ปฏิบัติการเฉพาะกิจเรือหลวงจักรีนฤเบศรช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่-สงขลา: กรณีศึกษาการปรับบทบาทสู่ "ศูนย์บัญชาการลอยน้ำ" ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัย
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์ปฏิบัติการเฉพาะกิจของ เรือหลวงจักรีนฤเบศร ในการปรับบทบาทจากหน่วยเรือเตรียมพร้อมด้านความมั่นคง สู่ "หน่วยเรือบรรเทาสาธารณภัยเต็มรูปแบบ" และ "กองบัญชาการลอยน้ำ (บก.ลอยน้ำ)" เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยรุนแรงในพื้นที่จังหวัดสงขลาและหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 การวิเคราะห์มุ่งเน้นกลไกการตัดสินใจปรับภารกิจอย่างเร่งด่วน โครงสร้างการสนับสนุนทรัพยากร (กำลังพล, เฮลิคอปเตอร์, เรือยาง) และการดำเนินการตามภารกิจหลัก 3 ประการ เพื่อประเมินถึงประสิทธิภาพและบทบาทเชิงกลยุทธ์ของกองทัพเรือในการจัดการภัยพิบัติ (Disaster Management) ของประเทศ
1. บทนำ: ภัยพิบัติกับการปรับบทบาททางยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ
อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดซ้ำซาก การตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ที่รุนแรงและฉับพลันเช่นนี้เรียกร้องให้หน่วยงานความมั่นคงต้องปรับเปลี่ยนบทบาททางยุทธศาสตร์จากภารกิจหลัก (ความมั่นคง) สู่ภารกิจรอง (การช่วยเหลือประชาชน) อย่างเร่งด่วน
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่ ได้ทวีความรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงของหน่วยงานภาคพื้นดิน ทำให้ กองทัพเรือ (ทร.) ตัดสินใจสั่งการให้ เรือหลวงจักรีนฤเบศร ซึ่งเป็นเรือธงและมีขีดความสามารถสูงในการปฏิบัติการทางอากาศและทางทะเล เข้าปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรขนาดใหญ่เพื่อการกู้ภัย
2. การตัดสินใจปรับภารกิจสู่ "บก.ลอยน้ำ"
2.1 กลไกการสั่งการเร่งด่วน
พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเมื่อประเมินว่าสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น ได้สั่งให้ กองเรือยุทธการ จัดกำลังเสริมเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน การสั่งการนี้แสดงให้เห็นถึง ความยืดหยุ่นในการบัญชาการ (Command Flexibility) และความพร้อมในการเปลี่ยนลำดับความสำคัญของภารกิจ โดยเปลี่ยนเรือหลวงจักรีนฤเบศรจาก "หน่วยเรือเตรียมพร้อมลาดตระเวนชายแดน" สู่ "หน่วยเรือบรรเทาสาธารณภัยเต็มรูปแบบ"
2.2 บทบาทของ "กองบัญชาการลอยน้ำ (บก.ลอยน้ำ)"
การกำหนดให้เรือหลวงจักรีนฤเบศรทำหน้าที่เป็น "บก.ลอยน้ำ" (ศูนย์บัญชาการ From the Sea) เป็นการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะเฉพาะของเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ (Helicopter Carrier) ซึ่งมีจุดเด่นดังนี้:
แพลตฟอร์มอากาศยาน: รองรับเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำสำหรับการเข้าถึงพื้นที่ถูกตัดขาดและการลาดตระเวน
ศูนย์รวมกำลังพล: รองรับชุดปฏิบัติการพิเศษและกำลังพลจำนวนมาก
คลังยุทธปัจจัย: สามารถบรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ อาหาร น้ำดื่ม ในปริมาณมากเพื่อกระจายสู่พื้นที่ประสบภัย
3. โครงสร้างและทรัพยากรในการปฏิบัติการ
ปฏิบัติการเฉพาะกิจนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยทรัพยากรสำคัญเพื่อตอบสนองต่อพื้นที่เข้าถึงยาก:
| ทรัพยากร | บทบาทในการกู้ภัย |
| กำลังพล | ชุดปฏิบัติการพิเศษสำหรับอพยพและให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้า |
| เรือยาง (Inflatable Boats) | ใช้เข้าถึงพื้นที่น้ำท่วมขังและกระแสน้ำเชี่ยวที่เรือขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง |
| เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ | การลำเลียงทางอากาศ (Air Lift), การลาดตระเวนประเมินสถานการณ์ (Aerial Reconnaissance), การอพยพทางอากาศในกรณีฉุกเฉิน |
| สิ่งของบรรเทาทุกข์ | อาหาร, น้ำดื่ม, ผ้าอนามัย, ยารักษาโรค, ของใช้ประจำวัน เพื่อให้ความช่วยเหลือทันที |
การจัดกำลังแบบครบวงจรนี้สะท้อนถึงหลักการ การสนับสนุนการปฏิบัติการร่วม (Joint Operations Support) โดยใช้ศักยภาพทางทะเลและทางอากาศผสมผสานกัน
4. การวิเคราะห์ภารกิจเร่งด่วน 3 ประการ
กองทัพเรือได้กำหนดภารกิจเร่งด่วน 3 ประการ ซึ่งสอดคล้องกับวงจรการจัดการภัยพิบัติ (Disaster Cycle) ในระยะตอบสนอง (Response Phase):
ลำเลียงอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของบรรเทาทุกข์: เป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัยในพื้นที่ถูกตัดขาด เป็นการป้องกันภาวะขาดแคลนและรักษาเสถียรภาพทางสังคมในระยะแรก
อพยพ–เคลื่อนย้ายประชาชน: การนำประชาชนออกจากจุดเสี่ยงอันตราย เน้นความปลอดภัยสูงสุด โดยใช้เรือยางและเฮลิคอปเตอร์เป็นเครื่องมือหลัก
สนับสนุนการฟื้นฟูเบื้องต้น และตรวจประเมินความเสียหาย: เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ระยะฟื้นฟู (Recovery Phase) ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อวางแผนการช่วยเหลือในระยะถัดไปอย่างมีข้อมูล
นอกจากนี้ การเปิดรับบริจาคจากสาธารณชน ณ กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ยังเป็นกลไกสำคัญในการระดมทรัพยากรจากภาคพลเรือนเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการขนาดใหญ่ให้ยั่งยืน
5. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
ปฏิบัติการเฉพาะกิจของเรือหลวงจักรีนฤเบศรช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่-สงขลา เป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึง ความสามารถในการปรับตัวและการใช้ทรัพยากรทางทหารเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านมนุษยธรรม ของกองทัพเรือไทย การปรับบทบาทสู่ "บก.ลอยน้ำ" ทำให้การบริหารจัดการการช่วยเหลือและการกระจายทรัพยากรในพื้นที่ที่เข้าถึงยากมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ควรมีการทบทวนและพัฒนาขีดความสามารถของเรือหลวงจักรีนฤเบศรและกองเรือยุทธการให้มีชุดปฏิบัติการและยุทธปัจจัยสำหรับภารกิจบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะมากขึ้น เพื่อลดระยะเวลาในการเปลี่ยนภารกิจ (Mission Reconfiguration Time) และสร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบกับองค์กรภาคประชาสังคมในการรับและจัดการสิ่งของบริจาคในภาวะวิกฤต
วิเคราะห์ปฏิบัติการเฉพาะกิจเรือหลวงจักรีนฤเบศรา ช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่–สงขลา
บทความทางวิชาการ
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์ปฏิบัติการเฉพาะกิจของ เรือหลวงจักรีนฤเบศรา ในฐานะทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือไทยที่ถูกปรับบทบาทจากภารกิจด้านความมั่นคงสู่การบรรเทาสาธารณภัย เพื่อช่วยเหลือสถานการณ์อุทกภัยรุนแรงในจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 24–25 พฤศจิกายน 2568 โดยประเมินความเหมาะสมของยุทธศาสตร์ “บก.ลอยน้ำ” (Floating Command Center) การสนับสนุนด้านลำเลียง การอพยพ และการฟื้นฟูเบื้องต้น ตลอดจนศึกษาบทบาททางนโยบายของกองทัพเรือ การบูรณาการกำลังรบ–กำลังพล–เทคโนโลยี ในบริบทภัยพิบัติที่มีความซับซ้อนสูง บทความสรุปว่า การใช้ยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่น เรือบรรทุกอากาศยาน มีประสิทธิภาพอย่างโดดเด่นต่อการเข้าถึงพื้นที่ทุรกันดารและการบัญชาการเหตุการณ์ขนาดใหญ่ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุน–ความคล่องตัว และการประสานงานภาคประชาชนซึ่งควรพัฒนาในอนาคต
