วิเคราะห์กระบวนการผลิต–ใช้ถ่านชีวภาพไบโอชาร์เป็นฐานการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ
บทนำ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน การพัฒนา “เมืองคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon City)” จึงเป็นแนวทางเชิงนโยบายที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างหมุนเวียน การลดของเสีย และการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สามารถสนับสนุนกระบวนการดังกล่าวได้คือ “ถ่านชีวภาพ (Biochar)” ซึ่งผลิตจากชีวมวลเหลือใช้ทางการเกษตร ผ่านกระบวนการไพโรไลซิสแบบอุณหภูมิต่ำจนได้วัสดุคาร์บอนเสถียรที่สามารถกักเก็บคาร์บอนในดินได้ระยะยาว
บทความนี้วิเคราะห์บทบาทของไบโอชาร์ทั้งในมิติของเกษตรกรรม ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ต้นทุน-ผลตอบแทน และศักยภาพต่อการวางรากฐานเมืองคาร์บอนต่ำ โดยอ้างอิงผลการดำเนินงานของกรมส่งเสริมการเกษตรที่พบว่า การผลิตและใช้ไบโอชาร์สามารถเปลี่ยนเศษวัสดุเหลือทิ้งให้เกิดประโยชน์ ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร พร้อมทั้งวิเคราะห์เชิงนโยบายเพื่อการขยายผลสู่ระบบเมืองอย่างเป็นรูปธรรม
1. ไบโอชาร์: วัสดุคาร์บอนเสถียรเพื่อการจัดการดิน–น้ำ–ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
จากโครงการศึกษาการจัดการดิน ปุ๋ย และน้ำของกรมส่งเสริมการเกษตรในปี 2564 ซึ่งดำเนินการใน 10 จังหวัด พบว่า การใช้ไบโอชาร์ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน ก่อให้เกิดผลดีหลายด้าน ได้แก่
-
ลดปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตไบโอชาร์
-
เพิ่มความสามารถเกษตรกรในการวางแผนจัดการดิน ปุ๋ย และน้ำ
-
เสริมความอุดมสมบูรณ์ของดินผ่านโครงสร้างรูพรุน เพิ่มจุลินทรีย์ และลดความเป็นกรด
-
กักเก็บน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น ลดปริมาณการให้น้ำและปุ๋ย
-
ลดต้นทุนการผลิต ลงได้ 500–1,800 บาท/ไร่/ปี
-
ลดค่าใช้จ่ายค่าสูบน้ำ 300–400 บาท/เดือน
การใช้ไบโอชาร์จึงไม่ใช่เพียงการปรับปรุงคุณภาพดิน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรสำคัญของเมืองไทย
2. กระบวนการผลิตถ่านชีวภาพ: เทคโนโลยีที่ทำได้ในระดับชุมชน
ขั้นตอนการผลิตไบโอชาร์ที่กรมส่งเสริมการเกษตรถ่ายทอดให้เกษตรกรเน้นความง่าย ประหยัด และสามารถทำได้เองในพื้นที่เพาะปลูก สรุปได้ดังนี้ (ย่อและเรียบเรียงในเชิงวิชาการ):
-
เตรียมวัสดุชีวมวลให้แห้งและมีความชื้นต่ำ
-
ตัดวัตถุดิบให้ได้ขนาดเหมาะสมตามความสูงของถังและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
-
ตั้งถังเผาให้สูงจากพื้นประมาณ 3 ซม. เพื่อการไหลเวียนของความร้อน
-
บรรจุวัสดุชีวมวลภายในถัง
-
ใส่เชื้อเพลิงล้อมรอบถังในอัตราส่วน เชื้อเพลิง : วัสดุ = 1 : 1
-
จุดไฟให้เชื้อเพลิงติดทั่ว ใช้เวลาประมาณ 10–15 นาที
-
ปิดฝาก่อนเผา และควบคุมการไหลเวียนอากาศเพื่อลดความเสี่ยงไฟดับ
-
เผานาน 4–6 ชั่วโมง แล้วปล่อยให้เตาเย็น
-
ได้ถ่านชีวภาพประมาณหนึ่งในสามของน้ำหนักวัตถุดิบ
-
บดย่อยให้ได้ขนาด 3–5 มิลลิเมตร เพื่อให้ผสมคลุกเคล้ากับดินได้ดี
อัตราการใช้ในแปลงเกษตรคือ ประมาณ 2 ตันต่อไร่ ซึ่งเป็นปริมาณที่สามารถผลิตได้เองในระดับครัวเรือนหรือชุมชนโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องจักรราคาแพง
3. ไบโอชาร์กับการสร้างฐานข้อมูลคาร์บอน: จากแปลงเกษตรสู่เมืองคาร์บอนต่ำ
ไบโอชาร์มีความโดดเด่นเชิงนโยบายด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ดังนี้:
-
กักเก็บคาร์บอนระยะยาว (Carbon Sequestration)
โครงสร้างคาร์บอนของไบโอชาร์มีความเสถียรสูง สามารถฝังคาร์บอนลงดินได้นานหลายร้อยปี -
