(A Scholarly Analysis of “Sweeping the House and Filling the City” in Thai Politics)
บทคัดย่อ
แนวคิด “การกวาดบ้านเติมเมือง” เป็นอุปมาที่อธิบายกระบวนการจัดระเบียบภายในและการขยายฐานอำนาจทางการเมืองพร้อมกัน ทั้งการบริหารจัดการภายในพรรค (กวาดบ้าน) และการขยายอิทธิพลสู่ระดับพื้นที่–ประเทศ (เติมเมือง) บทความนี้วิเคราะห์นัยทางการเมืองไทยของแนวคิดดังกล่าวผ่านกรอบทฤษฎีสถาบันนิยมใหม่ (New Institutionalism), ทฤษฎีฐานเสียงทางการเมือง (Political Constituency Theory), และแนวคิดการสื่อสารทางการเมืองเชิงรุก (Proactive Political Communication) เพื่อทำความเข้าใจว่ากลยุทธ์เช่นนี้ถูกใช้ในการปรับตัวของพรรคการเมืองไทยในยุคเปลี่ยนผ่านและการแข่งขันสูงอย่างไร พร้อมประเมินผลกระทบต่อประชาธิปไตย ระบบพรรคการเมือง และเสถียรภาพเชิงนโยบายของประเทศ
1. บทนำ
วาทกรรม “กวาดบ้านเติมเมือง” มักถูกใช้ในบริบทการเมือง เพื่อสื่อถึงยุทธศาสตร์คู่ขนานสองด้าน ได้แก่
-
การจัดระเบียบภายในองค์กรหรือพรรคการเมือง และ
-
การเสริมสร้างฐานสนับสนุนภายนอก
การเมืองไทยในทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง” (structural transition) ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเลือกตั้ง ระบอบพรรคการเมืองแบบผ่อนคลายอุดมการณ์ การแข่งขันกันด้วยภาพลักษณ์ผู้นำ ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐและเครือข่ายทุนการเมือง การวิเคราะห์ “กวาดบ้านเติมเมือง” จึงเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนพลวัตของพรรคและการแข่งขันทางการเมืองไทยยุคใหม่อย่างชัดเจน
2. กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์
2.1 ทฤษฎีสถาบันนิยมใหม่ (New Institutionalism)
แนวคิดนี้มองว่าองค์กรการเมืองและพรรคต้องมีทั้ง
-
โครงสร้างภายในที่มีเสถียรภาพ (formal rules) และ
-
ความสัมพันธ์ไม่เป็นทางการที่เข้มแข็ง (informal networks)
“กวาดบ้าน” จึงหมายถึงการเสริมความเป็นเอกภาพ ปรับยุทธศาสตร์ ปรับโครงสร้าง และลดความขัดแย้งภายใน ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือภายนอกโดยตรง
2.2 ทฤษฎีฐานเสียงและการแข่งขันทางการเมือง
“เติมเมือง” เชื่อมโยงกับการขยายฐานเสียง โดยพรรคต้องตอบสนองต่อ
-
กลุ่มผลประโยชน์
-
ความต้องการของพื้นที่ใหม่
-
กระแสสังคม
-
ความนิยมผู้นำ (leader effect)
2.3 ทฤษฎีการสื่อสารทางการเมืองเชิงรุก (Proactive Political Communication)
ในยุคโซเชียลมีเดีย พรรคการเมืองสามารถสร้างภาพลักษณ์ใหม่ได้รวดเร็ว แนวคิด “กวาดบ้านเติมเมือง” มักถูกใช้เป็นแคมเปญเชิงวาทกรรมเพื่อ
-
รีแบรนด์ภาพลักษณ์พรรค
-
สร้างโมเมนตัมทางการเมือง
-
ปิดประเด็นลบ และเปิดเกมรุกในพื้นที่ใหม่
3. การวิเคราะห์ “การกวาดบ้าน” ในการเมืองไทย
3.1 การจัดระเบียบภายในพรรค
การกวาดบ้านหมายถึง
-
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหาร
-
ลดความขัดแย้งภายใน
-
การคัดคนที่ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พรรคออก
-
สร้างเอกภาพภายในก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
ในการเมืองไทย การกวาดบ้านยังสะท้อนถึงการสร้างความ “พร้อม” เพื่อรับมือกฎหมายเลือกตั้งใหม่ การสลับขั้ว การรวมกลุ่มทุนการเมือง และการสร้างภาพว่าพรรคกำลัง “รีเซ็ตตัวเอง”
3.2 การฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของสาธารณชน
พรรคการเมืองไทยจำนวนมากมีต้นทุนทางภาพลักษณ์ต่ำจากเหตุขัดแย้ง การย้ายพรรค และคดีการเมือง การกวาดบ้านจึงเป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ว่าพรรค “พร้อมเปลี่ยนแปลง” และ “รับฟังประชาชน”
4. การวิเคราะห์ “การเติมเมือง” ในการเมืองไทย
4.1 การขยายฐานเสียงพื้นที่ใหม่
การเติมเมืองหมายถึง
-
การส่งผู้สมัครหน้าใหม่
-
ขยายพื้นที่เลือกตั้งจากฐานดั้งเดิม
-
ใช้ข้อมูลประชากร สังคม และเศรษฐกิจในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
พรรคที่ต้องการเติบโตจำเป็นต้องออกจากพื้นที่เดิม ซึ่งสัมพันธ์กับแนวคิด “ตกปลานอกบ้าน” ในงานเผยแผ่ธรรมะ แต่ในทางการเมืองคือการ “ย้ายสมรภูมิ” เพื่อหาเสียงใหม่
4.2 การสร้างแนวร่วมระหว่างกลุ่มผลประโยชน์
ในทางปฏิบัติ “เติมเมือง” ยังหมายถึงการ
-
ดึงกลุ่มการเมืองย่อย
-
ดึงนักการเมืองท้องถิ่น
-
ขยายพันธมิตรกับกลุ่มเศรษฐกิจ
เพื่อต่อรองอำนาจและเพิ่มที่นั่งในสภา
5. นัยทางการเมืองไทย
5.1 ระบบพรรคการเมืองแบบผสม (Hybrid Party System)
การกวาดบ้านเติมเมืองสะท้อนธรรมชาติพรรคการเมืองไทยที่
-
อิงตัวบุคคลมากกว่าอุดมการณ์
-
ยืดหยุ่นสูง
-
พร้อมปรับจุดยืนเพื่อประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์
5.2 ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพประชาธิปไตย
แม้ช่วยเสริมความเข้มแข็งให้พรรค แต่ก็มีผลกระทบ เช่น
-
ลดการมีส่วนร่วมทางอุดมการณ์
-
เน้นภาพลักษณ์มากกว่าคุณภาพนโยบาย
-
ทำให้ประชาชนมองการเมืองเป็นเกมอำนาจมากกว่าการพัฒนาประเทศ
5.3 ผลกระทบต่อการแข่งขันในสภา
เมื่อพรรคต่าง ๆ ต่างกวาดบ้านเติมเมือง พรรคที่ไม่ปรับตัวจะอ่อนแอ ขณะที่พรรคใหญ่จะยิ่งรวมศูนย์อำนาจและขยายเครือข่ายในสภาได้มากขึ้น
6. สรุปและข้อเสนอเชิงนโยบาย
6.1 บทสรุป
แนวคิด “กวาดบ้านเติมเมือง” เป็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งการปรับภายในและขยายภายนอก ซึ่งสะท้อนการปรับตัวของการเมืองไทยในสภาวะแข่งขันสูงและระบบพรรคไม่เสถียร การวิเคราะห์นี้ชี้ว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีทั้งด้านบวก (เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและขยายฐานประชาชน) และด้านลบ (เพิ่มความเป็นตัวบุคคล ลดความสำคัญของนโยบาย)
6.2 ข้อเสนอเชิงนโยบาย
-
พัฒนาระบบพรรคให้มีโครงสร้างกำกับภายในโปร่งใส ไม่ให้การกวาดบ้านกลายเป็นการรวบอำนาจ
-
ส่งเสริมการออกแบบนโยบายเป็นฐานการแข่งขัน แทนการใช้วาทกรรมภาพลักษณ์
-
ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการวิเคราะห์พื้นที่เลือกตั้ง เพื่อการเติมเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชนแท้จริง
-
พัฒนาเครื่องมือสื่อสารทางการเมืองอย่างรับผิดชอบ เพื่อลดการสร้างความขัดแย้งในสังคม
-
เสริมบทบาทประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อให้ระบบพรรคมีความเข้มแข็งและยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น