1. บทนำ
อุทกภัยภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำหาดใหญ่–สงขลา เป็นภัยพิบัติซ้ำซากที่เกิดจากภูมิประเทศแบบแอ่งกระทะ ระบบระบายน้ำจำกัด และฝนตกหนักตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ส่งผลให้หลายพื้นที่ถูกตัดขาด การสื่อสารถูกจำกัด และมีผู้ประสบภัยจำนวนมาก
กองทัพเรือในฐานะหน่วยงานความมั่นคงทางทะเลที่มีขีดความสามารถด้านลำเลียงและการช่วยเหลือพื้นที่ยากเข้าถึง จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนรัฐบาล โดยได้สั่งเปลี่ยนภารกิจ เรือหลวงจักรีนฤเบศรา จากกำลังเตรียมพร้อมลาดตระเวนชายแดนสู่ “หน่วยเรือบรรเทาสาธารณภัย” อย่างเต็มรูปแบบ
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสนใจในวงวิชาการด้านความมั่นคงและสาธารณภัย เนื่องจากเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญของการใช้ยุทโธปกรณ์ระดับยุทธศาสตร์ของประเทศในภารกิจช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน
2. กรอบแนวคิดการวิเคราะห์
บทความนี้ใช้กรอบวิเคราะห์ 3 มิติ เพื่อประเมินปฏิบัติการของกองทัพเรือ ได้แก่
2.1 Military Operations Other Than War (MOOTW)
หมายถึงภารกิจของกองทัพที่ไม่ใช่สงคราม เช่น ช่วยเหลือภัยพิบัติ การอพยพพลเรือน การส่งกำลังบำรุง
2.2 ระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System – ICS)
ประเมินบทบาท “บก.ลอยน้ำ” ต่อการสั่งการ การประสานงาน และการเชื่อมโยงหน่วยงาน
2.3 Disaster Logistics and Humanitarian Supply Chain
วิเคราะห์ประสิทธิภาพด้านขนส่ง ลำเลียง และการเข้าถึงพื้นที่เสี่ยง
กรอบคิดเหล่านี้ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ของปฏิบัติการทั้งด้านยุทธศาสตร์และผลกระทบต่อประชาชน
3. ลักษณะปฏิบัติการเฉพาะกิจของเรือหลวงจักรีนฤเบศรา
3.1 การเปลี่ยนภารกิจอย่างรวดเร็ว
รายงานระบุว่าเรือหลวงจักรีนฤเบศราได้รับคำสั่งเปลี่ยนภารกิจกลางดึกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 จากภารกิจเตรียมพร้อมด้านความมั่นคงสู่การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยในจังหวัดสงขลา การเปลี่ยนภารกิจในเวลาอันสั้นสะท้อน 3 ประเด็นสำคัญ:
-
ความพร้อมรบของกองเรือยุทธการ
-
ความยืดหยุ่นของยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่
-
โครงสร้างการสั่งการที่ชัดเจนจาก ผบ.ทร. และผู้บังคับบัญชาระดับยุทธการ
3.2 บทบาท “บก.ลอยน้ำ” (Floating Command Center)
เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีคุณลักษณะเหมาะสมต่อการทำหน้าที่ศูนย์บัญชาการกลาง ได้แก่
-
ระบบสื่อสารทางทะเล–อากาศขั้นสูง
-
ความสามารถรองรับกำลังพลจำนวนมาก
-
การจัดตั้งฐานเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการ (2 ลำ)
-
ระบบผลิตน้ำดื่ม–ไฟฟ้าในตัว
-
พื้นที่ปฏิบัติการโลจิสติกส์ขนาดใหญ่
บทบาทนี้ช่วยให้การบัญชาการในพื้นที่ที่ถูกตัดการสื่อสารบนฝั่งสามารถดำเนินได้ต่อเนื่อง
3.3 การส่งกำลังทางอากาศ–ทะเลและกำลังพล
ภารกิจประกอบด้วย
-
เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำสำหรับส่งเวชภัณฑ์–อาหาร
-
เรือยางสำหรับเข้าถึงชุมชนที่น้ำไหลแรง
-
ชุดปฏิบัติการพิเศษช่วยอพยพผู้ติดค้าง
-
กำลังพลหน่วยทหารเรือในสงขลา สตูล นราธิวาส และสุราษฎร์ธานี