ป้องกันการปล่อย CO₂ จากการเผาเศษวัสดุเกษตร
หากเศษไม้ เศษพืช ถูกเผากลางแจ้ง จะปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศทันที การแปรรูปเป็นไบโอชาร์ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรง -
สนับสนุนระบบเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)
ไบโอชาร์ช่วยให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็นและลดรอยเท้าคาร์บอนของผลิตผล
ดังนั้น ไบโอชาร์จึงมีศักยภาพถูกนำไปบูรณาการกับระบบเมือง เช่น
-
การจัดการของเสียอินทรีย์ในตลาดสด
-
การวิเคราะห์รอยเท้าคาร์บอนของเมือง (Urban Carbon Footprint)
-
การสร้างระบบธนาคารคาร์บอนในชุมชน (Community Carbon Bank)
-
การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภาคเกษตร (Agri-Carbon Credit)
4. ศักยภาพของไบโอชาร์ต่อ “เมืองคาร์บอนต่ำ”: มุมมองเชิงระบบ
4.1 การจัดการทรัพยากรแบบหมุนเวียน (Circular Resource Management)
ไบโอชาร์ช่วยเปลี่ยนเศษวัสดุการเกษตรในชุมชนเมือง เช่น เศษไม้ เศษผลไม้ เศษพืชผักและหญ้า ให้กลับมาเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่า สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (CE) ในระดับเมือง
4.2 ลดต้นทุนการจัดการของเสียและลดภาระเทศบาล
การนำเศษวัสดุจากตลาดหรือพื้นที่สีเขียวมาผลิตไบโอชาร์สามารถลดต้นทุนการขนขยะ ลดพื้นที่ฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายขยะอินทรีย์
4.3 การเพิ่มพื้นที่สีเขียวและคุณภาพดินในเมือง
ไบโอชาร์สามารถใช้ปรับปรุงสวนสาธารณะ สวนชุมชน และการปลูกต้นไม้ริมถนน เพื่อเพิ่มอัตราการรอดของต้นไม้ ลดต้นทุนการรดน้ำ และเพิ่มคุณภาพสิ่งแวดล้อม
4.4 เสริมระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นจากการผลิตเชิงชุมชน
การผลิตไบโอชาร์ในชุมชนสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ และต่อยอดสู่ธุรกิจสีเขียว เช่น
-
ผลิตไบโอชาร์ขายให้เกษตรกรเมือง (Urban Farmers)
-
ผลิตปุ๋ยผสมไบโอชาร์เชิงพาณิชย์
-
พัฒนาโรงผลิตไบโอชาร์ระดับตำบล/เทศบาล
5. สรุปเชิงนโยบาย: แนวทางขยายผลสู่เมืองคาร์บอนต่ำ
-
จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ไบโอชาร์ระดับอำเภอ/เทศบาล
เพื่อขยายผลจากกลุ่มต้นแบบ 10 จังหวัด และนำไปสู่พื้นที่เมือง -
สร้างระบบธนาคารคาร์บอนชุมชน
ให้เกษตรกร–ชุมชนสามารถบันทึกและขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการผลิต–ใช้ไบโอชาร์ -
สนับสนุนเครื่องมือผลิตไบโอชาร์ขนาดเล็ก
เช่นเตาเผาแบบปล่องในราคาประหยัด เพื่อให้เข้าถึงง่ายในระดับครัวเรือนและกลุ่มอาชีพ -
พัฒนาโมเดลการจัดการของเสียในตลาด–สวนสาธารณะ
เปลี่ยนขยะอินทรีย์ของเทศบาลเป็นวัตถุดิบผลิตไบโอชาร์ -
บูรณาการไบโอชาร์ในโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของเมือง
เพื่อเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนและลดต้นทุนการดูแลรักษา
บทสรุป
ไบโอชาร์ไม่ใช่เพียง “ถ่านชีวภาพเพื่อการเกษตร” แต่เป็นเทคโนโลยีเชิงระบบที่ผสานประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผลักดันการผลิต–ใช้ไบโอชาร์ในระดับเกษตรกรจนถึงระดับเมืองสามารถวางรากฐานสำคัญสู่การสร้างเมืองคาร์บอนต่ำ โดยช่วยลดของเสีย เพิ่มมูลค่าทรัพยากร เสริมความมั่นคงอาหาร และกักเก็บคาร์บอนระยะยาวได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไบโอชาร์จึงนับเป็นหนึ่งใน “เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่าน (Transition Technology)” ที่ช่วยตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยในยุคเศรษฐกิจสีเขียวและเมืองคาร์บอนต่ำได้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น