–โรงเรียน
-
ผู้ประกอบการย้ายของมีค่าอย่างเป็นระบบ
สิ่งนี้สะท้อน “วัฒนธรรมภัยพิบัติ” ที่สั่งสมมานานในเมืองนี้
4. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในภาวะวิกฤต: จากการร่วมแรงถึงการปะทุของความรุนแรง
4.1 ความตึงเครียดในการเข้าถึงความช่วยเหลือ
รายงานหลายกรณีชี้ว่าในเขต 8 เกิด “ความเครียดสังคม” (social stress) สูงมาก เนื่องจาก
-
ความหิวโหย–ขาดอาหารนานหลายวัน
-
ความช่วยเหลือล่าช้าหรือไม่ทั่วถึง
-
ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
-
การสื่อสารล่มท�ำให้ขอความช่วยเหลือไม่ได้
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ด่าทอ ขว้างปาขวด หรือแม้แต่ยิงขู่ทีมกู้ภัย
ภาวะนี้สะท้อน “การทำลายความเชื่อมั่นต่อรัฐ” และแรงกดดันทางจิตใจที่สะสมจนระเบิดออกในรูปของพฤติกรรมรุนแรง
4.2 บทบาทของจิตอาสา–มูลนิธิ–เครือข่ายภาคประชาชน
ในสถานการณ์ที่รัฐขาดกำลังและการบริหารจัดการติดขัด เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามาเป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือ เช่น
-
มูลนิธิกู้ภัยจำนวนมากลงพื้นที่ต่อเนื่อง
-
ชาวบ้านร่วมกันเป็น “หน่วยกู้ภัยชุมชน”
-
การจัดเสบียง–ทุ่น–เรือแบบเร่งด่วนโดยภาคเอกชน
สะท้อนปรากฏการณ์ “การรวมตัวฉับพลันของสังคมท้องถิ่น” (spontaneous community mobilization)
5. การถอดรหัสวัฒนธรรมชายใต้: จาก “ไอ้บ่าวเรามันหรอย” สู่พฤติกรรม “ไม่รู้หวัน”
ส่วนนี้วิเคราะห์ปรากฏการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างน้ำท่วม โดยใช้กรอบวัฒนธรรมใต้เป็นฐาน
5.1 วาทกรรม “ไอ้บ่าวเรามันหรอย”: การอวยที่ผลิตตัวตนแบบเหนือเหตุผล
วลีนี้สะท้อนการเลี้ยงดูแบบยกย่องลูกชายจนเกินพอดี
งานศึกษาในภาคใต้พบว่า การอวยลักษณะนี้
-
สร้างตัวตนแบบ “เก่งโดยไม่ต้องรับผิดชอบ”
-
ทำให้ไม่ถูกสอนเรื่องขอบเขตสังคม (ไม่รู้หวัน)
-
เป็นรากฐานให้เกิดการใช้ความรุนแรงในภาวะกดดัน
**5.2 วิกฤตศักดิ์ศรีในน้ำท่วม”
งานวิจัย (Kasetchai & Dolmanach, 2555) ชี้ว่า เยาวชนชายใต้ใช้ความรุนแรงเมื่อรู้สึกเสียหน้า
กรณีชายยิงเรือกู้ภัยสามารถตีความได้ว่าเป็นการ
-
รู้สึกถูกทอดทิ้ง
-
รู้สึกไม่มีค่า
-
รู้สึกเสียศักดิ์ศรีเมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ปืนจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือ “กู้หน้า” ในทางสังคม
ไม่ใช่เพราะความโหดเหี้ยม แต่เพราะ “ค่านิยมศักดิ์ศรีแบบชายใต้” ในภาวะไร้ทางออก
5.3 รูปแบบการเลี้ยงดูที่เสี่ยงต่อการสร้างพฤติกรรมรุนแรง
งานของสุชาวดี พงศ์ธนวิสุทธิ์ (2559) พบว่า รูปแบบการเลี้ยงดูที่ประกอบด้วย
-
รักตามใจ
-
ปล่อยปละละเลย
-
ใช้อำนาจควบคุม
คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อพฤติกรรมก้าวร้าวและการใช้กำลัง
เมื่อสิ่งนี้ผสานกับวัฒนธรรม “ศักดิ์ศรี–ไม่ยอมคน–เก่งแต่ปาก” จึงนำไปสู่ความรุนแรงง่ายกว่าปกติในภาวะวิกฤตสูง
6. บทสรุป: 8 วันมหาวิปโยค—บทเรียนเพื่ออนาคต
เหตุการณ์น้ำท่วมเขต 8 ปี 2568 คือกรณีศึกษาสำคัญของเมืองไทยยุคสภาพอากาศสุดขั้ว
ข้อค้นพบสำคัญ ได้แก่
6.1 ด้านชุมชน
-
ชุมชนยังเข้มแข็งและช่วยเหลือกันได้ดี
-
ทุนทางสังคมดั้งเดิมยังทำงานได้ในภาวะวิกฤต
6.2 ด้านโครงสร้างเมือง
-
ระบบระบายน้ำและระบบสื่อสารล้มเหลว
-
เมืองขยายเร็วเกินกว่าระบบย่อยจะรองรับได้
-
การช่วยเหลือไม่สมดุลนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างรัฐ–ประชาชน
6.3 ด้านวัฒนธรรม
-
วัฒนธรรมชายใต้แบบ “อวยเกินจริง” คือความเสี่ยง
-
ศักดิ์ศรีเป็นปัจจัยกระตุ้นความรุนแรงในภาวะเครียดสูง
-
การเลี้ยงดูจำเป็นต้องปรับใหม่ในยุคเมือง–ภัยพิบัติร่วมสมัย
7. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
(1) โครงสร้างพื้นฐานสิ่งแวดล้อมเมือง
-
เพิ่มระบบระบายน้ำความจุสูง
-
สร้างพื้นที่รับน้ำชั่วคราว (retention zone)
-
ใช้ระบบเตือนภัยแบบ real-time
(2) การบริหารจัดการภัยพิบัติ
-
ระบบสื่อสารสำรองในพื้นที่เสี่ยง
-
การจัดเสบียงอย่างทันเวลา
-
การกระจายความช่วยเหลือที่เป็นธรรม
(3) การเยียวยาสังคม–จิตวิทยา
-
ทีมจิตอาสาฟื้นฟูสุขภาพจิตหลังภัยพิบัติ
-
ลดตราบาปต่อผู้ประสบภัยที่มีพฤติกรรมรุนแรง
-
การเสริมสร้างความเข้าใจด้านอารมณ์และการจัดการความเครียด
(4) การปรับวัฒนธรรมครอบครัว
-
ส่งเสริมการเลี้ยงดูแบบรับผิดชอบ
-
ลดการอวยเด็กแบบไม่สร้างขอบเขต
-
ปรับความหมายของ “หรอย” ให้หมายถึง “เก่งอย่างมีความรับผิดชอบ”
บทส่งท้าย
“หาด 8 วันมหาวิปโยค” เป็นมากกว่าภัยพิบัติ
มันคือแว่นขยายที่เผยให้เห็นทั้งแสงสว่างและรอยร้าวของสังคมหาดใหญ่ยุคใหม่
บทเรียนจากวิถีชนเขต 8 จะช่วยให้เมืองแห่งนี้สามารถรับมือกับอนาคตที่ท้าทายยิ่งกว่า—
จากภัยธรรมชาติไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมปักษ์ใต้และเมืองไทยโดยรวม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น