การบูรณาการกำลังหลากหลายแสดงถึงขีดความสามารถทางทหารที่แตกต่างจากหน่วยงานพลเรือน
4. ภารกิจเร่งด่วน 3 ด้านในการบรรเทาสาธารณภัย
ตามคำสั่งกองทัพเรือ เป้าหมายหลักของปฏิบัติการคือ
4.1 การลำเลียงอาหาร–น้ำดื่ม–ของจำเป็น
ลำเลียงไปยังพื้นที่ที่ถูกตัดขาด โดยใช้ช่องทางลำน้ำ ลำคลอง และเส้นทางอากาศ ซึ่งปกติยานพาหนะภาคพื้นดินเข้าไม่ถึง
4.2 การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง
กำลังพลหน่วยพิเศษและเรือยางถูกใช้เพื่อเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยจากจุดอันตราย
4.3 การฟื้นฟูเบื้องต้น
เช่น
-
ประเมินความเสียหาย
-
ซ่อมแซมไฟฟ้าเบื้องต้น
-
เคลียร์เส้นทาง
-
สนับสนุนการทำงานของหน่วยท้องถิ่น
ภารกิจเหล่านี้สะท้อนแนวคิด MOOTW อย่างชัดเจน
5. บทบาทด้านโลจิสติกส์และเครือข่ายภาคประชาชน
5.1 การบรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์เต็มลำ
เรือได้นำสิ่งของอาหาร ยา ผ้าอนามัย และวัสดุจำเป็นไปตั้งแต่ต้น เพื่อกระจายอย่างรวดเร็วทันทีที่ถึงจุดปฏิบัติการ
5.2 การเปิดรับบริจาค
กรมกิจการพลเรือนทหารเรือทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงานระหว่างประชาชน–มูลนิธิ–องค์กรภาคเอกชน ช่วยขยายช่องทางทรัพยากร
บทบาทนี้สะท้อน “Civil–Military Cooperation (CIMIC)” ซึ่งช่วยลดภาระรัฐและเพิ่มความรวดเร็วของการช่วยเหลือ
6. การประเมินประสิทธิภาพของปฏิบัติการ
6.1 จุดแข็ง
-
ขีดความสามารถในการบัญชาการสูงมาก
ระบบสื่อสารถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ -
เข้าถึงพื้นที่ที่ยานพาหนะทั่วไปเข้าไม่ได้
โดยเฉพาะเฮลิคอปเตอร์และเรือยาง -
การบูรณาการกำลังพลหลายจังหวัด
ช่วยเพิ่มความครอบคลุมของพื้นที่ปฏิบัติการ -
ภาพลักษณ์ “กองทัพช่วยประชาชน”
ส่งผลทางสังคมในด้านบวกและสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐในช่วงวิกฤต
6.2 ข้อจำกัด
-
ต้นทุนการปฏิบัติการสูง
เรือหลวงจักรีนฤเบศราเป็นยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ ใช้งบประมาณเชื้อเพลิง–บุคลากรจำนวนมาก -
ความคล่องตัวในพื้นที่แคบจำกัด
จำเป็นต้องจอดในทะเลหรืออ่าวใหญ่ และส่งกำลังต่อด้วยเรือเล็ก -
ต้องพึ่งพาการประสานงานกับหน่วยท้องถิ่น
ในบางกรณีความล่าช้าของข้อมูลพื้นที่จำกัดประสิทธิภาพการช่วยเหลือ -
ยังต้องพัฒนาเครือข่ายข้อมูลภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
เพื่อเพิ่มความแม่นยำของการอพยพและการจัดสรรทรัพยากร
7. บทสรุป
ปฏิบัติการเฉพาะกิจของ เรือหลวงจักรีนฤเบศรา ในเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่–สงขลา ปี 2568 เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนศักยภาพของกองทัพเรือไทยในการใช้ยุทโธปกรณ์ยุทธศาสตร์เพื่อบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึง
-
ความสามารถของ “บก.ลอยน้ำ” ในการบัญชาการเหตุการณ์
-
ประสิทธิภาพของการลำเลียงผ่านทะเลและอากาศ
-
ความร่วมมือระหว่างกองทัพ–ประชาชน–ท้องถิ่น
-
ความสำคัญของการเตรียมพร้อมและความยืดหยุ่นของกำลังทหาร
แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการประสานงาน แต่ภาพรวมของปฏิบัติการถือว่าประสบความสำเร็จและมีคุณค่าเชิงนโยบาย ทั้งในมุมของการเตรียมความพร้อมของรัฐ และการใช้กำลังทางทหารในบทบาทสันติภาพและมนุษยธรรม (Humanitarian Assistance and Disaster Relief – HADR)
การพัฒนาในอนาคตควรมุ่งสู่การบูรณาการข้อมูลอุทกภัย การสร้างทีมประสานงานข้ามหน่วยงาน รวมทั้งการเสริมเครือข่ายโลจิสติกส์พลเรือน เพื่อให้เรือหลวงจักรีนฤเบศราและเรือรบไทยอื่น ๆ สามารถตอบสนองภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น