ต่อมาได้ทราบข้อมูลจากเว็บไซต์ Themetter ได้รายงานว่า มหาวิทยาลัยเกียวโตได้สร้าง AI ‘บุดดาห์บอท’ ที่สามารถแชทกับพระพุทธเจ้าผ่านมือถือได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยคณะนักวิจัยญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยเกียวโตพัฒนา AI ‘บุดดาห์บอท’ สำเร็จครั้งแรกเมื่อ เม.ย. ปีที่แล้ว และเพิ่งพัฒนาเวอร์ชันล่าสุดสำเร็จเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้ป้อนข้อมูลเนื้อหาเกี่ยวกับพระไตรปิฎกเข้าไป
โปรแกรมบุดดาห์บอทเป็นการผสมผสานระหว่างระบบ AI บุดดาห์บอท เข้ากับเทคโนโลยีความจริงเสมือน (AR) ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพของพระพุทธเจ้าโดยมีภาพพื้นหลังเป็นสถานที่จริงที่ผู้ใช้งานอยู่ และสามารถตอบคำถามข้อสงสัยและคลายความกังวลของผู้ใช้งานได้แบบอัตโนมัติ
AI บุดดาห์บอทสามารถตอบได้มากกว่า 1,000 คำตอบ ซึ่งคำตอบจะขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่ผู้ใช้เลือกมาพูดคุย และปรึกษา บุดดาห์บอทมีหน้าตาเหมือนช่องแชททั่วไปที่สามารถป้อนข้อความด้วยการพิมพ์หรืออัดเสียงก็ได้ ให้ความรู้สึกราวกับว่าได้แชทกับพระพุทธเจ้าในชีวิตจริง
ขณะนี้ AI บุดดาห์บอทเวอร์ชันล่าสุดจะให้บริกาเพียงโอกาสพิเศษเท่านั้น อย่างไรก็ดีคณะนักวิจัยวางแผนว่าจะเปิดตัวระบบ AI บุดดาห์บอทนี้สู่สาธารณะในภายหลัง แต่ขอพัฒนาระบบก่อน
นับเป็นหมุดหมายอันดีในการขยายช่องทางการตลาดและตอกย้ำภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยในการก้าวสู่ Global Digital Content Hub สร้างการรับรู้และแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยอย่างแพร่หลาย สิ่งสำคัญที่สุดคือศักยภาพของผู้ประกอบการไทยซึ่งมีจุดแข็งทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ งานออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ตลอดจนมีการปรับตัวนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น AI และ Metaverse ที่เป็นเทรนด์ของโลกมาเป็นผู้ช่วยในงานสร้างสรรค์ ถือเป็นแต้มต่อในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่เหนือกว่าคู่แข่ง”
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันการเข้ามาของ ChatGPT ซึ่งเป็นหุ่นยนต์แช็ตบ็อต (Al Chatbot) ที่สามารถพูดคุยกับมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เทคโนโลยี AI ไม่เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป และเป็นครั้งแรกที่มนุษย์นำเทคโนโลยี AI จากห้องปฏิบัติการมาใช้ในชีวิตประจำวัน หลายประเทศในเอเชีย เช่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เป็นประเทศระดับแนวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีสมรรถภาพและความพร้อมในการเผชิญกับพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกยุค AI สำหรับประเทศไทย ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนของสังคมต้องหันมาให้ความสนใจกับการกำหนดหา "ที่ยืนของประเทศไทยในโลกแห่งอนาคต" โดยในช่วงรอยต่อที่สำคัญหลายปีต่อจากนี้ ประเทศไทยจะต้องเร่งปูพรมพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ เพื่อให้ประชากรไทยมี Al Literacy อีกทั้งต้องปลูกฝังระบบนิเวศการศึกษาและการวิจัยด้านเทคโนโลยี AI
จากงานเสวนาวิชาการในโครงการปาฐกถาราชบัณฑิตสัญจร สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา เรื่อง "ยุคเอไอได้มาถึงแล้ว ประเทศไทยพร้อมรับมือไหม?" (Arrival of AI Era: Is Thailand Ready?) ซี่งจัดโดย ราชบัณฑิตยสภา ร่วมกับสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา เป็นประธานกล่าวเปิดงาน เพื่อระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ในประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมพัฒนาหลักสูตรในอนาคต รวมทั้งให้ผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศใช้ในการวางแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับการสร้างประชากรที่มีสมรรถนะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อตลอดแรงงานในอนาคต
ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมบูรณาการ จุฬาฯ ราชบัณฑิต กล่าวถึงการที่ประเทศไทยต้องสร้างความพร้อมในการรับมือกับ AI ว่า เนื่องจากเรากำลังเข้าสู่โลกยุค AI การนำ AI มาใช้งานนั้นเป็นประโยชน์มหาศาล และมีบทบาทต่อทุกกลุ่มวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการคำนวณ ด้านเทคโนโลยี ด้านภาษา ศิลปะ ฯลฯ ในขณะเดียวกัน AI ก็อาจมีโทษและมีข้อควรระวังในการใช้งานด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพัฒนา AI และพัฒนาคนให้รู้เรื่อง AI และห้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทย เพราะ AI จะอยู่กับเราตลอดไป หากเราไม่มีการพัฒนาคนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI เราจะตามต่างประเทศไม่ทัน ยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนา AI และปลูกฝังเรื่อง AI แก่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่เวลานี้
ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า AI เป็นหนึ่งในสามสมรรถนะที่เยาวชนจะต้องเรียนรู้นอกเหนือจากสมรรถนะทางด้านภาษาและการคำนวณ ประเทศไทยจึงควรเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนในเรื่องนี้ รวมถึงการแทรกเรื่อง AI เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอน ในอนาคตหาก AI เข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมและการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ AI จะสามารถสร้างงานได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องใช้แรงงานคน หากเราไม่มีการเตรียมคนให้มีความรู้เรื่อง AI ในอนาคตอาจทำให้คนตกงานได้
ประเทศไทย เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของอาเซียนภายในปี 2573 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการลงทุนและส่งเสริมการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (NIA) การพัฒนาหลักสูตรและโครงการฝึกอบรมด้าน AI และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
ความพร้อมของประเทศไทยในการรับมือกับยุค AI ประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้านในการรับมือกับยุค AI เช่น ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ความพร้อมด้านบุคลากร และความพร้อมด้านนโยบาย อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายด้านที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนา เช่น ความพร้อมด้านกฎหมายและกฎระเบียบ ความพร้อมด้านจริยธรรม และความพร้อมด้านความปลอดภัย
การเสวนาวิชาการเรื่อง "ยุคเอไอได้มาถึงแล้ว ประเทศไทยพร้อมรับมือไหม?" เป็นการถกเถียงถึงความพร้อมของประเทศไทยในการรับมือกับยุค AI โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เช่น คณาจารย์จากสถาบันการศึกษา ผู้บริหารจากภาคธุรกิจ และนักวิชาการจากภาครัฐ การเสวนาครั้งนี้ได้ให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา AI ในประเทศไทย ดังนี้
ประเทศไทยควรเร่งพัฒนาบุคลากรด้าน AI โดยเน้นการอบรมทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุค AI เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนรู้ของเครื่อง และวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์
ประเทศไทยควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนา AI โดยร่วมกันพัฒนาโครงการและโมเดล AI ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง
ประเทศไทยควรพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบสำหรับ AI เพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของประชาชน
ประเทศไทยควรส่งเสริมจริยธรรมด้าน AI เพื่อไม่ให้ AI ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง
ประเทศไทยควรพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ
การเสวนาวิชาการเรื่อง "ยุคเอไอได้มาถึงแล้ว ประเทศไทยพร้อมรับมือไหม?" เป็นการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของประเทศไทย